กลุ่มผู้บัญชาการของกองทัพอากาศและกองทัพป้องกันภัยทางอากาศ เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ เนื่องในโอกาสครบรอบเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในการแสดงความจงรักภักดีของกลุ่มผู้บัญชาการกองทัพอากาศ เจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศและกองทัพป้องกันภัยทางอากาศต่อท่านอิมามโคมัยนี เมื่อวันที่ 19 บะห์มัน 1357 (ตามปฏิทินอิหร่าน)
ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันที่ 19 บะห์มัน เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ถือกำเนิดกองทัพที่มีภาคภูมิใจ เป็นอิสระ และมีอัตลักษณ์ พร้อมทั้งท่านได้ให้เห็นชี้ถึงประสบการณ์ที่ไร้ผลลัพท์จากการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ในช่วงทศวรรษที่ 90 และการที่สหรัฐละเมิดพันธสัญญาทั้งหมดของตนเอง โดยท่านเน้นย้ำว่า “การเจรจากับสหรัฐอเมริกาไม่ได้แก้ปัญหาใด ๆ รวมถึงความยากลำบากทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพ เช่นเดียวกับที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ด้วยเหตุนี้เอง วิธีทางแก้ไขปัญหาคือ ความอุตสาหะพยายามของบรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความรับผิดชอบและความร่วมมือของประชาชาติที่เป็นเอกภาพ ซึ่งหากพระเจ้าทรงประสงค์ ในวันที่ 22 บะห์มัน เราจะได้เห็นถึงความสามัคคีและความเป็นหนึ่งใจเดียวกันนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาและการถกเถียงเกี่ยวกับการเจรจาในหนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์ และคำพูดของบางคน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แกนหลักของคำพูดเหล่านี้ คือ ประเด็นการเจรจากับสหรัฐฯ และมีการกล่าวถึงการเจรจาในฐานะเป็นการงานที่ดี ราวกับว่าไม่มีผู้ใดคัดค้านความดีของการเจรจาเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการทำงานอย่างหนักของกระทรวงการต่างประเทศของประเทศเราในด้านการเจรจา การเดินทางไปมาหาสู่ และการบรรลุข้อตกลงกับทุกประเทศทั่วโลก พร้อมทั้งท่านเน้นย้ำว่า “ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวในเรื่องนี้ คือ สหรัฐอเมริกา แน่นอนว่า ชื่อของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เราไม่นับเป็นข้อยกเว้น เพราะว่า ระบอบรัฐเถื่อนนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาลเลย แต่เป็นเพียงกลุ่มอาชญากรที่ยึดครองแผ่นดินเท่านั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวอธิบายถึงเหตุผลที่สหรัฐฯ ถูกจัดให้เป็นข้อยกเว้นในการเจรจา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บางคนพยายามทำให้ดูเหมือนว่า หากเรานั่งโต๊ะเจรจา ปัญหานั้นจะได้รับการแก้ไข แต่ทว่า ในความเป็นจริงที่เราจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องก็คือ การเจรจากับสหรัฐฯ ไม่มีผลใดๆ ในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงประสบการณ์เชิงลบในทศวรรษที่ 90 และช่วงเวลาประมาณ 2 ปีของการเจรจากับสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ ซึ่งนำไปสู่การลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลในยุคสมัยนั้น เราได้นั่งโต๊ะเจรจากับพวกเขา มีการเดินทางไปมาหาสู่ การหัวเราะ การจับมือกัน และการสร้างมิตรภาพ รวมถึงการกระทำทุกอย่าง จนในที่สุดเกิดข้อตกลงที่ฝ่ายอิหร่านยอมให้สัมปทานอย่างมากมายด้วยใจกว้าง แต่สหรัฐฯ กลับไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงคำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันเกี่ยวกับการฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) โดยท่านกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อน ซึ่งได้ยอมรับในข้อตกลงดังกล่าว ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามด้วยเช่นกัน มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่ควรจะถูกยกเลิกนั้นกลับไม่ได้ถูกยกเลิก และประเด็นของสหประชาชาติก็ยังคงค้างคาอยู่เหมือนหนามที่ทิ่มแทง ซึ่งกลายเป็นภัยคุกคามที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของอิหร่านมาโดยตลอด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเรียนรู้จากประสบการณ์ สองปีของการเจรจา การยอมให้ข้อได้เปรียบ และการประนีประนอม แต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ พร้อมทั้งท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สหรัฐฯ ได้ละเมิดข้อตกลงนั้น ถึงแม้ว่าข้อตกลงจะมีข้อบกพร่องอย่างมากมาย และสหรัฐฯได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง การเจรจากับรัฐบาลเช่นนี้ จึงไม่สมเหตุสมผล ไม่เฉลียวฉลาด และไม่สมเกียรติ และเราก็ไม่ควรเจรจากับพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาต่างๆภายในประเทศและปัญหาค่าครองชีพของประชาชนส่วนใหญ่ที่กำลังเผชิญอยู่ โดยท่านกล่าวว่า “สิ่งที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆได้ คือ ปัจจัยภายใน กล่าวคือ ความอุตสาหะพยายามของบรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งมีความรับผิดชอบและความร่วมมือของประชาชนที่เป็นเอกภาพ ซึ่งในการเดินขบวนในวันที่ 22 บะห์มัน จะเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีระดับชาติ และหากพระเจ้าทรงประสงค์ ปีนี้เราจะได้เห็นถึงความเป็นเอกภาพนั้นอีกครั้ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประชาชาติที่มีวิสัยทัศน์และเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ผู้ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย เป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่าๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ขอขอบคุณต่อพระเจ้าที่บรรดาเจ้าหน้าที่กำลังทำงานอย่างจริงจัง และเรามีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันจะสามารถลดปัญหาค่าครองชีพของประชาชนและขจัดความยากลำบากได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความพยายามของสหรัฐฯ ในการเปลี่ยนแผนที่โลกโดยท่านกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเขากระทำไม่มีความเป็นจริงเลย มันเป็นเพียงแค่สิ่งที่เขียนลงบนกระดาษเท่านั้น และแน่นอนว่า พวกเขายังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ พูดคุย และข่มขู่เราเกี่ยวเรื่องนี้อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “หากพวกเขาข่มขู่เรา เราก็จะข่มขู่พวกเขากลับด้วยเช่นกัน หากพวกเขาดำเนินการตามการข่มขู่ เราก็จะดำเนินการตามการข่มขู่ของเราด้วยเช่นกัน และหากพวกเขาละเมิดความมั่นคงของประชาชาติของเรา เราก็จะละเมิดความมั่นคงของพวกเขาโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า พฤติกรรมนี้มาจากอัลกุรอานและคำสอนของอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พระผู้เป็นเจ้า จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ของเรา”
ในภาคส่วนแรกของคำปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันที่ 19 บะห์มัน 1357 (ตามปฏิทินอิหร่าน) เป็นความทรงจำอันจำเริญและความรุ่งโรจน์ โดยท่านกล่าวว่า “การดำเนินการที่กล้าหาญของเยาวชนเหล่านั้นได้กำหนดเส้นทางของกองทัพใหม่ และเป็นเหตุทำให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรต่าง ๆ ของกองทัพได้รับแรงบันดาลใจจากการให้คำสัตยาบันนั้นเพื่อเข้าร่วมกับประชาชน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวยกย่องเทอดเกียรติบรรดาชะฮีดที่มีชื่อเสียง เช่น นายพลซัยยาด ชีรอซี นายพลซัตตารี นายพลบาบาอี นายพลกูลาฮ์ดูซ และนายพลฟัลลาฮี โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดวีรบุรุษเหล่านี้ คือ การเคลื่อนไหวที่กล้าหาญของกลุ่มนักบินและเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศสามวันก่อนชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามและในช่วงเวลาที่อันตรายอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คุณลักษณะที่สำคัญของการเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 19 บะห์มัน ปี 1357 คือ สิ่งที่ประเทศและประชาชนในปัจจุบันนี้มีความต้องการ พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “ความกล้าหาญ และ การตัดสินใจที่ทันต่อเวลา เป็นคุณลักษณะที่โดดเด่นของการดำเนินการของเจ้าหน้าที่นักบินในวันนั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การตัดสินใจที่ตรงต่อเวลา ในเวลาที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “กลุ่มเตาวาบีน (ผู้กลับใจ) ไม่ได้มาช่วยเหลืออิมามฮุเซน (อ.) ในเหตุการณ์อาชูรอ แต่พวกเขาได้ลุกขึ้นต่อสู้ในภายหลังและเสียชีวิตทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การกระทำนั้นไม่มีผลลัพธ์ เพราะมันไม่เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตัดสินใจที่มีเหตุผลและการกระทำที่ตั้งอยู่บนการคำนวณอย่างรอบคอบ เป็นอีกหนึ่งลักษณะพิเศษของการเคลื่อนไหวในวันนั้นของกลุ่มนักบิน พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “บางคนคิดว่า การเคลื่อนไหวแบบการปฏิวัติอิสลาม เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับความมีเหตุผล แต่ในความเป็นจริง การเคลื่อนไหวแบบการปฏิวัติอิสลามนั้นต้องการความมีเหตุผลและการคำนวณมากกว่าการเคลื่อนไหวอื่นใด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การใช้ประโยชน์จากการเพิกเฉยของศัตรู เป็นคุณลักษณะที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของการดำเนินการของเจ้าหน้าที่นักบินในวันนั้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หน่วยข่าวกรองและผู้บัญชาการของกองทัพในยุคนั้นไม่สามารถตรวจพบหรือคาดเดาการเคลื่อนไหวนี้ได้ โดยเฉพาะในกองทัพอากาศ และในความเป็นจริง พวกเขานั้นได้รับความเสียหายในจุดที่ไม่คาดคิด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการกระทำของระบอบปาห์ลาวีในการกำหนดให้กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบทหารสหรัฐฯ โดยท่านกล่าวว่า “โครงสร้าง อาวุธ และการฝึกอบรมของกองทัพในยุคนั้น ล้วนเป็นของอเมริกาทั้งสิ้น การแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญและแม้กระทั่งวิธีการใช้อาวุธก็จะต้องได้รับอนุญาตจากสหรัฐฯ ระดับของการพึ่งพาสหรัฐฯ นั้นมีความรุนแรงถึงขนาดที่ชาวอิหร่านไม่ได้รับอนุญาตให้ถอดหรือซ่อมแซมชิ้นส่วนประกอบของอาวุธได้ด้วยตัวเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำปราศรัยของท่านอิมามโคมัยนีในเดือนออบอน ปี 1343 ที่คัดค้านอย่างรุนแรงต่อกฎหมายคาปิตูเลชั่น(การยอมจำนน) โดยท่านได้ชี้ให้เห็นว่า คำปราศรัยนั้นเป็นการประท้วงต่อการครอบงำอย่างน่าอัปยศของสหรัฐฯ ที่มีต่อกองทัพและประเทศ พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “ตามกฎหมายคาปิตูเลชั่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ในทุกระดับของระบอบปาห์ลาวียอมรับ จะไม่มีชาวอเมริกาคนใด ไม่ว่าจะกระทำความผิดใดก็ตาม จะต้องถูกดำเนินคดีในอิหร่านได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ช่วงสงครามป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ (สงครามอิรัก-อิหร่าน) เป็นเวทีที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกองทัพที่ได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยท่านกล่าวว่า “บรรดาทหารที่เป็นชะฮีดหลายพันนาย จะเป็นแสงส่องประกายดั่งดวงดาวในหน้าประวัติศาสตร์ของอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปกป้องอิหร่าน เป็นหน้าที่สำคัญอันดับแรก และการเสริมสร้างกองทัพ เป็นภารกิจสำคัญที่สุด พร้อมทั้งท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “กองทัพจำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ การฝึกอบรม ความพร้อมด้านการสู้รบและการป้องกัน การแก้ไขจุดอ่อนและการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ยังสามารถที่กระทำการงานที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้อีกด้วยเช่นกัน”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พลตรี ฮะมิด วาฮิดี ผู้บัญชาการกองทัพอากาศแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานในตลอดปีที่ผ่านมา โดยครอบคลุมถึงการเพิ่มศักยภาพของโดรน (อากาศยานไร้คนขับ) การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการป้องกันทางไซเบอร์ การควบคุมห้องสงครามอัจฉริยะ การจัดการซ้อมรบและการแข่งขันทางทหาร รวมถึงการมุ่งเน้นไปที่การฝึกอบรมบุคลากรที่มีความสามารถ มีแรงจูงใจ และมีจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติอิสลาม