สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐฯเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

เราไม่สามารถยึดถือหลักการของพวกตะวันตกได้ เพราะมีความขัดแย้งกับคุณค่าอิสลาม

 

ผู้นำทั้งสามสภา บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ และผู้บริหารในระดับต่างๆของประเทศ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี พร้อมทั้งท่านผู้นำได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเดือนรอมฎอน โดยท่านกล่าวถึงการหลงลืมตนเองทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและทางสังคม รวมถึงผลกระทบที่ตามมา โดยท่านผู้นำถือว่า การปรับปรุงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ ท่านผู้นำยังอธิบายถึงศักยภาพและวิธีการต่างๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตร และท่านกล่าวว่า “ความสามัคคีและความร่วมมือของทุกฝ่าย การปฏิรูประบบอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน การรักษามูลค่าของเงินตราแห่งชาติ การสนับสนุนการผลิตและการลงทุนอย่างเต็มที่ การตัดสินใจและมีการดำเนินการอย่างรวดเร็วให้โครงการต่างๆ บรรลุผล การหลีกเลี่ยงความลังเลและการละเลยการงานต่างๆ รวมถึงการต่อสู้กับการลักลอบขนสินค้าอย่างจริงจัง ควรที่จะเป็นวาระสำคัญของทุกหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ทั้งหมด”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงการเข้าร่วมของชะฮีด ราอีซี ในการพบปะกันเจ้าหน้าที่รัฐฯกับผู้นำสูงสุดเมื่อปีที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บุคคลอันเป็นที่เคารพรักผู้นี้ บัดนี้ได้รับรางวัลแห่งความพากเพียรและการรับใช้ของเขาด้วยความเมตตาของพระเจ้า และหากเจ้าหน้าที่ทุกคนมองความรับผิดชอบของตนว่า เป็นโอกาสชั่วครู่ในการรับใช้ พวกเขาก็จะได้รับความเมตตาและความกรุณานี้ด้วยเช่นเดียวกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวขอบคุณคำพูดที่ดีและเป็นประโยชน์ของประธานาธิบดี พร้อมทั้งยกย่องแรงจูงใจและความรู้สึกถึงความรับผิดชอบของเขา ถือว่า มีคุณค่าอย่างมาก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเน้นย้ำของ พณฯท่าน เพเซชกียอน เกี่ยวกับความไว้วางใจในพระเจ้าและความสามารถในการกระทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นแนวทางที่เปิดทางสู่ความสำเร็จ และหากพระเจ้าทรงประสงค์ ในเวลาอันใกล้นี้ ประธานาธิบดีจะประกาศข่าวดีเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ที่ได้กล่าวถึงในการพบปะกันนี้ โดยจะทำให้ประชาชาติมีความสุข”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เดือนรอมฎอนอันจำเริญ เป็นเดือนแห่งการรำลึกถึงพระเจ้า และอัลกุรอาน เป็นคัมภีร์แห่งการรำลึก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า การรำลึกตรงข้ามกับความเพิกเฉยและการหลงลืม ซึ่งในความเพิกเฉยทั้งหลาย การหลงลืมตนเองและพระเจ้า จะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงและไม่สามารถที่จะชดเชยได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงโองการจากอัลกุรอานที่เกี่ยวกับผลกระทบของการหลงลืมพระเจ้า โดยท่านกล่าวว่า “หากมนุษย์หลงลืมพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงหลงลืมเขาเช่นกัน นั่นหมายถึง การที่เขาจะถูกขับออกจากขอบเขตแห่งความเมตตาและการชี้นำของพระเจ้า และจะถูกปล่อยให้อยู่ในสภาพของความพินาศและความหลงทาง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การหลงลืมตนเอง จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งในมิติส่วนบุคคลและมิติทางสังคม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การหลงลืมเป้าหมายที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ในการสร้างมนุษย์ ซึ่งก็คือ การมุ่งสู่ความเป็นตัวแทนของพระองค์บนโลกนี้ และการหลงลืมความตายโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับชีวิตหลังความตาย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการหลงลืมตนเองในมิติส่วนบุคคล  ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการรำลึกถึงพระเจ้า การวิงวอน การแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน และการปฏิบัติศาสนกิจ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรอดพ้นจากการหลงลืมตนเอง จะทำให้มนุษย์ตระหนักถึงความจำเป็นในการตอบสนองต่อพระเจ้า โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เบื้องพระพักต์ของพระเจ้า ผู้ทรงเกรียงไกรนั้นไม่มีที่ให้สำหรับข้อแก้ตัว และการไม่มีคำตอบที่สมเหตุสมผลสำหรับพฤติกรรมและคำพูดของตน จะนำไปสู่ความตกต่ำและความอัปยศทั้งสิ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า การสอบสวนและการชี้ขาดจากพระเจ้าต่อบรรดาเจ้าหน้าที่นั้นหนักหน่วงกว่าประชาชนทั่วไป โดยท่านกล่าวว่า “พวกเราที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐฯ จะต้องระมัดระวังพฤติกรรม คำพูด และการกระทำของตนเองอย่างเข้มงวด และหันหน้าเข้าหาการรำลึกถึงพระเจ้า การวิงวอน และการขอความช่วยเหลือจากพระองค์ให้มากยิ่งขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงผลกระทบร้ายแรงของการหลงลืมตนเองในมิติทางสังคม  โดยอ้างอิงจากโองการที่สะเทือนใจในซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ โดยท่านกล่าวว่า “หากในระบอบสาธารณรัฐอิสลาม เจ้าหน้าที่รัฐฯดำเนินการเหมือนกับเจ้าหน้าที่ของระบอบทรราชในอดีตที่ผ่านมา นั่นถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงและน่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะนำไปสู่ความสูญเสียอันใหญ่หลวง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า จนถึงขณะนี้ เรายังไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่เราต้องมีความกลัวและระมัดระวังไม่ให้ตกอยู่ในภาวะ การหลงลืมตนเองทางสังคม ซึ่งอาจทำให้เราหลงลืมอัตลักษณ์ของตนเอง ปรัชญาของการปฏิวัติอิสลาม และโครงสร้างของระบอบ เราจะต้องไม่ดำเนินนโยบายภายในและต่างประเทศ หรือบริหารประเทศด้วยการพึ่งพาพวกต่างชาติ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ของระบอบทรราชในอดีตที่ผ่านมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า โครงสร้างของระบอบรัฐนี้ ตั้งอยู่บนหลักการและอุดมการณ์ของอัลกุรอาน รวมถึงมาตรฐานและเป้าหมายจากคัมภีร์และซุนนะฮ์ โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยรากฐานนี้ เราไม่สามารถที่จะเดินตามอารยธรรมตะวันตกได้ แน่นอนว่า เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อดีที่มีอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม รวมถึงในอารยธรรมตะวันตก แต่เราไม่สามารถที่จะยึดถือหลักการและมาตรฐานของตะวันตกมาเป็นแนวทางได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านั้นมีความผิดพลาดและขัดแย้งกับคุณค่าอันสูงส่งของอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงความเสื่อมเสียของอารยธรรมตะวันตก ซึ่งเกิดจากการที่พวกตะวันตกแสวงหาผลประโยชน์จากการล่าอาณานิคม การปล้นทรัพยากรของประชาชาติต่างๆ การสังหารหมู่อย่างกว้างขวาง การกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรี รวมถึงการใช้มาตรฐานแบบสองมาตรฐานในประเด็นต่างๆ โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “เสรีภาพในการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารในโลกตะวันตก เป็นเพียงเรื่องโกหก ตัวอย่างเช่น ในสื่อสังคมออนไลน์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตะวันตก ไม่สามารถกล่าวถึงชื่อของนายพลสุไลมานี ซัยยิด ฮะซัน นัศรุลลอฮ์ ชะฮีด ฮะนียะฮ์ และบุคคลสำคัญอื่นๆ ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถประณามอาชญากรรมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในปาเลสไตน์และเลบานอนได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า สื่อกระแสหลักของพวกตะวันตก ได้โกหกประเด็นที่เกี่ยวกับสถานการณ์ในอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “มีสื่อใดหรือบ้างที่พูดถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การรวมตัวของประชาชนเป็นจำนวนมาก และความสำเร็จของประชาชาติและระบอบรัฐอิสลาม? ในขณะที่ พวกเขาจะขยายจุดอ่อนของเราจนใหญ่โตขึ้นเป็นสิบเท่า”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้อ้างอิงถึงคำพูดของนักสังคมศาสตร์ตะวันตกบางคน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “อารยธรรมตะวันตกกำลังเสื่อมถอยลงทุกวัน และเราย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะเดินตามแนวทางของมัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความภาคภูมิใจของประชาชาติอิหร่านยังคงเป็นความจริงที่เด่นชัด แม้จะเผชิญกับกระแสการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบจากเหล่าผู้ประสงค์ร้ายต่ออิหร่านก็ตาม โดยท่านกล่าวว่า “หากเจ้าหน้าที่รัฐฯ ด้วยการรักษาอัตลักษณ์และโครงสร้างของระบอบ และเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง รวมถึงมีการดำเนินโครงการที่ประธานาธิบดีได้กล่าวถึง ประเทศและประชาชนชาวอิหร่านที่ยิ่งใหญ่ จะมีเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งขึ้น และเราสามารถเป็นต้นแบบสำหรับประชาชาติทั้งหลาย แม้กระทั้ง เหล่าผู้นำของบางประเทศอีกด้วย”

ในส่วนหนึ่งของคำปราศรัยที่เกี่ยวกับปัญหาของประเทศ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเศรษฐกิจที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 1390 (ปฏิทินอิหร่าน) จนถึงปัจจุบัน และท่านผู้นำถือว่า เป้าหมายหลักของภัยคุกคามจากศัตรู ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคามทางด้านความมั่นคงหรือข่าวกรอง จะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “เป้าหมายของพวกเขา คือ การทำให้สาธารณรัฐอิสลามไม่สามารถจัดการด้านความเป็นอยู่ของประชาชนได้ ด้วยเหตุนี้เอง ประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การคว่ำบาตรมีบทบาทที่สำคัญในการก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจอย่างที่มิอาจปฏิเสธได้ ในขณะเดียวกัน ท่านกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าการคว่ำบาตรจะเป็นปัจจัยหนึ่งของปัญหาต่างๆ แต่ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด และยังมีความท้าทายบางประการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงแนวทางและมาตรการที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยท่านเน้นย้ำให้เห็นว่า ความสามัคคีภายในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในรัฐบาลเอง และความร่วมมือระหว่างสามสภา (สภาบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการสูงสุด) เป็นหนึ่งในลำดับความสำคัญสูงสุด โดยท่านกล่าวว่า “เงื่อนไขประการแรกของความก้าวหน้า คือ ความสามัคคี ซึ่งในปัจจุบันนี้ ช่างโชคดียิ่งนักที่ในระดับสูงของรัฐบาลมีความสามัคคีกันที่ดี ซึ่งสิ่งนี้จำเป็นที่จะต้องขยายไปยังระดับปฏิบัติการและระดับล่างของระบอบด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของความรวดเร็วในการดำเนินการ ในประเด็นทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งกล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงความล่าช้าและการเกิดช่องว่างระหว่างแนวคิด การตัดสินใจ การดำเนินการ และผลลัพธ์ของนโยบาย โดยท่านกล่าวว่า “ปัญหานี้ส่วนใหญ่มักมาจากการขาดการติดตามงานอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุผลนี้ หนึ่งในคำแนะนำของเราที่มีประธานาธิบดีและเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด คือ การติดตาม การตรวจสอบ และการไม่ปล่อยให้งานค้างคาในแต่ละขั้นตอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความคิดนี้ของผู้บริหารบางคนที่เชื่อว่าการไม่ตัดสินใจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด  เป็นแนวคิดที่อันตรายอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวว่า “หากผู้บริหารไม่กล้าตัดสินใจ เพราะกลัวการถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือการถูกตรวจสอบ ถือเป็นการกระทำที่ผิดพลาด และจะต้องถูกสอบสวนจากพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากพระองค์ไม่เพียงแต่จะพิจารณาการกระทำของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการละเว้นหน้าที่หรือการไม่ลงมือกระทำสิ่งที่ควรจะทำอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ คือเจ้าหน้าที่รัฐฯจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับศักยภาพของประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แม้จะมีการพูดถึงทรัพยากรและศักยภาพของประเทศบ่อยครั้ง แต่ยังขาดการตระหนักรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บรรดาเยาวชน ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมที่น่าทึ่งของพวกเขาในภาคส่วนต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และงานวิจัย รวมถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหนึ่งในศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ โดยท่านยังกล่าวว่า “ทรัพยากรทางธรรมชาติของเรา คือ ศักยภาพที่สำคัญอื่นๆ เช่น น้ำมันและแร่ธาตุต่าง ๆ ถือเป็นหนึ่งในทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก และยังมีอีกหลายแหล่งที่ยังไม่ได้ถูกค้นพบหรือใช้ประโยชน์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัญหาการลักลอบการนำเข้าและการส่งออกสินค้าอย่างผิดกฎหมาย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การที่เราไม่มีความจริงจังเพียงพอในการตัดสินใจ ดำเนินการ และติดตามผลเกี่ยวกับการต่อสู้กับปัญหานี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการคว่ำบาตรแต่อย่างใด”

อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญทางเศรษฐกิจที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามกล่าวถึง คือ การปฏิรูประบบอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศ  โดยท่านเน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างค่าเงินของประเทศ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรักษามูลค่าของสกุลเงินของชาติ เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่า มีผลโดยตรงต่อคุณภาพการดำเนินชีวิตของประชาชน การเสริมกำลังซื้อของพวกเขา และยกระดับเกียรติยศของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ในประเด็นนี้ การย้อนกลับสู่สกุลเงินต่างๆจากการส่งออก เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ให้เห็นถึงโครงการของประธานาธิบดีผู้ล่วงลับ ชะฮีด ราอีซี ซึ่งมุ่งเน้นให้บริษัทขนาดใหญ่ของรัฐที่มีรายได้จากเงินตราต่างประเทศ นำรายได้ไปใช้ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ระบบน้ำ โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้าในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แน่นอนว่า รายงานต่างๆที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นนำเสนอเกี่ยวกับโครงการนี้ ไม่มีความน่าเชื่อถือ และในขณะเดียวกัน เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ที่รายได้จากอัตราแลกเปลี่ยนของบริษัทภาครัฐ จะไม่ถูกส่งเข้าสู่รัฐบาลและธนาคารกลาง ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องหามาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหานี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การให้ความสำคัญกับการผลิตภายในประเทศ เป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การสนับสนุนทางกฎหมาย การจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับภาคการผลิต การกำจัดอุปสรรคและระเบียบข้อบังคับที่ไม่จำเป็น รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต เป็นกรณีต่างๆที่จำเป็น นอกจากนี้ ท่านยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ประชาชนและโดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐจะต้องยึดมั่นในการใช้สินค้าภายในประเทศ และหลีกเลี่ยงการนำเข้าสินค้าที่มีการผลิตในประเทศอยู่แล้ว”

อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้กล่าวถึงในด้านเศรษฐกิจ คือ ประเด็นการลงทุน โดยท่านกล่าวว่า “หนึ่งในเป้าหมายของมาตรการคว่ำบาตร คือ การขัดขวางการลงทุนจากต่างประเทศ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีแนวทางในการรับมือกับปัญหานี้อยู่”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเพิ่มการลงทุนภายในประเทศ คือ การอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน เพื่อให้พวกเขารู้สึกว่า การลงทุนให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและมีกำไรที่ดี”

ในช่วงท้ายของคำปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้แสดงความพึงพอใจต่อบทบาทที่กระตือรือร้นของกระทรวงการต่างประเทศ และท่านผู้นำเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ โดยท่านกล่าวว่า “รัฐบาลและบุคคลบางส่วนจากต่างประเทศที่มีแนวคิดก้าวร้าว พยายามผลักดันให้มีการเจรจา ในขณะเดียวกัน เป้าหมายของพวกเขาในการเจรจา ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหา แต่ทว่าพวกเขาต้องการใช้นโยบายการบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามยอมรับเงื่อนไขของตนเอง หากฝ่ายตรงข้ามยอมรับก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา แต่หากไม่ยอมรับ พวกเขาก็จะก่อให้เกิดกระแสข่าวโจมตีและกล่าวหาว่า อีกฝ่ายไม่ยอมเข้าร่วมในการเจรจา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ปัญหาของพวกเหล่านั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเด็นโครงการนิวเคลียร์เท่านั้น แต่พวกเขาต้องการใช้การเจรจาเป็นช่องทางในการกดดันอิหร่านให้ยอมรับเงื่อนไขใหม่ๆ เช่น การจำกัดขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศและบทบาทระหว่างประเทศของอิหร่าน รวมถึงข้อเรียกร้องที่ว่า อิหร่านจะต้องไม่กระทำสิ่งใดบางอย่าง ไม่พบปะกับบุคคลบางคน และไม่เพิ่มระยะยิงของขีปนาวุธ ซึ่งแน่นอนว่า อิหร่านจะไม่มีวันยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้เป็นอันขาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามในการเรียกร้องให้มีการเจรจาซ้ำ ๆ คือ การสร้างแรงกดดันต่อความคิดเห็นของสาธารณชน โดยท่านกล่าวว่า พวกเขาต้องการให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่า ทำไมอิหร่านถึงไม่ยอมเจรจาทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงความพร้อม แต่ในความเป็นจริง เป้าหมายของพวกเขา ไม่ใช่การเจรจาอย่างแท้จริง แต่เป็นการบังคับและยัดเยียดเงื่อนไขตามที่ต้องการ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงคำแถลงของสามประเทศในยุโรปที่กล่าวหาว่า อิหร่านไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีด้านนิวเคลียร์ในข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ควรที่จะถามพวกเขาว่า พวกท่านปฏิบัติตามพันธกรณีในข้อตกลงนี้หรือไม่?  พวกเขานั้นไม่ได้ปฏิบัติตามพันธกรณีตั้งแต่วันแรก และหลังจากที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว พวกเขาก็ให้สัญญาว่าจะชดเชยผลกระทบ แต่ท้ายที่สุดก็ละเมิดสัญญาถึงสองครั้งด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การที่พวกยุโรปไม่รักษาคำมั่นสัญญาและในขณะเดียวกันกลับกล่าวหาว่า อิหร่านได้ละเมิดข้อตกลงนั้น เป็นการแสดงออกถึงการขาดความละอายอย่างที่สุดของพวกเขา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลในขณะนั้นได้อดทนต่อสถานการณ์ดังกล่าวมาเป็นเวลา 1 ปี และหลังจากนั้นรัฐสภาอิสลามได้เข้ามาดำเนินการและผ่านมติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และในปัจจุบันนี้ ก็ไม่มีทางเลือกอื่นในการตอบโต้การใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมและการบีบบังคับ”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พณฯ เพเซชกียอน ประธานาธิบดีได้กล่าวอธิบายเกี่ยวกับการดำเนินการครั้งล่าสุดของรัฐบาล สำหรับการเสริมสร้างความสามัคคีภายในประเทศและบรรลุวิสัยทัศน์ในการพัฒนาของระบอบรัฐฯ โดยเขาได้ประกาศถึงการดำเนินการ 5 โครงการหลักด้านเศรษฐกิจ โดยท่านประธานาธิบดีกล่าวว่า “การเติบโตของการผลิต การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การแก้ไขปัญหาด้านค่าครองชีพ การแก้ไขความไม่สมดุล  และการดำเนินตามโครงการด้านยุทธศาสตร์และโครงการระดับชาติ  เป็นเรื่องที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่

พณฯ เพเซชกียอน ได้กล่าวถึงการตัดไฟฟ้าและก๊าซในบางพื้นที่ของประเทศเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรง โดยเขากล่าวแสดงความหวังว่า “ตามแบบแผนที่วางไว้ ความไม่สมดุลในด้านพลังงานจะได้รับการแก้ไขในปีหน้า”

ท่านประธานาธิบดี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการใช้ศักยภาพสูงสุดจากประเทศเพื่อนบ้านและชาวอิหร่านที่พำนักในต่างประเทศ และเขาได้ยืนยันว่า “รัฐบาลชุดที่ 14 จะสนับสนุนนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ”  พร้อมทั้งเขาได้ประกาศโครงการลงทุนที่ใหญ่ หลายโครงการในประเทศ

พณฯ เพเซชกียอน ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงหลักการ เกียรติและศักดิ์ศรี วิทยปัญญาและผลประโยชน์ ในการดำเนินการตามนโยบายต่างประเทศ โดยถือว่า ความสามัคคีของชาติ เป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อภัยคุกคามใดๆจากเหล่าศัตรู และเขากล่าวเสริมว่า “ไม่มีอำนาจใดที่จะสามารถเอาชนะประชาชนที่พึ่งพาพระเจ้าและเดินตามหลังผู้นำสูงสุดของเขาอย่างเป็นเอกภาพ”

ท่านประธานาธิบดี ยังได้เริ่มต้นด้วยการพูดถึงความสำคัญของเดือนรอมฎอน โดยเขาถือว่า เดือนนี้ เป็นเดือนแห่งโอกาสในการย้ำเตือนความสำคัญของการดำเนินการตามความยุติธรรม การหลีกเลี่ยงจากการเลือกปฏิบัติ ความซื่อสัตย์ การช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก การแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประชาชน และการกำจัดความอยุติธรรมและการคอร์รัปชัน และเขากล่าวว่า “เนื้อหาในศาสนานั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อการอ่านเพียงอย่างเดียว แต่มีไว้เพื่อการปฏิบัติ ซึ่งสิ่งนี้ต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การอดทนต่อกัน และความร่วมมือระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย”

700 /