สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

เจ้าหน้าที่รัฐฯ ทูตานุทูตและผู้แทนประเทศอิสลาม และประชาชนเข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

ชัยชนะของประชาชนชาวกาซ่าต่อรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เกิดจากการใช้สติปัญญาและความศรัทธา

บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ ทูตานุทูตและผู้แทนประเทศอิสลาม และประชาชนจากหลากหลายอาชีพ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องในวันครบรอบปีแห่งการแต่งตั้งศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ของอิสลาม  (บิอ์ษัต)

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวในการพบปะกันครั้งนี้ว่า การแต่งตั้งศาสดา ถือเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและสำคัญที่สุดสำหรับสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะบรรดามุสลิม คือ การใช้สติปัญญาและความศรัทธาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและความเข้าใจ โดยท่านยังเน้นย้ำว่า “ในยุคปัจจุบัน ขบวนการมุกอวะมะฮ์ ซึ่งเริ่มต้นจากการปฏิวัติอิสลาม เป็นตัวอย่างของการแต่งตั้งศาสดาที่ใช้สติปัญญาและความศรัทธาเพื่อปลุกจิตสำนึกของบรรดามุสลิมและแม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม และการที่รัฐเถื่อนไซออนิสต์ต้องยอมจำนนต่อกาซ่าและเลบานอน อันเป็นผลมาจากขบวนการมุกอวะมะฮ์ดังกล่าว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับวันอีดมับอัษอันจำเริญต่อแก่ประชาชาติอิหร่านและประชาชาติมุสลิม รวมทั้งบรรดาอิสรชนและผู้เรียกร้องอิสระและเสรีภาพทั่วโลก ด้วยความประจวบเหมาะที่วันอีดนี้ อยู่ในเดือนบะฮ์มัน ซึ่งเป็นเดือนแห่งชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม ที่ได้รับมากระแสของบิอ์ษัต โดยท่านกล่าวว่า “การแต่งตั้งศาสดา (บิอ์ษัต) เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีความประเสริฐที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะว่า ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนในยุคนั้นและยุคต่อมา หลังจากนั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เครื่องมือของบรรดาศาสดาสำหรับการสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมมนุษย์ คือ องค์ประกอบของสติปัญญาและความศรัทธา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดาศาสดา ด้วยการปลุกจิตสำนึกของสติปัญญาและความศรัทธาภายในมนุษย์ ช่วยให้มนุษยชาติพบกับแนวทางในการเจริญเติบโตและเส้นทางที่เที่ยงตรง และนี่คือเหตุผลที่อัลกุรอานได้เน้นย้ำหลายครั้งถึงการใช้ความคิด สติปัญญา และการใคร่ครวญ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความศรัทธาและหลักการหลักของมัน กล่าวคือ เตาฮีด ซึ่งเป็นโครงสร้างของโลกทัศน์แห่งอิสลามและเป็นรากฐานของการสร้างสังคมอิสลาม โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การแต่งตั้งศาสดา ไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวและชั่วข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและเกิดขึ้นตลอดไป ซึ่งตั้งอยู่บนเงื่อนไขในการใช้สติปัญญาและความศรัทธาที่สามารถใช้ประโยชน์จากบะรอกัตและบทเรียนต่างๆของมันในทุกยุคสมัย เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การปฏิบัติ และการแก้ไขปัญหาต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในสาส์นที่สำคัญของการแต่งตั้งศาสดาสำหรับรัฐบาลและประชาชาติมุสลิม คือ ความเชื่อในความเป็นจริงที่ว่า เกียรติยศเป็นของพระผู้เป็นเจ้า โดยท่านกล่าวว่า “และด้วยเกียรติยศจากพระองค์ ไม่มีศัตรูหรือปัจจัยภายนอกใดที่จะสามารถส่งผลกระทบเชิงลบต่อด้านจิตวิญญาณและร่างกายได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมองเหตุการณ์ในโลกปัจจุบันอย่างมีสติปัญญาสำหรับทั้งหมดทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาเจ้าหน้าที่ ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอิหร่าน เป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งท่านผู้นำยังกล่าวอธิบายถึงแนวทางของลัทธิล่าอาณานิคมในการปล้นสะดมทรัพยากรของสังคมมนุษยชาติ โดยท่านกล่าวว่า “ประวัติศาสตร์ของลัทธิล่าอาณานิคมแสดงให้เห็นถึงสามขั้นตอน คือ การปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติ การปล้นวัฒนธรรมและการทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิม  และการปล้นและการยึดอัตลักษณ์แห่งชาติและศาสนาของประชาชาติทั้งหลาย และในปัจจุบันนี้ กลไกอำนาจที่ทรงพลังและชั่วร้ายของโลกกำลังพยายามบังคับใช้ทั้งสามขั้นตอนของลัทธิล่าอาณานิคมต่อประชาชาติเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รัฐบาลอเมริกา เป็นแกนนำของมหาอำนาจที่กดขี่และล่าอาณานิคม และเป็นรัฐบาลที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มการเงินที่ทรงพลังของโลก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “กลุ่มการเงินขนาดใหญ่กำลังวางแผนทุกวัน เพื่อเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ ผลประโยชน์ของประชาชาติ และการขยายอิทธิพลล่าอาณานิคมของพวกเขา และตามที่อัลกุรอานได้กล่าวไว้ พวกเขาชอบทุกสิ่งที่ทำให้พวกประสบกับปัญหา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงโองการอัลกุรอานที่กล่าวว่า ความเกลียดชังของเหล่าศัตรูอิสลามมีมากกว่าที่พวกเขาแสดงออกทางคำพูดและพฤติกรรม โดยท่านกล่าวว่า “การที่สมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ปรบมือให้กับฆาตกรที่สังหารเด็กนับพันคนและมอบเหรียญรางวัลให้กัปตันเรือสหรัฐฯ ที่ยิงเครื่องบินโดยสารของอิหร่านที่มีผู้โดยสาร 300 คน ถือเป็นตัวอย่างของความชั่วร้ายและความเกลียดชังที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มทางการทูต และเราจะต้องเปิดสายตาให้กว้างต่อความจริงเหล่านี้ และตามคำกล่าวของอัลกุรอานไม่ควรแสวงหามิตรภาพที่ซ่อนเร้นกับพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นของการตื่นตัวในการเผชิญหน้ากับโลก โดยท่านเน้นย้ำว่า “เราจะต้องระมัดระวังว่า เรากำลังเผชิญหน้าและพูดคุยกับใคร”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ขบวนการมุกอวะมะฮ์ในยุคปัจจุบัน เป็นส่วนหนึ่งของการแต่งตั้งศาสดาและเกิดจากการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน โดยท่านยังชี้ให้เห็นถึงชัยชนะอันน่าประหลาดใจของกาซ่าว่า พื้นที่เล็กๆ แห่งนี้สามารถทำให้รัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐฯ ต้องยอมจำนน และชัยชนะนี้เกิดจากการใช้สติปัญญาและความศรัทธา และการมอบใจให้กับพระเจ้าและความเชื่อในเกียรติยศจากพระองค์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนหยัดของฮิซบุลลอฮ์ที่กล้าหาญ แม้จะสูญเสียชะฮีดนัศรุลลอฮ์ เป็นอีกตัวอย่างของการต่อสู้ที่โดดเด่นในยุคสมัยปัจจุบัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “มีบุคคลสำคัญในโลกเพียงไม่กี่คนที่เทียบเท่ากับซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ และการสูญเสียบุคคลเช่นนี้ ในขณะที่ทั้งมิตรและศัตรูต่างคิดว่าฮิซบุลลอฮ์จบสิ้นแล้ว แต่ฮิซบุลลอฮ์ได้แสดงให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ยังไม่จบสิ้น ซึ่งในบางกรณียังมีแรงจูงใจมากยิ่งขึ้นในการยืนหยัดต่อสู้กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พณฯ เพเซชกียอน ประธานาธิบดีอิหร่าน ถือว่า เป้าหมายของการแต่งตั้งศาสดา คือ การสถาปนาความจริงและความยุติธรรมเพื่อขจัดความขัดแย้งต่างๆ โดยเขาชี้ให้เห็นถึงการดำเนินการประการแรกๆของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) หลังจากอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮ์เพื่อสร้างสนธิสัญญาแห่งความเป็นพี่น้องระหว่างกลุ่มชนเผ่าที่มีความขัดแย้งกันมายาวนาน โดยเขากล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ อิหร่าน ชุมชนมุสลิม และทุกชาติพันธุ์ ต้องการการยึดมั่นในมุมมองนี้มากกว่าที่เคยเป็นมา”

พณฯ เพเซชกียอน ยังชี้ให้เห็นในตอนท้ายถึงอาชญากรรมของเหล่าชาติมหาอำนาจ และการหลั่งเลือดชาวมุสลิมและเด็กๆ ด้วยข้ออ้างต่างๆ โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยความเป็นเอกภาพและความสามัคคีของบรรดามุสลิม จะเป็นการปูพื้นฐานสำหรับการบรรลุความยุติธรรม และความฝันของเหล่าผู้กดขี่สำหรับการก่อสงครามและการนองเลือดครั้งต่อไป จะทำให้ความสับสนวุ่นวายเกิดขึ้น”

700 /