กลุ่มผู้ประกอบการ นักลงทุน และนักเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจ หลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำ ถือว่า ความก้าวหน้าและนวัตกรรมของภาคเอกชน เป็นแรงบันดาลใจที่นำไปสู่ความหวังและการขับเคลื่อน และท่านยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการดำเนินการด้านสื่ออย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชน โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนได้รับทราบถึงความสำเร็จอันน่ายินดีเหล่านี้ พร้อมกับท่านกล่าวว่า “ระบบการตัดสินใจและการดำเนินการของประเทศ จะต้องให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเอกชนอย่างแท้จริง และการขจัดอุปสรรคออกจากเส้นทางแห่งความก้าวหน้าและการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ”
ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงชัยชนะของขบวนการต่อสู้ในฉนวนกาซ่า โดยท่านกล่าวว่า “สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสายตาชาวโลกนั้นเสมือนเรื่องในนิทานปรัมปรา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การพบปะกันครั้งนี้ มีความหอมหวานและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง อีกทั้งการรายงานจากบรรดานักขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของความพยายามของศัตรูในการสร้างบรรยากาศแห่งความสิ้นหวังและความท้อแท้ ถือเป็นแหล่งชีวิตและความก้าวหน้า โดยท่านกล่าวว่า ช่างน่าเสียใจอย่างยิ่ง เนื่องจากการปฏิบัติงานน้อยในด้านการสื่อสาร บรรดาเยาวชน นักศึกษา และกลุ่มประชาชนอื่นๆ ไม่ได้รับทราบข่าวดีและความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย จะต้องหารือและวิเคราะห์อย่างละเอียดในเรื่องนี้ เพื่อวางแบบแผนและดำเนินการทางด้านสื่อที่สำคัญในเรื่องนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการพบปะกับบรรดานักขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ 5 ครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า “ในปี 1398 (ตรงกับปี 2019) ในช่วงที่มาตรการคว่ำบาตรและภัยคุกคามได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เราได้เรียกผู้ผลิตและผู้ประกอบการว่า เป็นผู้บัญชาการแนวหน้าในสงครามทางเศรษฐกิจ และเรียกร้องให้มีการเพิ่มการผลิต ซึ่งการประชุมในหลายปีหลังจากนั้น แสดงให้เห็นว่า ภาคเอกชนกำลังขับเคลื่อนในกระบวนการเพิ่มอำนาจและความคิดสร้างสรรค์ และในปีนี้ ก็เห็นได้ชัดว่า นักขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจด้วยประสบการณ์ภาคสนามของพวกเขา กำลังมุ่งมั่นที่จะขยายการผลิตและเพิ่มการลงทุน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงการเยี่ยมชมนิทรรศการ ผู้บุกเบิกความก้าวหน้า เมื่อวานนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “นิทรรศการนี้ แสดงให้เห็นเพียงส่วนเล็กๆ ของความเป็นจริงของประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นว่า ภาคเอกชน แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดัน มาตรการคว่ำบาตร และภัยคุกคาม ก็ยังสามารถบรรลุระดับความก้าวหน้าที่น่าพอใจ และประเทศกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งเราจะต้องรู้คุณค่าของความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่นี้จากพระเจ้า”
ท่านอายาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แม้ว่าภาคเอกชนจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของความก้าวหน้าในด้านเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัย และภาคส่วนอื่นๆ ก็มีสัญญาณของความก้าวหน้าที่ชัดเจนด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า ปัญหาต่างๆ ข้อบกพร่อง และจุดอ่อนก็มีไม่น้อย ซึ่งการแก้ไขสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นหน้าที่ของเรา เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้ว่า การที่บรรดาเจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญกับศักยภาพและขีดความสามารถภายในประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของมาตรการคว่ำบาตรและแรงกดดัน เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราจะต้องใช้ประโยชน์จากศักยภาพเหล่านี้อย่างเต็มที่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การเยี่ยมชมนิทรรศการ ผู้บุกเบิกความก้าวหน้า โดยผู้นำสภาทั้งสาม และบรรดาเจ้าหน้าที่อื่นๆ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีความจำเป็น โดยท่านกล่าวว่า “ปีที่ผ่านมา ชะฮีด ระอีซี ก็รู้สึกยินดีและมีความหวังเป็นอย่างมาก หลังจากเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความห่วงใยของนักลงทุนในภาคเอกชนต่อความก้าวหน้าของประเทศ เป็นจุดเด่นของนิทรรศการเมื่อวานนี้และการพบปะในวันนี้ โดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่า ประเด็นเรื่องรายได้ ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจ แต่เห็นได้ชัดว่า ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาและความก้าวหน้าของประเทศมากกว่าการเพิ่มรายได้”
ท่านอายาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงหน้าที่อย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายสำหรับการแก้ไขข้อร้องเรียนของบรรดานักขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ระบบการตัดสินใจและการดำเนินการ จะต้องช่วยเหลือภาคเอกชนอย่างแท้จริง และขจัดอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของภาคเอกชน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เปรียบเทียบการกระทำบางอย่างของหน่วยงานรัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแล เป็นการสร้างเครื่องลดความเร็ว ในเส้นทางของภาคเอกชน โดยท่านกล่าวว่า “มีประเด็นหนึ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกอับอาย นั่นคือ การนำเข้าสินค้าที่มีผลิตภัณฑ์ภายในประเทศที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว เป็นผลเสียต่อแรงงานและผู้ผลิต และเป็นการเปิดทางให้ผู้ลงทุนภายในประเทศยอมจำนนต่อคู่แข่งจากต่างประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การติดตามผลของ พณฯ อาเรฟ รองประธานาธิบดีคนที่หนึ่ง จากบรรดารัฐมนตรี สำหรับการขจัดอุปสรรคดังกล่าว เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยท่านกล่าวว่า “การขจัดอุปสรรคเหล่านี้ อาจต้องมีการแก้ไขกฎหมายและระเบียบการ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ไม่ถือว่า การช่วยเหลือภาคเอกชน หมายถึง การละเลยผู้ที่ใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในขณะที่เพิ่มการระมัดระวัง เราจะต้องเพิ่มการช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นความก้าวหน้าของประเทศด้วยเช่นกัน”
ท่านอายาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปฏิบัติตามนโยบายของมาตราที่ 44 เป็นการดำเนินการที่สำคัญในการขจัดอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นโยบายเหล่านี้ จะได้รับการยอมรับจากบรรดาเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการตามนโยบายเหล่านี้ แม้ว่าจะมีการแนะนำอย่างต่อเนื่องก็ตาม และปัญหานี้เป็นหนึ่งในสาเหตุของการถดถอยทางเศรษฐกิจของประเทศในทศวรรษที่ 90 (ปฏิทินอิหร่าน)
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้แสดงความพอใจกับการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะทางในภาคเอกชน เพื่อบรรลุการเติบโตร้อยละ 8 โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้วิเคราะห์ศักยภาพและจัดเตรียมแผนการลงทุน รวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ จะต้องติดตามผลและดำเนินการตามข้อเสนอของคณะทำงานเหล่านี้อย่างจริงจัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์เหล่าผู้ที่มองว่า การบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจร้อยละ 8 เป็นไปไม่ได้และเชื่อมโยงเป้าหมายดังกล่าวกับการลงทุนจากต่างประเทศที่มีจำนวนมหาศาลและแทบเป็นไปไม่ได้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ผู้เชี่ยวชาญในคณะทำงานเฉพาะทางกำลังติดตามการเติบโตร้อยละ 8 ไม่ได้เชื่อมโยงกับการลงทุนจากต่างประเทศลักษณะนี้ แต่กำลังจะมุ่งเน้นไปที่ศักยภาพภายในประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ และรัฐบาลจะต้องให้ความสนใจและช่วยเหลือพวกเขาอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง โดยท่านกล่าวว่า การเติบโตร้อยละ 8 อาจไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์ แต่หากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลลัพธ์จากการเติบโตนี้จะถูกแจกจ่ายอย่างเป็นธรรม สถานการณ์ของประเทศก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมในองค์กรต่างๆ เช่น กลุ่มบริกส์ เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน และท่านได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของเจ้าหน้าที่ด้านการทูตของประเทศ จะต้องทำงานเพื่อใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดจากโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ โดยท่านกล่าวว่า “ระบบการเงินของบริกส์ ซึ่งทำให้สามารถแลกเปลี่ยนทางการเงินด้วยสกุลเงินต่างๆของประเทศสมาชิกได้นั้น เป็นศักยภาพที่สำคัญยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตัดขาดดอลลาร์ในการแลกเปลี่ยนทางการค้า เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวว่า “การดำเนินการนี้ ซึ่งประธานาธิบดีที่เคารพก็กำลังดำเนินการอยู่ เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญ และในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เป็นการเคลื่อนไหวที่เด็ดขาดและเป็นตัวกำหนดทิศทาง และธนาคารกลางจะต้องเปิดทางสำหรับการจัดสรรสกุลเงินอื่นๆ แน่นอนว่า การดำเนินการดังกล่าวจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้บางอย่าง แต่จะทำให้ประเทศมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อร้องเรียนของหนึ่งในผู้ผลิตในนิทรรศการเมื่อวานนี้ เกี่ยวกับระยะเวลาในการออกใบอนุญาตที่ยาวนาน แม้ว่า ประเด็นนี้จะถูกกล่าวถึงในคำปราศรัยของท่านผู้นำ เมื่อปีที่ผ่านมา โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกอับอายจริงๆ กับเรื่องนี้ เราจะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และการแก้ไขปัญหานั้น ขึ้นอยู่กับการเชื่อมั่นและการปฏิบัติตามความจำเป็นในการช่วยเหลือภาคเอกชนอย่างจริงจัง เพื่อให้ภาคเอกชนรู้สึกว่า มีการสนับสนุนจากรัฐบาล และการดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่นโดยที่ไม่มีอุปสรรคใดๆทั้งสิ้น”
ในอีกส่วนหนึ่งของคำปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การหยุดยิงและชัยชนะในฉนวนกาซ่า เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการคาดการณ์ว่า ขบวนการมุกอวะมะฮ์ จะยังมีชีวิตอยู่และดำรงอยู่ต่อไป โดยท่านกล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นต่อสายตาของโลก ดูเหมือนเป็นนิทานปรัมปรา ที่เครื่องจักรสงครามอันยิ่งใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่สนใจหลักการมนุษยธรรม ได้ให้ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ให้กับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ที่ฉ้อฉลและกระหายเลือด และระบอบที่โหดเหี้ยมและไร้เมตตานั้นได้ทิ้งระเบิดเข้าใส่เด็ก 15,000 คนในบ้านและโรงพยาบาล แต่พวกเหล่านี้ก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของตนได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ระบอบไซออนิสต์คงต้องยอมแพ้ภายในสัปดาห์แรกๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในช่วงหนึ่งปีและอีกหลายเดือนที่ผ่านมา ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้ก่ออาชญากรรมทุกอย่างที่สามารถกระทำได้ โดยการทิ้งระเบิดเข้าใส่บ้านเรือน โรงพยาบาล มัสญิด และโบสถ์ในพื้นที่เล็กๆ อย่างกาซ่า แต่ในท้ายที่สุด พวกเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ผู้นำที่โชคร้ายและน่าอับอายของพวกเขาตั้งไว้ นั่นคือ การทำลายฮามาสและการควบคุมกาซ่าโดยไม่มีการต่อสู้ แต่ทว่า ยังนั่งลงบนโต๊ะเจรจากับกลุ่มฮามาสและยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาสำหรับการหยุดยิง”
ท่านอายาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความมีชีวิตชีวาและชัยชนะของการต่อสู้ในเหตุการณ์กาซ่า เป็นตัวอย่างของการบรรลุจารีตของพระเจ้าที่ว่า ชัยชนะจะมาถึงหากมีการต่อสู้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ไม่ว่า สถานที่ใดก็ตามที่มีการยืนหยัดจากปวงบ่าวที่ดีของพระเจ้า ชัยชนะนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงคำพูดที่เกิดจากความเพ้อฝันและจินตนาการเกี่ยวกับการอ่อนแอลงของอิหร่าน โดยท่านเน้นย้ำว่า “อนาคตจะแสดงให้เห็นว่า ใครคือผู้ที่อ่อนแอลง ดังเช่นที่ ซัดดัมก็เริ่มการรุกรานด้วยความเชื่อว่า อิหร่านมีความอ่อนแอลง และเรแกนก็ช่วยเหลือเขาอย่างมาก ด้วยความเชื่อเดียวกัน แต่ในท้ายที่สุด ทั้งสองคนและอีกหลายสิบคนที่หลงผิดต่างก็พบกับจุดจบของตัวเอง ในขณะที่สาธารณรัฐอิสลามกำลังเติบโตขึ้นทุกวัน ซึ่งประสบการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นซ้ำได้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ผู้ประกอบการและนักขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากภาคเอกชน จำนวน 13 คน ได้กล่าวรายงานความก้าวหน้าและข้อเสนอแนะต่างๆ
ซึ่งประกอบด้วยทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ดังนี้ :
พายอม คาลีลี จากอุตสาหกรรมอุปกรณ์น้ำมันและก๊าซ
ริซอ ฮาญีกะรีม จากอุตสาหกรรมน้ำและระบบบำบัดน้ำเสีย
ซุฮ์เร มานูเชฮ์รี ผู้ประกอบการในด้านหญ้าฝรั่น พืชสมุนไพร และภาคส่วนสหกรณ์
อาลี มัคดูมี ผู้ผลิตใบพัดสำหรับกังหันก๊าซ
ชะฮ์เรยาร ซัฟฟารี ผู้ประกอบการด้านปศุสัตว์และอุตสาหกรรมนม
เรซอ เรซออี ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
มุจญ์ตะบา ดัสต์มาลชียอน จากอุตสาหกรรมสิ่งทอ
มุนศูร นัจมีนิยอ จากอุตสาหกรรมเหมืองแร่
อาลีเรซอ ฟัรฮาดี ผู้ประกอบการด้านไอโอที และไมโครอิเล็กทรอนิกส์
ซาดัฟ ทอญิร ผู้ผลิตสินค้าแม่และเด็ก
มัสอูด พูรญูลอ จากอุตสาหกรรมก๊าซและแอลเอ็นจี
มะฮอม มุอ์มินี ผู้ประกอบการด้านพลังงาน
ซัยยิดอะมีร มุอัยยิด อะลาอี ผู้ประกอบการด้านเครื่องหมุนเหวี่ยงอุตสาหกรรม
โดยผู้เข้าร่วมเหล่านี้ได้กล่าวรายงานในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ :
การออกแบบและการดำเนินการรูปแบบใหม่ในการรับและการฝึกอบรมนักศึกษาด้านอุตสาหกรรม ความจำเป็นในการสร้างเอกภาพและการมีเสถียรภาพในระเบียบการทางการเงินของรัฐบาล ความจำเป็นในการปรับกฎระเบียบการจัดหาเงินทุนสำหรับบริษัทฐานความรู้ในระบบธนาคาร ส่วนแบ่งที่ต่ำของสหกรณ์ในเศรษฐกิจของประเทศ การเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันระดับนานาชาติ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นเอกสารระดับสูงและสร้างความมั่นคงในระยะยาวในกฎระเบียบของสาขานี้ ความสนใจในศักยภาพของอุตสาหกรรมสิ่งทอโดยป้องกันการนำเข้าผ้าจากต่างประเทศและการลักลอบนำเข้าเสื้อผ้าอย่างไม่มีการควบคุม ความจำเป็นในการบังคับใช้ภาครัฐและอุตสาหกรรมแม่ เพื่อใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ ความจำเป็นในการให้สิ่งจูงใจแก่อุตสาหกรรมที่มีการขับเคลื่อนในพื้นที่ด้อยโอกาส และความจำเป็นในการต่อสู้กับทุกรูปแบบของการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชน ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนเป็นหัวข้อหลักที่บรรดาผู้เข้าร่วมได้กล่าวถึง