สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ข่าว

แต่งตั้งผู้แทนวลียุลฟะกีฮ์ประจำมณฑลกะฮ์กีลูเยะห์และบูเอร อะห์มัด
แต่งตั้งผู้แทนวลียุลฟะกีฮ์ประจำมณฑลกะฮ์กีลูเยะห์และบูเอร อะห์มัด
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ได้แต่งตั้ง ฮุจญะตุลอิสลาม ฮัจญ์ ซัยยิด ชาระฟุดดีน มุลก์ ฮูซัยนี เป็นผู้แทนวลียุลฟะกีฮ์ประจำมณฑล กะฮ์กีลูเยะฮ์และ บูเอร อะห์มัด รายละเอียดของสาส์นมีดังต่อไปนี้
‬ต้องมีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการยับยั้งการครอบครองที่ดินบริเวณรอบๆเมือง
‬ต้องมีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการยับยั้งการครอบครองที่ดินบริเวณรอบๆเมือง
เนื่องในสัปดาห์ทรัพยากรธรรมชาติ และวันสนับสนุนการปลูกต้นไม้ ท่านอยาตุลลอฮ์ ซัยยิดอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ได้ปลูกต้นไม้สองต้น ช่วงบ่ายวันนี้ (วันอังคาร)
หลักการของอิสลามต้องถูกนำเสนอโดยไร้ความเกรงใจ,
หลักการของอิสลามต้องถูกนำเสนอโดยไร้ความเกรงใจ,
คณะกรรมการสถาบันวางแผนพัฒนาแบบอย่างอิสลามแห่งชาติ -อิหร่านพัฒนา และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดเช้าวันนี้
ควรมีมาตรการที่เด็ดขาดในการปราบปรามต่อขบวนการทำลายเอกภาพในปากีสถาน,
ควรมีมาตรการที่เด็ดขาดในการปราบปรามต่อขบวนการทำลายเอกภาพในปากีสถาน,
ควรมีมาตรการที่เด็ดขาดในการปราบปรามต่อขบวนการทำลายเอกภาพในปากีสถาน, การสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชาติอิสลามนั้นคือเป้าหมายที่ชัดเจนของยิวไซออนิสต์
“จากงานเขียนที่ทรงคุณค่าเป็นจำนวนมากของท่านอัลลามะห์ ญะซาเอรีนั้น ได้เปรียบท่านดัง
“จากงานเขียนที่ทรงคุณค่าเป็นจำนวนมากของท่านอัลลามะห์ ญะซาเอรีนั้น ได้เปรียบท่านดัง
“แท้จริงการเทิดเกียรติและสรรเสริญต่อมัรฮูมซัยยิด ญาซาเอรีนั้น คือการเทิดเกียรติและสรรเสริญต่อวิชาความรู้และมะอาริฟของพระผู้เป็นเจ้า”
มัจลิสตัรฮีม ท่านมัรฮูมอยาตุลลอฮ์คุชวักต์ ผู้รู้ที่ทรงคุณค่า
มัจลิสตัรฮีม ท่านมัรฮูมอยาตุลลอฮ์คุชวักต์ ผู้รู้ที่ทรงคุณค่า
เมื่อตอนบ่ายวันนี้ (วันอาทิตย์) ท่านผู้นำสูงสุด ซัยยิดอาลี คาเมเนอี ผู้นำการปฎิวัติอิสลาม เป็นเจ้าภาพในการจัดมัจลิสตัรฮีม ( งานศาสนาเพื่ออุทิศผลบุญให้ผู้เสียชีวิต)
ผู้นำสูงสุดได้ทำการเจาะลึกในประเด็นพฤติกรรมและคำพูดอันเลื่อนลอยและไร้เหตุผล(ไร้ตรรกะ)
ผู้นำสูงสุดได้ทำการเจาะลึกในประเด็นพฤติกรรมและคำพูดอันเลื่อนลอยและไร้เหตุผล(ไร้ตรรกะ)
คำปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุด ในการเข้าพบของพี่น้องชาวอาเซอร์ไบจานจำนวนหลายพันคน

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ได้กล่าวปราศรัยต่อพี่น้องชาวตับรีซจำนวนหลายพันคนที่เข้ามาพบท่านผู้นำสูงสุด เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งการปราศรัยครั้งนี้ มีเนื้อหาสาระที่สำคัญอย่างยิ่ง. โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดได้ทำการเจาะลึกในประเด็นพฤติกรรมและคำพูดอันเลื่อนลอยและไร้เหตุผล(ไร้ตรรกะ)ของนักการเมืองอเมริกาในประเด็นเรื่องการเจรจา, นอกจากนั้น ฯพณฯ ยังได้อธิบายถึงการแสดงออกของประชาชาติอิสลามและระบอบอิสลามที่วางอยู่บนพื้นฐานแห่งหลักตรรกศาสตร์ โดยกล่าวชื่นชมประชาชาติอิหร่านที่ออกมารวมแสดงพลังอันยิ่งใหญ่, แสดงเกียรติยศและศักดิ์ศรีในการเดินขบวน อัยยามุลลอฮ์ 22 บะห์มัน, พร้อมกันนั้น ฯพณฯ ผู้นำได้ชี้แจงในประเด็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในรัฐสภา.

การพบปะครั้งนี้ เกิดขึ้นในห้วงเวลาแห่งการรำลึกถึงวันครบรอบการลุกขึ้นกิยาม(ต่อสู้)ของพี่น้องชาวตับรีซ ในวัน ที่ 29 เดือนบะห์มัน ปี 1356 (1978) . ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม ได้แสดงความปลื้มปิติยินดีเนื่องในวโรกาส วันแห่งการรำลึกถึงชุฮาดาอ์ที่ลุกขึ้นกิยามต่อสู้, ที่มีศรัทธามั่นต่อศาสนาเป็นทุนเดิม และเป็นผู้คอยชี้นำแนวทางการขับเคลื่อนต่อประชาชาติอิหร่าน โดย ฯพณฯ กล่าวย้ำถึงตัวอย่างที่เด่นชัดอันสะท้อนภาพลักษณ์แห่งสัจธรรมในเรื่องนี้ กล่าวคือ การต่อสู้ของพี่น้องชาวอาเซอร์ไบจาน ตลอดระยะเวลา 150 ปีที่ผ่านมานั้น คือหลักประกันแห่งความศรัทธามั่นในศาสนาและการยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวเสมอมา.

ผู้นำสูงสุด ได้กล่าวย้ำถึง การที่ประชาชาติอิหร่านไม่มีความสั่นคลอนและสะทกสะท้านใดๆ ต่อแรงกดดันทุกรูปแบบที่มาจากมหาอำนาจ อาทิเช่น มาตรการคว่ำบาตร เพราะประชาชาติอิหร่านมีความศรัทธามั่นในหลักคำสอนแห่งศาสนาอย่างแท้จริง . โดย ฯพณฯ ผู้นำกล่าวว่า หลายเดือนก่อนหน้านี้ พวกเขามีการกล่าวว่า การคว่ำบาตรครั้งนี้ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรง จะนำพาทางตัน (อัมพาต)มาสู่เรา แม้กระทั่งก่อนที่จะถึงวัน 22 บะห์มัน พวกเขาก็เริ่มมาตรการคว่ำบาตรระลอกใหม่ เพื่อให้ประชาชาติอิหร่านอ่อนแอลง แต่ทว่าประชาชาติอิหร่านได้ตอบโต้คำสบประมาทครั้งนี้ ด้วยการออกมาร่วมกันเดินขบวนในวันที่ 22 บะห์มัน อย่างยิ่งใหญ่และเข้มข้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ได้กล่าวว่า การเดินขบวนในวันที่ 22 บะห์มัน ปีนี้, ประชาชนล้วนมาจากทั่วประเทศ และออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน อีกทั้งเป็นการออกมาเดินขบวนที่เปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่ง และใบหน้าที่เบิกบาน มีความสุข และการรวมผลอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ถือเป็นการประกาศอย่างชัดเจนถึงภาพลักษณ์อันแท้จริงของประชาชาติอิหร่านอีกครั้งให้ชาวโลกได้ประจักษ์เห็น.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า การเดินขบวนในวัน 22 บะห์มัน ของทุกปี คือวันบะห์มันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเสมือนเป็นการตบหน้าครั้งใหญ่ต่อศัตรูและบรรดาผู้ต่อต้านประชาชาติอิหร่าน.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ยังได้กล่าวขอบคุณอีกครั้งต่อประชาชาติอิหร่าน ผู้มีเกียรติยศและศักดิ์ศรีในการเข้าร่วมการเดินขบวนในวันที่ 22 บะห์มันอย่างยิ่งใหญ่ว่า หากจะกล่าวขอบคุณต่อประชาชาติอิหร่านนับร้อยครั้ง ก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งนัก จำเป็นที่จะต้องมีการยกย่องเกียรติยศและเชิดชูจิตวิญญาณอันสูงส่งในการมีบาซีรัต(การเข้าใจและรับรู้อย่างแจ่มแจ้ง)ของประชาชาติอิหร่านอีกด้วย.

ฯพณฯ ผู้นำแห่งการปฏิวัติอิสลาม ได้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า การเผชิญหน้าของศัตรู ที่มีเหนือความศรัทธา, ความมุ่งมั่น, บาซีรัต, ความกล้าหาญ และความอดทนของประชาชาติอิหร่านนั้น ทำให้ศัตรูเหล่านี้กำลังดิ่งสู่ความตกต่ำ และด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงเริ่มใช้กระบวนการขับเคลื่อนอย่างไร้เหตุและผล(ไร้ตรรกะ).

ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวถึง พฤติกรรมและวาจาของนักการเมืองในรัฐบาลอเมริกา และยังถือว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งตรรกะ ,มีวาจาและพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันเองอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งมีพฤติกรรมแบบพวกอำนาจนิยมอยู่. โดยท่านผู้นำสูงสุด กล่าวในเรื่องนี้ว่า อเมริกาคาดหวังว่า ผู้อื่นจะยอมสยบต่อคำพูดที่ไร้ตรรกะและอหังการของตน เหมือนที่บางชาติได้ยอมศิโรราบมาแล้ว แต่จงรู้ไว้เถิดว่า ประชาชาติอิหร่านและระบอบสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ จะไม่มีวันยอมสยบอย่างเด็ดขาด เพราะเราคือประชาชาติที่มีตรรกะ ,มีความสามารถและความมั่นคง.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ยังได้อธิบายถึงจุดยืน, บทบาทและการกระทำที่ไร้ซึ่งตรรกะของนักการเมืองแห่งรัฐบาลอเมริกา และชาติตะวันตกที่เป็นสมุนรับใช้อเมริกา ซึ่งท่านได้ยกตัวอย่างประกอบที่เด่นชัดในเรื่องนี้ โดยกล่าวเพิ่มเติมว่า พวกเขาอ้างตนว่าเป็นผู้ที่เคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชน และประกาศก้องว่าเป็นผู้พิทักษ์(ชูธง)สิทธิมนุษยชนทั่วโลก แต่ความจริงในภาคปฏิบัติ พวกเขาเป็นชนชาติเดียวที่สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบในด้านลบต่อสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ด้วยกับการก่ออาชญากรรมครั้งร้ายแรง อาทิเช่น ในกัวตานาโม อะบูฆอรียบ์ และการเข่นฆ่าสังหารพี่น้องชาวอัฟกานิสถานและปากีสถานนั้น เป็นการหมิ่นและหยามในสิทธิมนุษยชนครั้งร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา.

ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้คำนวณนับกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร้หลักตรรกะของอเมริกา และสิ่งตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ระหว่างข้ออ้างกับการกระทำที่มีต่อการพัฒนาพลังงานเคลียร์ของอิหร่านว่า ข้ออ้างของ
อเมริกาดังกล่าวนี้เอง ที่ใช้เป็นใบเบิกทางในการบุกโจมตีอิรักเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏว่า สิ่งที่พวกเขากล่าวอ้างนั้น ไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่ประการเดียว.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า ขณะเดียวกันรัฐบาลอเมริกาที่อาศัยคำกล่าวอ้างเช่นนี้ ก็ยังคงให้การสนับสนุนยิวไซออนิสต์ที่ป่าเถื่อน พร้อมกับการจัดสรรหาอาวุธนิเคลียร์ อันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของผู้อื่นให้กับอิสราเอลเป็นต้น. อีกตัวอย่างหนึ่งในคำพูดที่คัดค้านกับข้อเท็จจริงของรัฐบาลอเมริกา กรณีที่นักการเมืองในรัฐบาลอเมริกาได้รณรงค์เรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยทั่วทั้งโลกนั้น ฯพณฯผู้นำสูงสุด ได้กล่าวย้ำในเรื่องนี้ว่า ในด้านหนึ่งพวกเขาได้แอบอ้างคำกล่าวอ้างเช่นนี้ แต่อีกด้านหนึ่งนั้น กลับยืนกรานสนับสนุนซึ่งมันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยเฉพาะในการเผชิญหน้ากับอิหร่าน ซึ่งเป็นชนชาติที่มีความชัดเจนและโปร่งใส่ที่สุดในด้านประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า ในขณะที่อเมริกากำลังอ้างว่าตนเป็นประเทศที่ให้การสนับสนุนต่อระบอบประชาธิปไตยในภูมิภาคนี้อย่างเต็มที่ แต่ด้วยกับความบ้าคลั่งที่มี ก็ยังให้การสนับสนุนบางประเทศที่ไม่มีแม้แต่กลิ่นไอแห่งประชาธิปไตย โดยที่ประชาชนก็ไม่เคยเห็นการเลือกตั้งและการลงคะแนนเสียงแม้แต่ครั้งเดียวของประเทศนั้น. อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนในกรณีของคำพูดและการปฏิบัติที่ตรงกันข้ามกันของนักการเมืองในรัฐบาลอเมริกา กรณีการออกมากล่าวอ้างในความพร้อมที่จะทำการเปิดเจรจากับรัฐบาลอิหร่านเพื่อหาข้อยุติปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวว่า คำกล่าวอ้างนี้ ได้มีการนำเสนอและเปิดประเด็นขึ้นมา ขณะที่อเมริกายังกล่าวและพาดพิงสิ่งที่ไม่ถูกต้องและคัดค้านกับหลักความจริงของระบอบการปกครองในสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน อีกทั้งหาข้ออ้างอันมดเท็จเพื่อที่จะสามารถเผชิญหน้ากับอิหร่านได้ จึงอาศัยมาตรการคว่ำบาตรและกดดันอิหร่านเพิ่มมากขึ้น.

ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ให้เห็นถึง คำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน ในกรณีที่มีความพยายามสกัดกั้นการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่านว่า หากอิหร่านมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ อเมริกาก็ไม่มีสิทธิ์และก็ไม่สามารถจะยับยั้งและสกัดกั้นความตั้งใจอันนี้ของประชาชาติอิหร่านได้.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ไม่มีเจตนาที่จะสร้างอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด และการตัดสินใจครั้งนี้หาใช่ว่าเพื่อแสวงหาความพึงพอใจของอเมริกาไม่, แต่ทว่ามันวางอยู่บนพื้นฐานแห่งหลักความศรัทธามั่นที่กล่าวว่า อาวุธนิวเคลียร์คืออาชญากรรมอันเลวร้ายที่สุดต่อมนุษยชาติ. นอกจากนั้น เราเองก็ไม่สนับสนุนในการสร้างอาวุธดังกล่าว อีกทั้งยังเรียกร้องให้มีการทำลายล้างอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่ในโลกนี้อีกด้วย.

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า เรื่องพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้น หาใช้เป็นประเด็นสำคัญของการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทว่าพวกเขาต้องการสกัดกั้น สิทธิอันชอบธรรมของประชาชาติอิหร่านในการผลิตพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ แต่พวกเขาจะไม่มีวันประสบกับความสำเร็จในการสกัดกั้นอิหร่านได้อย่างแน่นอน และประชาชาตินี้ก็จะยังคงเดินหน้าต่อไปในการปฏิบัติภารกิจของตนตามบรรทัดฐานแห่งความความถูกต้องอย่างต่อเนื่องและตลอดไป.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า ความพยายามในการบั่นทอนสิทธิของประชาชาติอิหร่านนั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน จากความไร้ตรรกะของอเมริกา จากเหตุผลนี้เอง เราจึงไม่สามารถเจรจาด้วยเหตุผลกับชาติที่ไร้เหตุผลได้.

ท่านผู้นำสูงสุดยังกล่าวเสริมอีกว่า ตลอดช่วงเวลา 34 ปีที่ผ่านมา จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลก สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน สามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ใครคือฝ่ายตรงกันข้ามต่อสิ่งนี้ ,และเขามีวิธีการปฏิบัติกับเราอย่างไร และเราจะต้องเผชิญหน้าและจัดการกับเขาอย่างไร????

ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวในประเด็นการเจรจาว่า อเมริกาจะอาศัยสื่อมวลชนที่อยู่ภายใต้การครอบงำของยิวไซออนิสต์และอเมริกาเอง เป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อและหลอกลวงชาวโลก ทั้งในภูมิภาคนี้และในอิหร่านเอง ซึ่ง ฯพณฯ กล่าวย้ำว่า สื่อมวลชนของโลกทุกแขนง จะไม่มีการสะท้อนในคำพูดของเราแต่อย่างใด หรือหากมีการนำเสนอแล้ว ก็จะนำเสนอในลักษณะที่บิดเบือน และด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงจำเป็นที่ต้องมุ่งเน้นและกล่าวชี้แจงให้กับประชาชาติอิหร่านได้ฟังถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้โดยตรง.

ท่านผู้นำสูงสุด ได้อธิบายข้อเท็จจริงในประเด็นการเจรจา ซึ่งมีห้าประเด็นสำคัญด้วยกันคือ การไร้ตรรกะ ,คำพูดและท่าที่ในการแสดงออกของนักการเมืองอเมริกานั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามเสมอ (ความพยายามของอเมริกาที่จะให้อิหร่านยอมสยบคือเป้าหมายหลักของการเจรจา), ความหมายที่แท้จริงของการเจรจาคืออำนาจแห่งการครอบงำ (การโกหกหลอกลวงของอเมริกาที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรหากอิหร่านยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจา).

ท่านผู้นำสูงสุดยังถือว่า เป้าหมายหลักของอเมริกาในการนำเสนอประเด็นการเจรจานั้น เพื่อโฆษณาและสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นต่อประชาชาติในระบอบการปกครองของสาธารณรัฐอิสลาม , โดยฯพณฯกล่าวว่า พวกเขามีความต้องการที่จะใช้วิธีดังกล่าวต่ออิหร่าน และทำให้ชาติมุสลิมและประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับรู้ว่า แม้แต่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านเอง ถือได้ว่าเป็นชาติที่ทำการยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งที่สุดและยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยวมาเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาและการประนีประนอมกับเรา . ดั้งนั้นพวกท่านทั้งหลายก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกนอกจากต้องยอมศิโรราบต่อเรา.

ท่านผู้นำสูงสุดยังกล่าวว่า ตั้งแต่อดีตกาลมาแล้วที่บรรดามหาอำนาจมีเป้าหมายในการทำให้ชาติมุสลิมตกอยู่ในความสิ้นหวัง อีกทั้งพยายามดึงอิหร่านเข้าสู่โต๊ะเจรจา และในวันนี้ก็เช่นกัน พวกเขาก็ยังดำเนินตามแผนการและเป้าหมายดังกล่าว ด้วยการนำเสนอประเด็น “การเจรจาที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” แต่ทว่า สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน มีสายตาที่เฉียบขาดและแหลมคม ได้เข้าใจและรับรู้ถึงวัตถุประสงค์ของประเด็นดังกล่าว และเราก็จะทำการตอบโต้ตามความเหมาะสมในวัตถุประสงค์ของพวกเขาด้วยเช่นกัน.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า ความหมายที่แท้จริงของการเจรจาในทัศนะของอเมริกาคือการยอมจำนนและยอมรับในคำพูดต่างๆของพวกเขาบนโต๊ะเจรจา, ซึ่งท่านกล่าวว่า จากมุมมองที่ไร้ตรรกะของพวกเขาในการโฆษณาครั้งล่าสุดว่า ต้องมีการเจรจาโดยตรงเท่านั้น เพื่อกดดันให้อิหร่านล้มเลิกความตั้งใจในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ หากพวกเขาต้องการเปิดเจรจาอย่างแท้จริงและต้องวางอยู่บนพื้นฐานจากหลักตรรกะแล้วไซร้ ก็จำเป็นต้องกล่าวว่า เราจะเข้าสู่โต๊ะเจรจา พร้อมเปิดโอกาสให้เรา (อิหร่าน)ได้อธิบายถึงเหตุผลในประเด็นนี้ และทำการพิจารณาอย่างเป็นธรรมในประเด็นดังกล่าว.

ท่านผู้นำสูงสุดได้ตั้งประเด็นคำถาม จากมุมมองของนักปกครองที่มีต่อรัฐบาลอเมริกา ที่คาดหวังให้อิหร่านยอมจำนนว่า หากรัฐบาลอิหร่านยอมรับข้อเสนอในการเจรจาแล้ว การเจรจาดังกล่าวจะมีผลประโยชน์หรือไม่ และจะสามารถบรรลุผลได้หรือไม่?


ท่านผู้นำได้กล่าวในกรณีที่อเมริกาเอง ได้ล้มเลิกการขอเปิดเจรจาลงกลางคัน ในขณะที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับคำพูดที่เต็มไปด้วยตรรกะและเหตุผลของอิหร่าน. ในช่วง15 ปีที่ผ่านมา มีสองสามครั้งด้วยกันที่อเมริกาเองออกมากล่าวเน้นย้ำว่า การเจรจาเป็นสิ่งที่จำเป็น, เป็นวาระเร่งด่วนและสำคัญยิ่ง ซึ่งได้มีการขอให้เปิดโต๊ะเจรจาในบางประเด็น , และได้มีตัวแทนจากรัฐบาล หนึ่งคนหรือสองคน เข้าสู่การเจรจาในครั้งนั้น เมื่อมิอาจโต้แย้งคำอธิบายที่เต็มไปด้วยเหตุผลของอิหร่านได้ พวกเขาจึงล้มเลิกการเจรจานั้นลงในทันที และใช้เครือข่ายสื่อต่างประเทศที่อยู่ภายใต้การครอบงำของตน แพร่ข่าวว่า อิหร่านล้มโต๊ะเจรจา!!!!.

ท่านผู้นำถามว่า ด้วยประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมานั้น มันจำเป็นด้วยหรือที่เราต้องทำการเปิดเจรจากับอเมริกาที่ไร้ซึ่งหลักตรรกะอีกครั้ง???
การโฆษณาชวนเชื่อของอเมริกา ในประเด็นจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านหากอิหร่านเข้าสู่โต๊ะเจรจา นั้น เป็นสัญญาอันมดเท็จทั้งสิ้น ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวย้ำในเรื่องนี้ว่า ด้วยความคิดอ่านแบบโง่เขลาของพวกเขาเหล่านี้ถึงได้คาดเดาว่า อิหร่านคงเหน็ดเหนื่อยต่อการคว่ำบาตรที่เกิดขึ้น และเมื่อได้ยินในข้อสัญญาดังกล่าว ก็จะเกิดความยินดีอย่างยิ่งในการยอมสู่โต๊ะเจรจากับอเมริกา และสิ่งนี้ถือเป็นการสร้างแรงกดดันต่อผู้บริหารประเทศเราได้อีกระดับหนึ่ง.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้ว ข้อสัญญาดังกล่าวก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลย นอกจากเป็นคำพูดที่หลอกหลวงของพวกเขา และได้บ่งชี้ให้เห็นว่า พวกเขามิได้แสวงหาการเจรจาที่แท้จริงและเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด แต่พวกเขาเพียงแค่ต้องการให้อิหร่านยอมสยบและยอมจำนนต่อพวกเขาเท่านั้น ซึ่งหากอิหร่านต้องการสยบและจำนนต่ออเมริกาแล้ว ประชาชาติอิหร่านก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นปฏิวัติมาในอดีต.

ท่านผู้นำกล่าวว่า ประเด็นและเป้าหมายในมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านนั้น ได้กล่าวไปแล้วหลายครั้ง กล่าวคือ พวกเขาต้องการให้อิหร่านลำบากและเหน็ดเหนื่อย และแยกประชาชาติอิหร่านออกจากรัฐอิสลาม (ระบอบการปกครองอิสลาม)ให้มากที่สุด. ด้วยเหตุนี้เอง หากการเจรจาคงมีต่อไป และประชาชาติอิหร่านก็ยังมีบทบาทในทุกเวทีเช่นเดิมนั้น และยังสามารถยืนหยัดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานที่ตนพึงมีได้อยู่ แน่นอนมาตรการคว่ำบาตรก็จะยังคงมีอยู่อย่างต่อไป.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดได้อ่านและวิเคราะห์ทัศนะคติของนักการเมืองสหรัฐว่า ส่วนหนึ่งของทัศนะคติดังกล่าวนั้นถูกต้อง แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นผิดพลาด โดยฯพณฯ ได้กล่าวว่า รัฐบาลอเมริกามีความเชื่อว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ต้องพึ่งพิงและอาศัยประชาชนของตนเองเป็นที่ตั้ง และด้วยมาตรการ การคว่ำบาตรก็จะทำให้ประชาชาติอิหร่านปลีกตัวออกจากระบอบสาธารณรัฐอิสลาม และทำให้ระบอบการปกครองนั้นสั่นคลอนและไร้เสถียรภาพลง.
ในประเด็นแรกจากทัศนะดังกล่าว ระบอบการปกครองจำเป็นต้องพึ่งพิงและอาศัยประชาชาติของประเทศเป็นหลักนั้น เป็นคำพูดและทัศนะที่ถูกต้อง แต่สำหรับประเด็นที่สองที่กล่าวว่า การคว่ำบาตรและแรงกดดัน จะทำให้อิหร่านต้องยอมสยบและจำนนต่อตน อีกทั้งประชาชนจะปลีกตัวออกจากระบอบนั้น เป็นคำพูดที่ผิด อันเกิดจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง(หรือเกิดจากผลพวงแห่งความคิดที่ชั่ว)นั้นเอง.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า ประชาชาติอิหร่านมุ่งแสวงหาความเจริญรุ่งเรือง และสวัสดิภาพอันสมบูรณ์แบบ แต่จะไม่มีวันยอมรับความอัปยศและความต่ำต้อยเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้อย่างเด็ดขาด และเราจะสามารถพัฒนาสู่เป้าหมายได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยกับ “การบริหาร มุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยว” และอาศัยพลังงานที่มีอยู่ภายในประเทศโดยเฉพาะ บรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวที่มีความเพียบพร้อมในทุกด้าน.

ท่านผู้นำได้เปรียบเทียบระหว่าง ความเจริญก้าวหน้าของประชาชาติอิหร่านกับชาติอื่นๆและประเทศที่เป็นสมุนของอเมริกาว่า แม้นว่าการคว่ำบาตรจะทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อน แต่ในการเผชิญหน้ากับสิ่งนี้มีเพียงแค่สองแนวทางเท่านั้น ที่เราต้องเลือกคือหนึ่ง ยอมจำนนและยอมเป็นสมุนของมหาอำนาจเหมือนเช่นประชาชาติที่อ่อนแอทั้งหลาย หรือสอง ประชาชาติอิหร่านที่มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นในการพัฒนา โดยอาศัยความเชี่ยวชาญความรู้ความสามารถและทรัพยากรภายในที่มีนั้น ฝ่าฟันอุปสรรค์ให้เรานั้นหลุดพ้นจากอันตรายในเขตภูมิภาคนี้ อย่างมีประสิทธิภาพและมีเกียรติที่สุด. ซึ่งแน่นอนยิ่ง ประชาชาติอิหร่านได้เลือกแนวทางที่สองและคงจะเลือกแนวทางนี้ต่อไป ด้วยกรรมสิทธิ์ของพระองค์ การคว่ำบาตรต่างๆที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและความเจริญก้าวหน้าของเราสืบไป.

การเข้าร่วมเดินขบวนอย่างยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่าน ในวัน 22 บะห์มันนั้น ไม่ได้หมายความว่า ประชาชนไม่ได้รับความเดือดร้อน จากข้าวของที่ราคาแพงขึ้นและปัญหาอุปสรรค์ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ โดยท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า ประชาชนโดยเฉพาะชนชั้นระดับรากหญ้ามีความรู้สึกและเข้าใจเป็นอย่างดีถึงความยากลำบากในการดำเนินชีวิต แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะปลีกตัวเองออกจากระบอบการปกครองของรัฐอิสลาม เพราะเข้าใจและรู้ว่าระบอบการปกครองอิสลามเป็นระบอบที่มีเกียรติ และเป็นระบอบเดียวที่ทรงพลังอำนาจในการคลี่คลายและขจัดอุปสรรค์ปัญหาได้.

ท่านผู้นำสูงสุด ได้สรุปในคำกล่าวของตนในประเด็นการเจรจากับอเมริกาว่า ระบอบการปกครองอิสลามและชาติอิหร่าน มีจุดยืนที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับนักการเมืองอเมริกา คือมีตรรกะ ด้วยเหตุผลนี้เอง ถ้าหากฝ่ายตรงกันข้ามแสดงท่าทีและพฤติกรรมที่ไร้ตรรกะออกมา ก็จะถูกตอบโต้ในรูปแบบที่เหมาะสมอย่างแน่นอน.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า หากอเมริกามีคุณลักษณะต่างๆดังต่อไปนี้ ก็แสดงชัดว่านักการเมืองแห่งรัฐบาลอเมริกามีเจตนาที่ดี หยุดทำการข่มขู่และแสดงพฤติกรรมที่ชั่วร้าย, เคารพต่อสิทธิของประชาชาติอิหร่าน, ไม่ก้าวก่ายและแทรกแซงกิจกรรมภายในประเทศ(โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ก่อการในเหตุการณ์ฟิตนะห์ปี 88) และหยุดสร้างเปลวเพลิงแห่งสงครามในภูมิภาคนี้.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า หากเป็นเช่นนี้ แสดงว่าอเมริกามีท่าทีและพฤติกรรมที่มีเหตุผล เมื่อนั้นเองที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและประชาชาติอิหร่านก็พร้อมที่จะแสดงหลักการที่ชัดเจนให้เห็นมากยิ่งขึ้น.

ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวต่อไปอีกว่า การเจรจากับอิหร่านจะมีแนวทางนี้เพียงแนวทางเดียวเท่านั้น แล้วรัฐบาลอเมริกาจะได้รับคำตอบตกลงจากเราในการเจรจา.

ในช่วงท้ายของการปราศรัย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ได้อธิบายและเจาะประเด็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (สองสัปดาห์ก่อนหน้านี้)ในรัฐสภา โดยกล่าวว่า เหตุการณ์อันเลวร้ายที่ไม่เหมาะสมในครั้งนี้ มีอยู่สองเรื่องที่ทำให้ตัวข้าพเจ้าเองมีความรู้สึกเสียใจกล่าวคือ เหตุการณ์ในรัฐสภา และความไม่พอใจของประชาชนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง กรณีที่ประธานสถาบันการปกครองของชาติตกเป็นจำเลย ซึ่งเป็นคดีที่ยังไม่มีการตรวจสอบผ่านกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลเลย แต่ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการตกเป็นจำเลยไปแล้ว ถือเป็นการกระทำที่เลว, ผิด ,ไม่เหมาะสม, ขัดกับกฏหมาย และขัดกับหลักจริยธรรม.

ท่านผู้นำกล่าวว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนภายใต้ “ความสงบและความสุขสบายในคุณธรรมและเมตตาธรรม” ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในสิทธิที่สำคัญของประชาชาติอิหร่าน.

ข้าพเจ้าขอเตือนว่า การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรอย่างยิ่งในระบอบการปกครองของสาธารณรัฐอิสลาม.
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ผิดพลาด โดยท่านกล่าวว่า การอภิปรายจะต้องมีผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นที่ตั้ง และอีกไม่กี่เดือนข้างหน้ารัฐบาลชุดนี้ก็จะหมดวาระลง ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่เรื่องการอภิปรายก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับรัฐมนตรีท่านนั้น การกระทำเช่นนี้มันมีประโยชน์อันใดหรือ??

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า การพูดจาที่ไม่เหมาะสมและหยาบคายในรัฐสภาเป็นสิ่งที่ผิด ประธานรัฐสภาเองก็ออกมาปกป้องอย่างเกินเหตุ ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะทำถึงขนาดนั้น.
ท่านผู้นำสูงสุดได้ตั้งคำถามว่า ในเมื่อเรามีศัตรูร่วมกัน และพวกเขา (ศัตรู) ก็ทำการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆมายังเราจากทุกแห่งหน , หน้าที่ของเราคือการรวมตัวกันให้เป็นหนึ่งและยืนหยัดต่อสู้พร้อมเผชิญหน้ากับศัตรู จะยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญมากกว่าการสร้างเอกภาพของพวกเราอีกหรือ??

ท่านผู้นำสูงสุด ยังชี้ให้เห็นการสนับสนุนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่า ข้าพเจ้าจะให้การสนับสนุน แต่การกระทำต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันขัดกับสัตยาบันที่พวกท่านได้ให้ไว้ , ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐต้องเห็นถึงความสำคัญของประเทศชาติเป็นหลัก และปฏิบัติในสิ่งที่ดีงามและเหมาะสมที่สุดเพื่อประชาชนชาวอิหร่านทุกคน.

ท่านผู้นำได้กล่าวย้ำว่า คณะผู้บริหาร ,คณะรัฐมนตรี, รัฐสภา จงผนึกกำลังความสามารถของตน เพียรพยายามในการแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาต่างๆ และวิกฤติเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศชาติ ดังที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวมาแล้วเมื่อหลายปีที่ผ่านมาว่า ศัตรูได้โฟกัสและมุ่งเป้าในการกำหนดแผนการเพื่อที่จะทำลายระบอบเศรษฐกิจของเรา.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า หลายปีก่อนเคยเขียนจดหมายถึงบรรดาคณะผู้บริหารประเทศในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และได้กล่าวย้ำอยู่เสมอว่า “ระวังการทุจริต” เวลานี้มิอาจแก้ไขได้ด้วยคำพูดอีกต่อไป ต้องทำการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังว่า ในภาคปฏิบัติเราได้กระทำสิ่งใดไปแล้วบ้าง??? ซึ่งเรื่องราวในลักษณะเช่นนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศชาติ.

ท่านผู้สูงสุดกล่าวว่า ตักวา , ตักวา,ตักวา(ความยำเกรง) !!!! ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คณะผู้บริหารจะต้องมีความอดทน อย่ายอมแพ้และอ่อนไหวต่อความรู้สึก คำนึงถึงปัญหาของประเทศชาติเป็นหลัก และจงมุ่งมั่น นำเอากำลังความสามารถของทุกฝ่ายที่มี เพื่อแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาปัญหาของประชาชน และเมื่อศัตรูมีมาตรการความรุ่นแรงเพิ่มมากขึ้นต่อเรา ,เราก็ต้องกระชับความเป็นมิตรต่อกันให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมเป็นทวีคูณ.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า หวังว่าคำตักเตือน คำแนะนำที่มีเจตนาที่ดีในครั้งนี้ จะได้รับความสนใจโดยเฉพาะจากคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงและน้อมนำมาสู่ปฏิบัติอย่างจริงจัง.

ท่านผู้นำได้กล่าวว่า ในวันนี้ การที่ข้าพเจ้าออกมากล่าวตำหนิต่อคณะผู้บริหารบางท่านนั้น จะไม่เป็นเหตุให้พวกเขานั้นหลุดพ้นจากสายธารแห่งปฏิวัติอย่างแน่นอน และอย่าได้สร้างสโลแกนแห่งการห่ำหันต่อกันในแต่ละฝ่าย หรือการกล่าวโทษคนนั้นบ้าง หรือคนนี้บ้าง เพราะการประพฤติเช่นนี้ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน.

ท่านผู้นำสูงสุด ได้ทำการตำหนิอย่างรุนแรงและชัดเจน ในเหตุการณ์ล่าสุดกรณีที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งเข้าไปก่อกวนการปราศรัยของประธานรัฐสภาในเมืองกุมว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าว คือกลุ่มต่อต้านวิลายัตและต่อต้านบะซีรัต คำประกาศของพวกเขาที่เมืองกุมนั้น เป็นคำพูดและการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ณ. ฮะรัมของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) และได้ทำการตักเตือนคณะผู้บริหารไปแล้วว่า ให้มีมาตรการที่เด็ดขาดและอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก.

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า บุคคลที่มีส่วนร่วมในสโลแกนเหล่านี้ หากพวกเขาเป็นพลพรรคของอัลลอฮ์ ( ซ.บ) และผู้ศรัทธาอย่างแท้จริงตามคำกล่าวของพวกเขา โปรดรู้เถิดว่า การกระทำเช่นนี้เป็นภัยต่อความมั่งคงและสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติและขัดกับหลักการแห่งชะรีอัตของศาสนา แต่ถ้าพวกท่านไม่ได้เป็นพลพรรคของอัลลอฮ์(ซ.บ) คำกล่าวตักเตือนเช่นนี้ก็ย่อมไร้ความหมายต่อพวกท่าน.
ในช่วงท้าย ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวว่า ด้วยความโปรดปรานอันพิเศษของเอกองค์อัลลอฮ์(ซบ)อนาคตของประชาชาติอิหร่านที่มีความบาซีรัตนั้น จะสดใส่ขึ้นอย่างแน่นอน และนับวันจะดียิ่งขึ้นกว่าเดิมและสดใสขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะรอคอย เยาวชนคนหนุ่มสาว และประชาชาติอิหร่านทั้งมวล.
ก่อนที่ท่านผู้นำสูงสุดจะกล่าวปราศรัย ท่านอายาตุลลอฮ์ มุจญะติฮิด ชะบัซตะรีย์ ตัวแทนวิลายะตุลฟากีห์ประจำอาเซอร์ไบจานตะวันออก และอิมามนำนมาซวันศุกร์ในเมืองตับรีซ ได้กล่าวรายงานต่อหน้าผู้นำและกล่าวรำลึกถึงชูฮาดา 29บะห์มัน 1356 ( 1978)ที่ได้ลุกขึ้นต่อสู่ ณ เมืองตับรีซ ตลอดจนกล่าวรายงานถึงการเดินขบวนของประชาชนชาวอาเซอร์ไบจานอย่างล้นหลาม ในวันที่22 บะห์มัน, การมีเอกภาพของประชาชนในสังคม, การรักษาจรรยาบรรณแห่งการเมืองและการเพิ่มความพยายามของเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง .
ท่านผู้นำสูงสุด อิมามอาลี คาเมเนอี ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อนักกีฬามวยปล้ำและครูฝึก
ท่านผู้นำสูงสุด อิมามอาลี คาเมเนอี ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อนักกีฬามวยปล้ำและครูฝึก
ท่านผู้นำสูงสุด อิมามอาลี คาเมเนอี ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อนักกีฬามวยปล้ำและครูฝึก ในการเป็นแชมป์โลกของนักกีฬามวยปล้ำอิหร่าน ประเภทฟรีสไตล์และรองแชมป์โลกประเภทสไตล์เกร๊กโก-โรมัน ในการแข่งขันชิงแชมป์มวยปล้ำโลก ณ กรุงเตหะราน. ท่านผู้นำสูงสุดยังได้กล่าวถึงความสำเร็จของเยาวชนที่ได้สร้างชื่อเสียงและได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของอิสลามในด้านต่างๆ อาทิเช่น วงการกีฬา ซึ่งถือเป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง.
ท่านผู้นำสูงสุด นำนมาซเญนาซะฮ์ มัรฮูมคุชวักต์
ท่านผู้นำสูงสุด นำนมาซเญนาซะฮ์ มัรฮูมคุชวักต์
ท่านผู้นำสูงสุด นำนมาซเญนาซะฮ์ มัรฮูมคุชวักต์

ท่านผู้นำสูงสุด อิมามอาลี คาเมเนอี ได้นำนมาซเญนาซะฮ์ของอาเลมผู้ยิ่งใหญ่ นักรหัสยะ อยาตุลลอฮ ฮัจญีเชคอะซีซ ซุลลอฮ คุชวักต์ เช้าวันนี้(วันเสาร์)ณ มหาวิทยาลัยเตหะราน.

ผู้เข้าร่วมในพิธีนมาซซึ่งนำโดยท่านผู้นำสูงสุดนั้น มีทั้งประชาชนทั่วไปที่รู้ถึงความสูงส่งของท่าน ข้าราชการระดับสูง ตำรวจและทหารทั้งสามเหล่าทัพ ต่างร่วมกันแสดงความเสียใจจากการจากไปของท่าน.

ท่านผู้นำสูงสุด ได้เป็นเจ้าภาพจัดมัจลิสเพื่อรำลึกถึความยิ่งใหญ่ของท่านมัรฮูม ณ ฮูซัยนียะฮ์อิมาม โคมัยนี ในวันอาทิตย์ ที่6 เดือนอิสฟัน เริ่มเวลาตั้งแต่ 16.00- 17.30 .
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้เข้าเยี่ยมคารวะฮะรอม(สุสาน) อิมามโคมัยนี
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้เข้าเยี่ยมคารวะฮะรอม(สุสาน) อิมามโคมัยนี
เนื่องในวัน ยามมุลลอฮ์ (วันแห่งพระเจ้า) ดะห์เฮฟัจญร์ ( 10วันก่อนชัยชนะของการปฏิวัติ) การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน และเป็นวันครบ การเดินทางกลับยังมาตุภูมิของท่านอิมามโคมัยนี, เช้าวันนี้(วันพุธ) ท่านอยาตุลลอฮคาเมเนอี ผู้นำสูงสุดได้เข้าเยี่ยมคารวะสุสานผู้สถาปนารัฐอิสลามแห่งอิหร่าน พร้อมอ่านฟาฏิหะฮ์เพื่ออุทิศแด่ดวงวิญญานของท่านอิมามโคมัยนี.

ผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เข้าเยี่ยมพร้อมสรรเสริญดวงวิญญาน เหล่าชูฮาดา(ผู้ที่ถูกสังหารในแนวทางพระผู้เป็นเจ้า) ฮัฟเตตีร และเหล่าชูฮาดาในสุสานเบเฮชต์ ซะห์รออีกด้วย.
ประวัติความเป็นมาของการปฏิวัติ, การปกป้องพิทักษ์รัฐอิสลาม, ปัญหาปาเลสไตน์,
ประวัติความเป็นมาของการปฏิวัติ, การปกป้องพิทักษ์รัฐอิสลาม, ปัญหาปาเลสไตน์,
เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา ( 19 กุมภาพันธ์ ) คณะจัดงานมหกรรมภาพยนตร์ภาคประชาชน “อัมมาร์” ได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุด ซึ่งในการเข้าพบครั้งนี้ ฯพณฯ ได้กล่าวถึงเรื่องความสำคัญในประเด็นศาสนา มาอารีฟศาสนา(เรื่องราวทั่วไปเกี่ยวกับศาสนา) อีกทั้งในประเด็นเรื่องการปฏิวัติอิสลาม และคุณค่าแห่งการปฏิวัติต่อการจัดงานมหกรรมครั้งนี้ว่า เป็นเรื่องที่มีความบารอกัต(ความสิริมงคล)เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งท่านกล่าวย้ำว่า มุมมองวงการบันเทิงของศาสนาอิสลามต่อภาพยนตร์นั้น ต้องเป็นการมองที่มีวิสัยทัศน์และการมองแบบระยะยาว พร้อมกับกำหนดแผนงานที่ละเอียดอ่อนและรัดกุม อีกทั้งต้องมีความมุ่งหวังที่ดีในอนาคต โดยการนำเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมในด้านสื่อมาใช้เพื่อพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพและส่งผลในเชิงคุณภาพให้ได้มากที่สุด.

ฯพณฯ ได้กล่าวชื่นชมต่อการจัดงานมหกรรมภาพยนตร์ภาคประชาชน “อัมมาร์” ครั้งนี้ ที่ได้เลือกเอาชื่อ
อัมมาร์ เป็นชื่องาน ถือเป็นการเลือกที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุด เพราะท่านเป็นหนึ่งในสาวกผู้ยิ่งใหญ่ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล)และเป็นมิตรสหายที่ใกล้ชิด ซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดีมากที่สุดท่านหนึ่งของท่านอิมาม
อาลี(อ) พร้อมกันนั้น ฯพณฯ ได้ชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะอันโดดเด่นของบุรุษผู้นี้ว่า อัมมาร์เป็นบุรุษที่ยืนหยัดและมั่นคงในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นๆของอิสลาม อีกทั้งได้เผชิญกับบททดสอบอันหนักหน่วงในยุคสมัยหลังจากท่านศาสดา(ซล), ท่านรู้เท่าทันเหตุการณ์ เข้าใจและเข้าถึงสถานการณ์ที่จำเป็นในทุกกรณี แถมยังมีบทบาทในการกำหนดชะตากรรมในหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของท่านอิมามอาลี(อ) ทั้งหมดคือคุณลักษณะพิเศษและโดดเด่นของบุรุษท่านนี้.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ได้มองอนาคตอย่างสดใส ต่อการยกระดับสัญลักษณ์เชิงอุดมการณ์ และท่านได้ให้ความสำคัญต่อการประเมินคุณค่าในสิ่งนี้พร้อมกล่าวว่า ขบวนการเคลื่อนไหวการปฏิวัติอิสลามอิหร่าน ได้รับชัยชนะเมื่อปี 1357 (1979) อันนำมาซึ่งความปราชัยและความอัปยศอดสู่ให้แก่ชาติมหาอำนาจอเมริกา และอีกหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 34ปี ที่ผ่านมานั้น ล้วนแล้วเป็นปฐมเหตุแห่งการเข้าสู่เป้าหมายหลักของระบบการปกครองในรูปแบบอิสลาม, ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามอย่างทวีคูณ อีกทั้งต้องไม่หวาดหวั่นและเกรงกลัวต่อศัตรูในการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนาๆ, อย่าได้สิ้นหวังและถ้อถ่อย จงขับเคลื่อนและมุ่งหน้ายังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็ว.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ถือว่า การมีทัศนะเช่นนี้ต่อเรื่องราวของอิสลาม และการสร้างภาพยนตร์ศาสนานั้น เป็นสิ่งจำและสำคัญยิ่งนัก. โดยท่านกล่าวย้ำว่า ในเวทีนี้ บรรดาเยาวชนผู้ศรัทธา ที่มีความร่าเริงและความสดใสในวัยหนุ่ม และยังมีวิสัยทัศน์ที่แปลกใหม่พร้อมความตั้งใจจริงนั้น ถือเป็นกำลังสำคัญยิ่ง อันเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่ความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผู้สูงวัยก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดประสบการณ์ของตน และทำการฝึกฝน อบรม เยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ทางการงาน ถือเป็นหน้าที่เร่งด่วนและสำคัญยิ่ง.

ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้เห็นถึงที่มาของภาพยนตร์ตะวันตก ท่านได้กล่าวย้ำถึงความจำเป็นในการกำหนดแผนงาน และการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของเยาวชน พร้อมทั้งเป็นแหล่งค้นหาพรสวรรค์ของเยาวชนในด้านบันเทิงแห่งอิสลามและความสามารถในด้านภาพยนตร์ของศาสนา อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการเข้าร่วมของผู้เคร่งครัดในศาสนา นักปฏิวัติ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีประสบการณ์ในเวทีนี้อีกด้วย.

ในขณะเดียวกัน ฯพณฯท่านผู้นำสูงสุด ยังถือว่า เงื่อนไขหลักในการเข้าสู่ระบบที่หวังผลเชิงประสิทธิภาพนั้น คือ การเข้าร่วมของบรรดาผู้เคร่งครัดต่อศาสนาและนักปฏิวัติในวงการภาพยนตร์ และการไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและสิ่งเร้าที่มาจากสภาพแวดล้อมภายนอก. ท่านได้กล่าวย้ำว่า แนวทางเดียวในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเรื่องนี้ คือการมีสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับเอกองค์อัลลอฮ์(ซบ), การปฏิบัติสิ่งที่เป็นมุสตะฮับอย่างสม่ำเสมอ และการวิงวอนยังพระองค์ เฉกเช่นอัมมาร์ ที่เคยปฏิบัติมาก่อนในการฝ่าฟันมรสุมและท่านสามารถรอดพ้นได้อย่างปลอดภัยอย่างมั่นคง ฯพณฯ ได้กล่าวว่า การประกอบอิบาดะห์, การซิกร์ (รำลึกถึงพระองค์)และการเข้าหาพระองค์อย่างแน่วแน่(ตะวัชซุห์) คือความสุขอันล้ำค่าและสูงส่งเหนือกว่าความสุขอื่นใด

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดถือว่า บทบาทของคณะผู้บริหาร และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องนั้น มีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการภาพยนตร์และสื่อสารมวลชนของประเทศชาติ. โดยท่านผู้นำได้กล่าวย้ำว่า การฟื้นฟูและปรับปรุงแก้ไขในวงการนี้ จำต้องแก้ไขที่พื้นฐานของมันเป็นอันดับแรก.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวว่า บุคคลที่ประกอบอาชีพและมีความเคลื่อนไหวในแวดวงภาพยนตร์ อันมีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับศาสนา การปฏิวัติ และการปกป้องรัฐอิสลามนั้น เป็นที่ประจักษ์ยิ่งว่า เขาคือผู้ที่ต่อสู้ในแนวทางของพระองค์.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดถือว่า การนำเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้, การใช้ประโยชน์จากเรื่องเล่า และการนำบทละครที่เชื่อถือได้มาสร้างภาพยนต์นั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างภาพยนตร์. ซึ่งท่านกล่าวย้ำในเรื่องนี้ว่า เรื่องเล่าที่ถูกประพันธ์ขึ้นมาและนวนิยายภายในประเทศ ต้องมีการสร้างจากเนื้อหาที่ชัดเจนและควรนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจต่อสังคมมากกว่านี้.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ถือว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของการปฏิวัติอิสลาม, การปกป้องรัฐอิสลาม, ปัญหาปาเลสไตน์และการตื่นตัวของโลกอิสลามนั้น คือประเด็นสำคัญในลำดับต้นต่อการสร้างและผลิตภาพยนตร์. โดยท่านกล่าวว่า หนึ่งในประเด็นที่หลอกลวงและมีการโฆษณาในโลกปัจจุบัน กล่าวคือ วงการบันเทิงจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์ใดๆกับวงการเมือง , ในขณะที่วงการบันเทิงในด้านภาพยนตร์ของตะวันตก อาทิเช่น ฮอลลีวูด มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง และหากมิได้เป็นจริงดังกล่าว ไฉนจึงไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์หรือหนังอิหร่านที่มีเนื้อหาต่อต้านยิวไซออนิสต์ เข้าร่วมในงานมหกรรมภาพยนตร์ด้วย ???

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า การสร้างภาพยนตร์ที่ต่อต้านอิหร่านหลายต่อหลายเรื่อง หรือการมอบรางวัลภาพยนตร์ดีเด่นให้กับภาพยนตร์ที่ต่อต้านอิหร่านนั้น เป็นดัชนีชี้วัดที่ชัดเจนที่สุด ต่อกรณีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องโดยตรงระหว่างภาพยนตร์กับการเมืองที่มีอยู่ในอเมริกาและชาติตะวันตกในขณะนี้.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดได้กล่าวชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างมานุษยวิทยา, วงการบันเทิงและภาพยนตร์นั้น มานุษยวิทยาเปรียบเสมือนเป็นลมหายใจของปัญญาชนในประเทศ ที่ต้องแบกรับหน้าที่ในการชี้นำสังคม ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นตัวกำหนดชะตากรรมที่สำคัญของความสะอาดบริสุทธิ์และความสกปรกของอากาศในสังคม.

ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า ปัญหาด้านมนุษยวิทยาของตะวันตก เกิดขึ้นจากพื้นฐานแห่งความเข้าใจที่ผิดๆ . ซึ่งท่านกล่าวย้ำว่า การฟื้นฟูและการปรับปรุงแก้ไขในด้านมนุษยวิทยา และการเปลี่ยนแปลงในวงการภาพยนตร์และรายการทีวีจะไร้ผล หากปราศจากการฟื้นฟูและปรับปรุงแก้ไขพื้นฐานแห่งความเข้าใจอย่างท่องแท้(มะอฺรีฟัต)ในด้านมนุษยวิทยาของชาติตะวันตก และการฟื้นฟูปรับปรุงแก้ไขพื้นฐานดังกล่าวอันนี้ จะบังเกิดผลขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสานสัมพันธ์กับสถาบันศาสนาและบรรดานักปราชญ์แห่งศาสนาเท่านั้น (อาลิมอุลามาอฺ)

ท่านผู้นำสูงสุด ได้กำชับต่อผู้ที่มีใจรักในศาสนาและการปฏิวัติในเหตุการณ์ความขัดแย้งของวงการภาพยนตร์ ควรหลีกเลี่ยงการถกเถียงในเรื่องนอกประเด็น และการหมกมุ่นในความขัดแย้งต่างๆอันไม่บังเกิดผลใดๆ . ท่านกล่าวย้ำว่า บรรดาผู้มีความเคร่งครัดในศาสนา และผู้ยึดมั่นต่อการปฏิวัติในวงการภาพยนตร์นั้น ในบางครั้งอาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งมันมิใช่ปัญหา แต่ทว่าจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามในภารกิจหลักและพื้นฐานของตัวเองเป็นทวีคูณ.

ก่อนที่ ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดจะกล่าวให้โอวาท บรรดาตัวแทนของคณะผู้จัดงานและคณะกรรมการตัดสินงานมหกรรมภาพยนตร์ภาคประชาชน “อัมมาร์” อันประกอบด้วย วาฮีด ญะลีลีย์,นาดีร์ ฏอลิบ ซอเดะห์ , ฮะซัน อับบาซีย์, มะฮ์ดีย์ นะศีรีย์, ซัยยิด ญะมาล อูด ซีย์มียน์, อะบู กอซิม ฏอลิบีย์,ฟารอญุลลอฮ์ ชะละห์ชุร , มุฮัมมัด ศอดิก บาฏีนีย์, อิบรอฮีม ฟัยยาฏ, ซะอีด กอซิม และมุศฏอฟา ริฏานีย์ ได้นำเสนอประเด็นหัวข้อหลักต่างๆดังนี้ :




ภาคประชาชนต้องมีส่วนร่วมในวงการบันเทิง โดยเฉพาะในส่วนของภาพยนตร์ เริ่มจากกระบวนการผลิต สู่การฉาย และการขยายสู่โลกภายนอก

เสริมสร้างและบูรณาการขอบเขตความสามารถของศิลปะที่ถูกทอดทิ้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปฏิวัติอิสลาม.

ต้องใช้ประโยชน์จากสื่อสารมวลชน เพื่อการถ่ายทอดข้อพิพาทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและการปฏิวัติ.

ต้องเสริมสร้างพื้นฐานหลักความศรัทธาให้กับผู้กำกับภาพยนตร์ศาสนา เพื่อคงความปลอดภัยจากสิ่งแปลกปลอม.

พิจารณาความจำเป็นในบทบาทของภาพยนตร์และสื่อในการกำหนดนโยบายและแผนงานที่เกี่ยวข้องในประเทศ.

พัฒนาภาคส่วนต่างๆในการผลิตภาพยนตร์ อาทิเทคโนโลยีด้านสื่อและภาพยนตร์ และจำเป็นต้องกำหนดแผนงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและเจริญเติบโตสู่อนาคต.

กำหนดแผนงานในการอบรมและพัฒนาบุคลากรเยาวชนในวงการภาพยนตร์.
สาส์นแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของท่านดร.ฮาซัน ฮาบีบี
สาส์นแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของท่านดร.ฮาซัน ฮาบีบี
ท่านอยาตุลลอฮ ซัยยิดอาลี คาเมเนอีผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามได้ส่สาส์นแสดงความเสียใจ จากการเสียชีวิตของดร.ฮาซัน ฮาบีบี, ท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงการรับใช้ต่อรัฐอิสลามของมัรฮูม ฮาบีบี ในอดีต และดร.ฮาบีบีคือผู้ศรัทธาที่ซอดิกอย่างแท้จริง รายละเอียดของสาส์นมีดังต่อไปนี้.
ประวัติความเป็นมาของการปฏิวัติ, การปกป้องพิทักษ์รัฐอิสลาม, ปัญหาปาเลสไตน์,และการตื่นตัว
ประวัติความเป็นมาของการปฏิวัติ, การปกป้องพิทักษ์รัฐอิสลาม, ปัญหาปาเลสไตน์,และการตื่นตัว
เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา ( 19 กุมภาพันธ์ ) คณะจัดงานมหกรรมภาพยนตร์ภาคประชาชน “อัมมาร์” ได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุด ซึ่งในการเข้าพบครั้งนี้ ฯพณฯ ได้กล่าวถึงเรื่องความสำคัญในประเด็นศาสนา มาอารีฟศาสนา(เรื่องราวทั่วไปเกี่ยวกับศาสนา) อีกทั้งในประเด็นเรื่องการปฏิวัติอิสลาม และคุณค่าแห่งการปฏิวัติต่อการจัดงานมหกรรมครั้งนี้ว่า เป็นเรื่องที่มีความบารอกัต(ความสิริมงคล)เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งท่านกล่าวย้ำว่า มุมมองวงการบันเทิงของศาสนาอิสลามต่อภาพยนตร์นั้น ต้องเป็นการมองที่มีวิสัยทัศน์และการมองแบบระยะยาว พร้อมกับกำหนดแผนงานที่ละเอียดอ่อนและรัดกุม อีกทั้งต้องมีความมุ่งหวังที่ดีในอนาคต โดยการนำเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมในด้านสื่อมาใช้เพื่อพัฒนาการผลิตให้มีประสิทธิภาพและส่งผลในเชิงคุณภาพให้ได้มากที่สุด.

ฯพณฯ ได้กล่าวชื่นชมต่อการจัดงานมหกรรมภาพยนตร์ภาคประชาชน “อัมมาร์” ครั้งนี้ ที่ได้เลือกเอาชื่อ
อัมมาร์ เป็นชื่องาน ถือเป็นการเลือกที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุด เพราะท่านเป็นหนึ่งในสาวกผู้ยิ่งใหญ่ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล)และเป็นมิตรสหายที่ใกล้ชิด ซื่อสัตย์ และมีความจงรักภักดีมากที่สุดท่านหนึ่งของท่านอิมาม
อาลี(อ) พร้อมกันนั้น ฯพณฯ ได้ชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะอันโดดเด่นของบุรุษผู้นี้ว่า อัมมาร์เป็นบุรุษที่ยืนหยัดและมั่นคงในทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นๆของอิสลาม อีกทั้งได้เผชิญกับบททดสอบอันหนักหน่วงในยุคสมัยหลังจากท่านศาสดา(ซล), ท่านรู้เท่าทันเหตุการณ์ เข้าใจและเข้าถึงสถานการณ์ที่จำเป็นในทุกกรณี แถมยังมีบทบาทในการกำหนดชะตากรรมในหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของท่านอิมามอาลี(อ) ทั้งหมดคือคุณลักษณะพิเศษและโดดเด่นของบุรุษท่านนี้.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ได้มองอนาคตอย่างสดใส ต่อการยกระดับสัญลักษณ์เชิงอุดมการณ์ และท่านได้ให้ความสำคัญต่อการประเมินคุณค่าในสิ่งนี้พร้อมกล่าวว่า ขบวนการเคลื่อนไหวการปฏิวัติอิสลามอิหร่าน ได้รับชัยชนะเมื่อปี 1357 (1979) อันนำมาซึ่งความปราชัยและความอัปยศอดสู่ให้แก่ชาติมหาอำนาจอเมริกา และอีกหลายๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 34ปี ที่ผ่านมานั้น ล้วนแล้วเป็นปฐมเหตุแห่งการเข้าสู่เป้าหมายหลักของระบบการปกครองในรูปแบบอิสลาม, ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามอย่างทวีคูณ อีกทั้งต้องไม่หวาดหวั่นและเกรงกลัวต่อศัตรูในการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆนาๆ, อย่าได้สิ้นหวังและถ้อถ่อย จงขับเคลื่อนและมุ่งหน้ายังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็ว.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ถือว่า การมีทัศนะเช่นนี้ต่อเรื่องราวของอิสลาม และการสร้างภาพยนตร์ศาสนานั้น เป็นสิ่งจำและสำคัญยิ่งนัก. โดยท่านกล่าวย้ำว่า ในเวทีนี้ บรรดาเยาวชนผู้ศรัทธา ที่มีความร่าเริงและความสดใสในวัยหนุ่ม และยังมีวิสัยทัศน์ที่แปลกใหม่พร้อมความตั้งใจจริงนั้น ถือเป็นกำลังสำคัญยิ่ง อันเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่ความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผู้สูงวัยก็เช่นเดียวกัน จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดประสบการณ์ของตน และทำการฝึกฝน อบรม เยาวชนคนรุ่นใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ทางการงาน ถือเป็นหน้าที่เร่งด่วนและสำคัญยิ่ง.

ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้เห็นถึงที่มาของภาพยนตร์ตะวันตก ท่านได้กล่าวย้ำถึงความจำเป็นในการกำหนดแผนงาน และการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการเคลื่อนไหวของเยาวชน พร้อมทั้งเป็นแหล่งค้นหาพรสวรรค์ของเยาวชนในด้านบันเทิงแห่งอิสลามและความสามารถในด้านภาพยนตร์ของศาสนา อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการเข้าร่วมของผู้เคร่งครัดในศาสนา นักปฏิวัติ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีประสบการณ์ในเวทีนี้อีกด้วย.

ในขณะเดียวกัน ฯพณฯท่านผู้นำสูงสุด ยังถือว่า เงื่อนไขหลักในการเข้าสู่ระบบที่หวังผลเชิงประสิทธิภาพนั้น คือ การเข้าร่วมของบรรดาผู้เคร่งครัดต่อศาสนาและนักปฏิวัติในวงการภาพยนตร์ และการไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและสิ่งเร้าที่มาจากสภาพแวดล้อมภายนอก. ท่านได้กล่าวย้ำว่า แนวทางเดียวในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเรื่องนี้ คือการมีสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องกับเอกองค์อัลลอฮ์(ซบ), การปฏิบัติสิ่งที่เป็นมุสตะฮับอย่างสม่ำเสมอ และการวิงวอนยังพระองค์ เฉกเช่นอัมมาร์ ที่เคยปฏิบัติมาก่อนในการฝ่าฟันมรสุมและท่านสามารถรอดพ้นได้อย่างปลอดภัยอย่างมั่นคง ฯพณฯ ได้กล่าวว่า การประกอบอิบาดะห์, การซิกร์ (รำลึกถึงพระองค์)และการเข้าหาพระองค์อย่างแน่วแน่(ตะวัชซุห์) คือความสุขอันล้ำค่าและสูงส่งเหนือกว่าความสุขอื่นใด

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดถือว่า บทบาทของคณะผู้บริหาร และสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องนั้น มีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการภาพยนตร์และสื่อสารมวลชนของประเทศชาติ. โดยท่านผู้นำได้กล่าวย้ำว่า การฟื้นฟูและปรับปรุงแก้ไขในวงการนี้ จำต้องแก้ไขที่พื้นฐานของมันเป็นอันดับแรก.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวว่า บุคคลที่ประกอบอาชีพและมีความเคลื่อนไหวในแวดวงภาพยนตร์ อันมีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับศาสนา การปฏิวัติ และการปกป้องรัฐอิสลามนั้น เป็นที่ประจักษ์ยิ่งว่า เขาคือผู้ที่ต่อสู้ในแนวทางของพระองค์.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดถือว่า การนำเอาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้, การใช้ประโยชน์จากเรื่องเล่า และการนำบทละครที่เชื่อถือได้มาสร้างภาพยนต์นั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างภาพยนตร์. ซึ่งท่านกล่าวย้ำในเรื่องนี้ว่า เรื่องเล่าที่ถูกประพันธ์ขึ้นมาและนวนิยายภายในประเทศ ต้องมีการสร้างจากเนื้อหาที่ชัดเจนและควรนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจต่อสังคมมากกว่านี้.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ถือว่า ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประวัติความเป็นมาของการปฏิวัติอิสลาม, การปกป้องรัฐอิสลาม, ปัญหาปาเลสไตน์และการตื่นตัวของโลกอิสลามนั้น คือประเด็นสำคัญในลำดับต้นต่อการสร้างและผลิตภาพยนตร์. โดยท่านกล่าวว่า หนึ่งในประเด็นที่หลอกลวงและมีการโฆษณาในโลกปัจจุบัน กล่าวคือ วงการบันเทิงจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์ใดๆกับวงการเมือง , ในขณะที่วงการบันเทิงในด้านภาพยนตร์ของตะวันตก อาทิเช่น ฮอลลีวูด มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง และหากมิได้เป็นจริงดังกล่าว ไฉนจึงไม่อนุญาตให้ภาพยนตร์หรือหนังอิหร่านที่มีเนื้อหาต่อต้านยิวไซออนิสต์ เข้าร่วมในงานมหกรรมภาพยนตร์ด้วย ???

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า การสร้างภาพยนตร์ที่ต่อต้านอิหร่านหลายต่อหลายเรื่อง หรือการมอบรางวัลภาพยนตร์ดีเด่นให้กับภาพยนตร์ที่ต่อต้านอิหร่านนั้น เป็นดัชนีชี้วัดที่ชัดเจนที่สุด ต่อกรณีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องโดยตรงระหว่างภาพยนตร์กับการเมืองที่มีอยู่ในอเมริกาและชาติตะวันตกในขณะนี้.

ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดได้กล่าวชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างมานุษยวิทยา, วงการบันเทิงและภาพยนตร์นั้น มานุษยวิทยาเปรียบเสมือนเป็นลมหายใจของปัญญาชนในประเทศ ที่ต้องแบกรับหน้าที่ในการชี้นำสังคม ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นตัวกำหนดชะตากรรมที่สำคัญของความสะอาดบริสุทธิ์และความสกปรกของอากาศในสังคม.

ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า ปัญหาด้านมนุษยวิทยาของตะวันตก เกิดขึ้นจากพื้นฐานแห่งความเข้าใจที่ผิดๆ . ซึ่งท่านกล่าวย้ำว่า การฟื้นฟูและการปรับปรุงแก้ไขในด้านมนุษยวิทยา และการเปลี่ยนแปลงในวงการภาพยนตร์และรายการทีวีจะไร้ผล หากปราศจากการฟื้นฟูและปรับปรุงแก้ไขพื้นฐานแห่งความเข้าใจอย่างท่องแท้(มะอฺรีฟัต)ในด้านมนุษยวิทยาของชาติตะวันตก และการฟื้นฟูปรับปรุงแก้ไขพื้นฐานดังกล่าวอันนี้ จะบังเกิดผลขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสานสัมพันธ์กับสถาบันศาสนาและบรรดานักปราชญ์แห่งศาสนาเท่านั้น (อาลิมอุลามาอฺ)

ท่านผู้นำสูงสุด ได้กำชับต่อผู้ที่มีใจรักในศาสนาและการปฏิวัติในเหตุการณ์ความขัดแย้งของวงการภาพยนตร์ ควรหลีกเลี่ยงการถกเถียงในเรื่องนอกประเด็น และการหมกมุ่นในความขัดแย้งต่างๆอันไม่บังเกิดผลใดๆ . ท่านกล่าวย้ำว่า บรรดาผู้มีความเคร่งครัดในศาสนา และผู้ยึดมั่นต่อการปฏิวัติในวงการภาพยนตร์นั้น ในบางครั้งอาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งมันมิใช่ปัญหา แต่ทว่าจำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามในภารกิจหลักและพื้นฐานของตัวเองเป็นทวีคูณ.

ก่อนที่ ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดจะกล่าวให้โอวาท บรรดาตัวแทนของคณะผู้จัดงานและคณะกรรมการตัดสินงานมหกรรมภาพยนตร์ภาคประชาชน “อัมมาร์” อันประกอบด้วย วาฮีด ญะลีลีย์,นาดีร์ ฏอลิบ ซอเดะห์ , ฮะซัน อับบาซีย์, มะฮ์ดีย์ นะศีรีย์, ซัยยิด ญะมาล อูด ซีย์มียน์, อะบู กอซิม ฏอลิบีย์,ฟารอญุลลอฮ์ ชะละห์ชุร , มุฮัมมัด ศอดิก บาฏีนีย์, อิบรอฮีม ฟัยยาฏ, ซะอีด กอซิม และมุศฏอฟา ริฏานีย์ ได้นำเสนอประเด็นหัวข้อหลักต่างๆดังนี้ :




ภาคประชาชนต้องมีส่วนร่วมในวงการบันเทิง โดยเฉพาะในส่วนของภาพยนตร์ เริ่มจากกระบวนการผลิต สู่การฉาย และการขยายสู่โลกภายนอก

เสริมสร้างและบูรณาการขอบเขตความสามารถของศิลปะที่ถูกทอดทิ้งเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการปฏิวัติอิสลาม.

ต้องใช้ประโยชน์จากสื่อสารมวลชน เพื่อการถ่ายทอดข้อพิพาทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาและการปฏิวัติ.

ต้องเสริมสร้างพื้นฐานหลักความศรัทธาให้กับผู้กำกับภาพยนตร์ศาสนา เพื่อคงความปลอดภัยจากสิ่งแปลกปลอม.

พิจารณาความจำเป็นในบทบาทของภาพยนตร์และสื่อในการกำหนดนโยบายและแผนงานที่เกี่ยวข้องในประเทศ.

พัฒนาภาคส่วนต่างๆในการผลิตภาพยนตร์ อาทิเทคโนโลยีด้านสื่อและภาพยนตร์ และจำเป็นต้องกำหนดแผนงานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและเจริญเติบโตสู่อนาคต.

กำหนดแผนงานในการอบรมและพัฒนาบุคลากรเยาวชนในวงการภาพยนตร์.
ท่านผู้นำสูงสุดแสดงความขอบคุณต่อประชาชาติอิหร่าน ในกรณีการมีบาซีรัต
ท่านผู้นำสูงสุดแสดงความขอบคุณต่อประชาชาติอิหร่าน ในกรณีการมีบาซีรัต
ท่านผู้นำสูงสุดแสดงความขอบคุณต่อประชาชาติอิหร่าน ในกรณีการมีบาซีรัต(ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง) ความกล้าหาญ และการเข้าใจถึงสถานภาพและหน้าที่ของประชาชน ในการร่วมกันสร้างพลังแห่งการเดินขบวนของประชาชนอย่างยิ่งใหญ่และสมเกียรติ..22บะฮ์มัน

หัวข้อ