พฤติกรรมความประพฤษติของมนุษย์ ย่อมมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแสดงออกถึงความประเสริฐ และ คุณค่าอันสูงส่ง ด้วยเหตุนี้มะอ์รีฟัต (การรู้จักพระเจ้า) และ ฮิกมะฮ์ ( วิทยปัญญา)ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ) จึงต้องมองย้อนกลับไปสู่การประพฤติปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ของนางในวัยสาว. ท่านคือบุตรีของศาสนทูตแห่งพระองค์ที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบิดา , เป็นภรรยาที่คอยเสียสละเพื่อสามี และเป็นครูผู้อบรมที่ยิ่งใหญ่สำหรับบุตร และจากอ้อมอกเช่นนี้ จึงเป็นที่มาของบุคลิกภาพอันสูงสงของอิมามฮาซัน อิมามฮุเซน และท่านหญิงซัยหนับ. ท่านหญิงได้พัฒนาความศรัทธา, เพิ่มพูนมะอ์รีฟัตและการขัดเกลาจิตวิญญาณของตน ด้วยการประกอบอิบาดัต และได้เปิดหัวใจของตนต้อนรับแสงรัศมีจากพระผู้เป็นเจ้า. ท่านออกห่างจากพฤติกรรมของการโอ้อวด,การปรุงแต่งความงามด้วยเครื่องประดับของโลกแห่งวัตถุทั้งหมด นางคือแบบอย่างและเป็นแม่ทัพอิสลามของเหล่าบรรดานักรบ (มูญาฮีดีน) ทั้งในด้านการทำหน้าที่ปกป้องอิสลาม, ศาสดา, อิมามัต,และวิลายัต หรือการทำหน้าที่ภรรยาต่อสามีก็ตาม.
สตรีมุสลิมต้องพยายามอยู่ในหนทางการแสวงหาวิชาความรู้ การขัดเกลาจิตวิญญาณและการพัฒนาจรรยามารยาทอิสลาม , อย่าได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสวย และควรรักนวลสงวนตัว รักษาความบริสุทธิ์จากสายตาของชายแปลกหน้าให้มากที่สุด , นางต้องเป็นผู้สร้างความสงบสุขให้กับสามีและบุตรภายในบ้าน, และภายใต้ความอบอุ่นอันนี้ นางต้องเลี้ยงดูบุตรให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีจิตใจอันดีงาม และปราศจากความกดดันต่างๆทางด้านจิตใจ.
ผู้ใดที่ยังอยู่ในโลกแห่งความโง่เขลา, หลับไหล และหลงทาง เขาจะยอมรับต่อวาทกรรมแอบอ้างของตะวันตก ที่กล่าวอ้างถึงสิทธิสตรีบ้างหรือสิทธิมนุษยชนบ้าง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาคือกลุ่มคนที่กดขี่สตรีเพศมากที่สุด บนเสโลแกนแห่งสิทธิสตรีนั้น พวกเขาได้ทำให้สตรีกลายเป็นแค่เพียงเครื่องบำเรอความสุขให้บุรุษเพศ . ในความเชื่อของเรา การกดขี่ที่เกิดขึ้นกับบรรดาสตรี ล้วนมาจากคำนิยามที่ถูกมอบให้โดยวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์, การกดขี่ต่อสตรีเพศในสังคมยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน ก็ล้วนมีที่มาจากอารยธรรมตะวันตก เรามีความเชื่อว่า คำกล่าวอ้างของตะวันตกในการหยิบยื่นเสรีภาพให้สตรีนั้น มันคือส่ิงตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เพราะมันเป็นการให้เสรีภาพแก่บุรุษเพศมากกว่า ในการแสวงหาความสุขจากสตรีเพียงเท่านั้น.
ชาวตะวันตกไม่เพียงแต่จะกดขี่สตรีในด้านการประกอบอาชีพและด้านอุตสาหกรรมเพียงเท่านั้น พวกเขายังกดขี่สตรีในเวทีศิลปะวัฒนธรรม, ภาพยนต์, จิตกรรมฝาผนัง หรืออื่นๆ สิ่งเหล่านี้คือข้อพิสูจน์การกดขี่ของพวกเขา. ชาวตะวันตกถือว่าสตรีเป็นเพียงแค่สินค้าชนิดหนึ่งที่เปลืองตัวและไร้ราคา มุมมองอิสลามถือว่าสิ่งเหล่านี้หาใช่คุณค่าสำหรับสตรีเพศไม่.
อิสลามถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สตรีคนหนึ่งต้องทำงานตามความสามารถของนาง หากการทำงานดังกล่าวปราศจากการรบกวนต่อหน้าที่ การเป็นผู้เลี้ยงดู และอบรมบุตรหรือการดูแลรักษาครอบครัว และงานนั้นต้องไม่ขัดกับคุณค่าทางด้านจิตวิญญาณและความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงต่อนาง.
เมื่อใดก็ตามที่สตรีให้ความสำคัญต่อสัญชาตญาณที่ประเสริฐ(ฟิฏเราะห์) และค้นพบตัวตนที่แท้จริงของนาง เราคงจะได้เห็นภาพแห่งความมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ และพลังอำนาจอันล้นเหลือดังที่เคยปรากฏให้เห็นหลังจากการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน และยังคงเป็นพยานต่อความยิ่งใหญ่ของพลังอิสลามบนใบหน้าของเหล่าสตรีนักปฏิวัติอิหร่าน ด้วยกับการรักษาฮิญาบ การรักนวลสงวนตัว การดูแลบ้านและครอบครัว การเลี้ยงดูบุตรหลาน และการแสวงหาความรู้เป็นต้น.
วันนี้ในประเทศของเรา มีแพทย์หญิงที่มีความเชี่ยวชาญ, มีบัณฑิตจากหลายแขนงสาขาวิชาความรู้ มีนักศึกษาที่เก่งและมีความสามารถ จนสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ และนำความภาคภูมิใจมาสู่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้. ไม่มีสำนักหรือแนวคิดใดที่จะให้ความสูงส่งของคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่ากับศาสนาอิสลาม การให้เกียรติต่อเพื่อนมนุษย์ และการเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชนคือหนึ่งจากหลักการสำคัญของศาสนาอิสลาม.
สิทธิของมนุษยชาติจะถูกรักษาไว้ภายใต้บทบัญญัติทางตุลาการ, บทลงโทษ, หรือการปกป้องสิทธิมนุษย์ชน, ล้วนต้องมาจากกฏหมายสังคมของศาสนาอิสลามเพียงเท่านั้น. และเราคือผู้ที่ยืนหยัดในการปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง...
ส่วนหนึ่งจากการปฐกถาของท่านผู้นำสูงสุดต่อกลุ่มสตรีเนื่องในวันประสูติท่านหญิงฟาฏีมะฮ์ ((วันแม่))
16/12/1992