เนื่องในโอกาสครบรอบปีที่ห้าของการเป็นชะฮีดของนายพลกอเซ็ม สุไลมานี ครอบครัวของนายพลสุไลมานี และครอบครัวของบรรดาชะฮีดปกป้องฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์และชะฮีดแห่งขบวนการมุกอวะมะฮ์ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้อธิบายถึงคุณลักษณะพิเศษและพฤติกรรมบางประการของฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี และท่านกล่าวว่า “เราควรเรียนรู้จากคุณลักษณะเหล่านี้เพื่อก้าวไปในเส้นทางเป้าหมายหลักของสำนักคิดสุไลมานี กล่าวคือ การทำให้อิสลามและอัลกุรอานบรรลุผลสำเร็จ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นให้เห็นถึงชัยชนะที่ประชาชาติซีเรีย จะได้รับจากเหล่าผู้รุกรานในอีกไม่ช้านี้ และการต่อสู้ของเยเมน ปาเลสไตน์ และเลบานอนที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ท่านผู้นำยังกล่าวเทอดเกียรติบรรดาชะฮีดปกป้องฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านกล่าวว่า “ชะฮีดสุไลมานี มองว่า อิหร่านเป็นเสมือนฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน และหากไม่มีเลือดบริสุทธิ์เหล่านั้น ปัจจุบันนี้ เราคงไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์หรือฮะรัมใดๆ ที่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การที่มีผู้แสวงบุญหลายพันคนจากอิหร่านและประเทศอื่นๆ มาเยี่ยมสุสานของนายพลสุไลมานีอย่างกระตือรือร้นนั้น แสดงให้เห็นถึงเกียรติยศที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้ และเป็นผลลัพธ์ของความบริสุทธิ์ใจของเขา โดยท่านกล่าวว่า “ตามที่อัลกุรอานกล่าวไว้ เกียรติยศเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะสำหรับพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น และเราจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในความจริงของการมีมะอ์ริฟัตนี้ และนำมาใช้ในวิถีและการกำหนดทิศทางของชีวิต”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า นายพลสุไลมานี เป็นนักต่อสู้ผู้ยิ่งใหญ่และเพื่อนสนิทที่เป็นที่เคารพรัก พร้อมทั้งชื่นชมความกล้าหาญ ความรวดเร็ว และการปฏิบัติการที่ทันเวลาในสนามรบ เป็นลักษณะพิเศษที่โดดเด่นของเขา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของฮัจญ์ กอเซ็มในช่วงต้นทศวรรษที่ 80ในสนามรบเพื่อต่อสู้กับความชั่วร้ายของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานและอิรัก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เป้าหมายหลักของสหรัฐฯ ในการยึดครองสองประเทศนี้ คือ อิหร่าน แต่นายพลสุไลมานี ในฐานะผู้มีเกียรติและซื่อสัตย์ ได้ก้าวเข้าสู่สนามโดยไม่เกรงกลัวต่อความน่าเกรงขามของสหรัฐฯ และสุดท้าย การยึดครองดังกล่าว นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯ และการล้มเหลวของแผนการร้ายครั้งใหญ่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความระมัดระวังของชะฮีดสุไลมานีที่หลีกเลี่ยงจากการพูดหรือเขียนถึงรายละเอียดของบทบาทสำคัญของเขาในเหตุการณ์เหล่านั้น โดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่า ข้อมูลจำนวนมากในเรื่องนี้ ควรถูกบันทึกไว้เป็นเอกสารที่ถาวรในองค์ความรู้ทางการเมืองของประเทศ และจะต้องส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงการปกป้องฮะรัมของท่านอะมีรุลมุอ์มินีนอะลี (อ.) โดยกลุ่มเยาวชนชาวอิรักที่ไม่มีอาวุธในช่วงการโจมตีของเหล่าผู้ยึดครองชาวสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นายพลสุไลมานีได้เร่งสร้างความสัมพันธ์กับเยาวชนเหล่านั้นและช่วยเหลือพวกเขาในทันที นอกจากนี้ การมีบทบาทของผู้นำสูงสุดทางศาสนายังส่งผลกระทบที่สำคัญในเหตุการณ์ดังกล่าวอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของสหรัฐฯ ในการยึดครองอิรัก คือ การเข้ามาแทนที่ซัดดัม โดยท่านกล่าวว่า “พวกอเมริกา เข้ามาเพื่อตั้งใจที่จะอยู่ต่อ แต่ทว่า นายสุไลมานีและผู้ร่วมงานของเขา ได้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการที่ซับซ้อนและยาวนาน และเป็นสงครามผสมผสานระหว่างการเมือง การทหาร การโฆษณาชวนเชื่อ และวัฒนธรรม เพื่อให้ประชาชนชาวอิรักสามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความล้มเหลวของแผนการร้ายของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนกลุ่มไอซิส เป็นผลลัพธ์อีกอย่างหนึ่งจากการตอบสนองที่รวดเร็ว ทันเวลา และมีบทบาทชี้ขาดของฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี โดยท่านกล่าวว่า “ในการต่อสู้กับการก่อการร้ายตักฟีรี เยาวชนชาวอิรักได้แสดงความสามารถอย่างยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง แต่ในการขัดขวางแผนการร้ายนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นอยู่ของภูมิภาค นายพลสุไลมานีได้มีบทบาทสำคัญอย่างที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าหาญ การอุทิศตนอย่างเต็มที่และการมีอำนาจ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืนของนายพลสุไลมานีในการเคลื่อนไหวเชิงญิฮาดี คือ การฟื้นฟูแนวร่วมแห่งขบวนการมุกอวะมะฮ์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “คุณลักษณะพิเศษที่โดดเด่นของนายพลสุไลมานี คือ การใช้ทรัพยากรและเยาวชนที่มีศักยภาพจากซีเรีย เลบานอน และอิรัก ในการฟื้นฟูขบวนการมุกอวะมะฮ์อย่างดีที่สุด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงคำฟัตวา (คำวินิจฉัยทางศาสนา) จากผู้นำสูงสุดทางศาสนาที่เรียกร้องให้ต่อต้านกลุ่มไอซิส โดยท่านกล่าวว่า “เยาวชนจำนวนมากได้ออกมาสู่สนามรบด้วยคำฟัตวาที่สำคัญนั้น แต่ทว่าพวกเขายังขาดการจัดระเบียบและอาวุธ ซึ่งนายพลสุไลมานีได้ช่วยจัดระเบียบ ให้การฝึกอบรม และจัดหาอาวุธให้แก่พวกเขา ด้วยความช่วยเหลือจากนักต่อสู้ ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอิรัก โดยเฉพาะ ชะฮีดอะบูมะฮ์ดี อัลมุฮันดิส ผู้เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปกป้องฮะรัมต่างๆอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นหลักการสำคัญในทุกช่วงของการต่อสู้ของฮัจญ์ กอเซ็ม โดยท่านกล่าวว่า “นายพลสุไลมานีได้ปกป้องอิหร่านในฐานะเป็นฮะรัมเช่นกัน ซึ่งแนวคิดในการปกป้องฮะรัมต่างๆนี้มีความสำคัญมากและจำเป็นอย่างยิ่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “สำหรับความมุ่งมั่นของนายพลสุไลมานีในการปกป้องฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น ซัยนะบียะห์ สุสานของอัศฮาบของอิมามอะลีในซีเรียและอิรัก รวมถึงมัสยิดอัลอักซอ ถือเป็นหลักการที่สำคัญ ด้วยเหตุผลนี้ ชะฮีดฮะนีเยะฮ์ได้ขนานนามนายพลสุไลมานีในพิธีศพของเขาว่า ชะฮีดแห่งอัลกุดส์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงคุณลักษณะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของชะฮีดสุไลมานีว่า คือ การวิเคราะห์ปัญหาของประเทศด้วยมุมมองในระดับโลก และหลีกเลี่ยงออกจากการมองที่คับแคบและจำกัดต่อปัญหา โดยท่านกล่าวว่า “เขาเชื่อว่า ทุกเหตุการณ์ที่สำคัญในภูมิภาคหรือในระดับโลก ย่อมมีผลกระทบต่อประเทศของเราด้วยเช่นกัน และด้วยมุมมองนี้ เขาสามารถมองเห็นถึงภัยคุกคามที่อยู่นอกพรมแดน และดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คุณลักษณะและความโดดเด่นของชะฮีดสุไลมานีสามารถวิเคราะห์ได้ในกรอบของสำนักคิดสุไลมานี โดยท่านกล่าวเสริมว่า สำนักคิดนี้ คือ สำนักคิดของอิสลามและอัลกุรอาน ซึ่งชะฮีดสุไลมานีได้ยึดมั่นปฏิบัติ จนกลายเป็นต้นแบบ ศูนย์กลาง และแกนสำคัญ และหากพวกเรามีศรัทธาและการกระทำที่ดีงามเช่นเดียวกัน เราก็สามารถที่จะกลายเป็นบุคคลแบบสุไลมานีและได้รับความเมตตาจากพระเจ้าได้เช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในช่วงหนึ่งของคำปราศรัยของท่าน ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปกป้องฮะรัม ซึ่งมีเลือดบริสุทธิ์หลั่งไหลเพื่อปกป้อง โดยท่านกล่าวว่า “บางคนที่ขาดความเข้าใจ ความรู้ และการวิเคราะห์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ ได้มองและแสดงความคิดเห็นว่า เลือดที่หลั่งไหลในการปกป้องฮะรัม เป็นสิ่งที่สูญเปล่า ซึ่งความคิดและคำพูดเช่นนี้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะหากไม่มีการต่อสู้อย่างกล้าหาญของฮัจญ์กอเซ็มและเหล่านักรบปกป้องฮะรัม ในวันนี้ ฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นซัยนะบียะฮ์ หรือแม้แต่กัรบะลาและนะญัฟ อาจจะไม่มีหลงเหลือให้เห็น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ในช่วงเวลาหนึ่ง มีความประมาทเลินเล่อเกิดขึ้นในเมืองซามัรรอ ทำให้กลุ่มตักฟีรี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำลายโดมและสุสานของอิมามทั้งสอง (อิมามฮาดีและอิมามอัสกะรี (อ.) แต่หากปราศจากความกล้าหาญและการเสียสละของบรรดาเยาวชนผู้ศรัทธา ฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ และจุดรวมใจของบรรดามุสลิม อาจจะต้องประสบชะตากรรมอันเศร้าสลดเช่นเดียวกัน แต่ทว่า เหล่านักรบผู้ปกป้องฮะรัม ผู้กล้าหาญและมีเกียรติได้ยับยั้งศัตรูไว้ และตอบโต้พวกเขาอย่างเด็ดขาด จนไม่สามารถก้าวล้ำได้อีก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปกป้องฮะรัมนั้น ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเป็นการปกป้องเจ้าของสถานที่และสำนักคิดของบรรดาอิมามผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ตามวัฒนธรรมของอัลกุรอาน เลือดทุกหยดที่หลั่งไหลในหนทางของพระเจ้าและสัจธรรม ไม่ว่าจะอยู่ ณ สถานที่ใดก็ตาม แม้จะไม่บรรลุชัยชนะตามเป้าหมาย ก็หาใช่ สิ่งที่สูญเปล่าไม่ แต่กลับมีคุณค่าอันสูงส่ง ณ พระผู้อภิบาล ดังที่เลือดของท่านฮัมซะฮ์ในสมรภูมิอุฮุด และเหนือสิ่งอื่นใด เลือดของท่านซัยยิดุชชุฮะดา (อ.) ในกัรบาลา มิได้สูญเสียไปอย่างไร้ความหมาย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “แน่นอนว่า ชัยชนะเป็นสิ่งที่แน่นอน และเราไม่ควรหลงใหลหรือหวาดหวั่นต่อการเคลื่อนไหวของฝ่ายอธรรมในปัจจุบัน เพราะพวกเหล่านี้ที่ดูเหมือนมีอำนาจในวันนี้ แต่สักวันหนึ่งพวกเขาจะถูกบดขยี้ใต้ฝ่าเท้าของบรรดาผู้ศรัทธา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและการเคลื่อนไหวอันโดดเด่นของชะฮีดสุไลมานีและเหล่าสหายของเขา รวมถึงภารกิจในการปกป้องฮะรัม แสดงให้เห็นถึงการมีชีวิตชีวา ความสดชื่น และผลลัพธ์อันงดงามของต้นไม้แห่งการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “เช่นเดียวกันในทศวรรษที่ 60 (ปฏิทินอิหร่าน) ที่เยาวชนทั้งหลายต่างพากันจูบเท้าผู้ปกครองเพื่อขออนุญาตเข้าร่วมแนวหน้าของสงคราม ในทศวรรษที่ 80 และ 90 ก็มีเยาวชนทั้งหลาย เช่น ชะฮีดฮุญะญีที่ก้มจูบเท้ามารดาเพื่อขออนุญาตออกไปทำหน้าที่ญิฮาด ทั้งหมดนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่า สาธารณรัฐอิสลามยังคงเต็มเปี่ยมด้วยพลังและการมีชีวิตชีวา แม้จะผ่านไปถึง 46 ปีแล้วก็ตาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของเยาวชนชาวอิหร่านนับล้านคนที่ยินดีเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “บรรดานักรบผู้ปกป้องฮะรัมได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้ฝ่ายศัตรูจะทุ่มทรัพยากรและงบประมาณมหาศาลเพื่อบั่นทอนความมั่นคง แต่ธงชัยแห่งการต่อสู้ยังคงโบกสะบัดอย่างมั่นคง และศัตรูทั้งในอดีตและอนาคตไม่อาจ และจะไม่มีวันที่จะสามารถลดธงชัยแห่งการต่อสู้นี้ในเลบานอน ปาเลสไตน์ ซีเรีย อิรัก และอิหร่านลงได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การรักษาปัจจัยแห่งความเข้มแข็ง เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความมั่นคงและอำนาจของประเทศใดๆ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “กลุ่มเยาวชนผู้ศรัทธาและพร้อมเสียสละ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของความมั่นคงและอำนาจของชาติ และเราจะต้องไม่ปล่อยให้เยาวชนเช่นนี้หลุดหายไปจากเวทีทางสังคม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ในประเทศของเรา เรื่องนี้ได้รับความใส่ใจอย่างมาก แต่ประเทศอื่น ๆ ก็ควรให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน เพราะหากเยาวชนผู้ศรัทธาและเสียสละถูกขับออกจากเวทีทางสังคม สถานการณ์อาจกลายเป็นเช่นซีเรียที่เกิดความวุ่นวายและการยึดครองแผ่นดินโดยผู้รุกราน เช่น สหรัฐอเมริกา ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และบางประเทศที่ล่วงละเมิดอธิปไตยของผู้อื่น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การคงอยู่ของเหล่าผู้รุกรานในซีเรียอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ โดยท่านกล่าวว่า “ซีเรียเป็นของประชาชนชาวซีเรีย และผู้ที่ล่วงละเมิดแผ่นดินซีเรีย วันหนึ่งจะต้องยอมถอยกลับต่อพลังของเยาวชนชาวซีเรีย ผู้กล้าหาญอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการที่สหรัฐฯ สร้างฐานทัพอย่างต่อเนื่องในซีเรีย โดยท่านกล่าวว่า “ผู้รุกรานจะต้องออกจากแผ่นดินที่เป็นของประชาชาติหนึ่ง มิเช่นนั้นจะต้องถูกขับไล่ และฐานทัพของสหรัฐฯ จะถูกบดขยี้ใต้ฝ่าเท้าของเยาวชนชาวซีเรีย ผู้ทรงพลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นย้ำให้เห็นว่า ชัยชนะขั้นสุดท้าย จะเป็นของบรรดาผู้ศรัทธา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เลบานอนคือ สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ แม้จะได้รับบาดแผล แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ และในที่สุด จะประสบชัยชนะ เช่นเดียวกับเยเมนที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ และจะมีชัยชนะด้วยเช่นกัน และหากพระเจ้าทรงประสงค์ เหล่าศัตรูผู้รุกราน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ผู้โลภมากและก่ออาชญากรรม จะต้องยอมละทิ้งการแทรกแซงประชาชนในภูมิภาค และในที่สุดพวกมันจะถูกขับไล่ออกจากภูมิภาคด้วยความอับอาย”
ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เดือนเราะญับ คือ เดือนแห่งดุอาอ์ (การขอพรต่อพระเจ้า) การปฏิบัติอะมั้ลอิบาดัต และการตะวัซซุลไปยังพระองค์ และท่านได้ชี้ถึงบทดุอาอ์ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเนื้อหาและความหมายอันสูงส่งในเดือนนี้ พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “เราควรใช้โอกาสในเดือนเราะญับนี้ เพื่อเชื่อมโยงหัวใจ วิญญาณ และความตั้งใจของเราเข้ากับมหาสมุทรแห่งความเมตตาอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า และขอพรจากพระองค์เพื่อให้เรามีความมุ่งมั่น พลัง และความสำเร็จในการเป็นบ่าวที่ดีของพระองค์”
ในการพบปะกันครั้งนี้ ครอบครัวของชะฮีดนายพลสุไลมานี กลุ่มครอบครัวของบรรดาชะฮีดผู้ปกป้องฮะรัม ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่อนุสรณ์สถานชะฮีดในเมืองเคอร์มานเมื่อปีที่แล้ว ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากพิธีศพของฮัจญ์กอเซ็ม สุไลมานีในปี 1398 (ปฏิทินอิหร่าน) และบางส่วนของครอบครัวผู้ได้รับบาดเจ็บและเป็นชะฮีดจากเหตุการณ์ล่าสุดในเลบานอนเข้าร่วมอยู่ด้วย