สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

บรรดานักขับลำนำบทสรรเสริญอะฮ์ลุลบัยต์หลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

หากสาธารณรัฐอิสลามต้องการที่จะปฏิบัติการ เราไม่จำเป็นต้องใช้กองกำลังตัวแทนใด

บรรดานักขับลำนำบทสรรเสริญอะฮ์ลุลบัยต์หลายพันคน พร้อมด้วยนักกวีและประชาชนจากภาคส่วนต่างๆจำนวนมาก เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องวโรกาสวันคล้ายวันประสูติอันจำเริญยิ่งของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) โดยท่านผู้นำได้กล่าวยกย่องท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) ในฐานะเป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์แบบสำหรับมวลมนุษยชาติ ในด้านการต่อสู้บนเส้นทางแห่งสัจธรรม การยืนหยัด ความกล้าหาญ ความชัดเจน และความแข็งแกร่งของตรรกะและการให้เหตุผล และท่านผู้นำยังชี้ให้เห็นว่า ศัตรูต่างพยายามที่จะสร้างความหวาดกลัว ความแตกแยก และความสิ้นหวังในสังคม โดยท่านเน้นย้ำว่า “คุณลักษณะของผู้ปฏิบัติตามซาตาน คือ การพูดเกินจริงและการสร้างเรื่องโกหก และวิธีการแก้ไขปัญหานี้คือ การทำญิฮาดตับยีน การอธิบายข้อเท็จจริงและการนำเสนอตรรกะที่สามารถยอมรับได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นว่า เป้าหมายของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการทำลายกลุ่มฮามาสและฮิซบุลลอฮ์ได้เลย และท่านผู้นำกล่าวว่า  “ประชาชาติที่มีเกียรติในภูมิภาคนี้ จะสามารถถอนรากถอนโคนระบอบรัฐเถื่อนที่ชั่วร้ายและการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับภูมิภาคนี้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงบางประเด็นเกี่ยวกับปัญหาของภูมิภาค รวมถึงประเด็นซีเรีย โดยท่านกล่าวว่า “กลุ่มหนึ่งที่ก่อกวนสร้างความวุ่นวายด้วยความช่วยเหลือ การวางแผน และรูปแบบของรัฐบาลต่างชาติ สามารถใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนภายในของซีเรีย และนำประเทศนี้กลับเข้าสู่ความวุ่นวาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงคำพูดของท่านเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับแผนการสองทางของสหรัฐฯ สำหรับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค กล่าวคือ การเข้าควบคุมระบอบการปกครองแบบเผด็จการที่ยอมอ่อนข้อกับการครอบงำ และหากเป็นไปไม่ได้ ก็จะสร้างความวุ่นวายและก่อความโกลาหลในประเทศนั้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แผนการของพวกเหล่านี้ในซีเรีย ได้นำไปสู่ความวุ่นวายและความโกลาหล และบัดนี้ อเมริกา ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และเหล่าพันธมิตรของพวกเขา ด้วยการรู้สึกถึงชัยชนะ กำลังพูดเกินจริงและไร้สาระ ราวกับเป็นพันธมิตรกับซาตานเลยทีเดียว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า คำพูดของเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกา ที่มีความหมายแอบแฝงว่า จะให้การช่วยเหลือและการสนับสนุนผู้ใดก็ตามที่ก่อความวุ่นวายในอิหร่าน  เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการพูดเกินจริงของเหล่าศัตรู โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “คนเขลาอาจได้กลิ่นของเนื้อย่าง แต่ทว่าประชาชาติอิหร่าน คือ ผู้ที่ทหารรับจ้างของอเมริกายังยอมรับในประเด็นนี้ พวกเหล่านี้ก็จะถูกเหยียบย่ำใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังอธิบายถึงประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวกับสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในภูมิภาค โดยท่านชี้ให้เห็นถึงการเสแสร้งชัยชนะขององค์ประกอบของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ การโห่ร้องและการพูดเกินจริง พร้อมตั้งคำถามว่า “โอ้พวกโชคร้าย พวกท่านได้รับชัยชนะมาจากที่ใด? นี่คือชัยชนะที่สังหารผู้หญิงและเด็ก 40,000 คนด้วยการทิ้งระเบิด แต่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่แรกได้ใช่หรือไม่? พวกท่านได้ทำลายกลุ่มฮามาสและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซ่าได้หรือไม่? แล้วพวกท่านสามารถทำลายกลุ่มฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนได้หรือไม่ แม้จะต้องสูญเสียบุคคลสำคัญอย่างเช่น ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ไปแล้วก็ตาม?

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กลุ่มมุกอวะมะฮ์ในภูมิภาคนี้ รวมทั้งฮิซบุลเลาะห์ ฮามาส และญิฮาดอิสลามี ยังคงอยู่และกำลังเติบโต โดยท่านกล่าวถึงรัฐเถื่อนไซออนิสต์ว่า “ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจึงไม่ได้รับชัยชนะ แต่กลับพบกับความล้มเหลว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรุกคืบของพวกไซออนิสต์ในแผ่นดินซีเรียและการยึดครองพื้นที่มาเป็นของตน อันเป็นผลมาจากการขาดอุปสรรคและการยืนหยัดต่อสู้ แม้แต่จากทหารเพียงนายเดียวที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา โดยท่านกล่าวว่า “การเคลื่อนไหวอย่างปราศจากอุปสรรคนี้ ไม่ใช่ชัยชนะอย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเยาวชนชาวซีเรียที่กระตือรือร้นและกล้าหาญจะขับไล่พวกท่านออกไปจากสถานที่นั้น”

ประเด็นที่สามของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เกี่ยวกับสถานการณ์ความเคลื่อนไหวในภูมิภาคนี้ เกี่ยวข้องกับสงครามจิตวิทยาและการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านอิหร่าน โดยอ้างถึงการสูญเสียกองกำลังตัวแทนในภูมิภาคนี้

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นว่า สาธารณรัฐอิสลามไม่มีกองกำลังตัวแทนเลย โดยท่านกล่าวว่า “เยเมน ฮิซบุลลอฮ์ ฮามาส และญิฮาด กำลังต่อสู้ด้วยศรัทธา ความเชื่อและพลังแห่งความศรัทธาของตนเอง จนนำพวกเขาเข้าสู่สนามแห่งการต่อสู้ ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของเรา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า หากสาธารณรัฐอิสลามต้องการปฏิบัติการในวันหนึ่งวันใด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กองกำลังตัวแทน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดาบุรุษ ผู้ศรัทธาและมีเกียรติในเยเมน อิรัก เลบานอน ปาเลสไตน์ และหากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ ในอนาคตอันใกล้ในซีเรีย กำลังต่อสู้กับการกดขี่ อาชญากรรม รัฐเถื่อนที่ชั่วร้ายและการยึดครองของพวกไซออนิสต์  สาธารณรัฐอิสลามก็กำลังต่อสู้ด้วยเช่นกัน และพระองค์ทรงประสงค์ เราจะกำจัดระบอบรัฐเถื่อนนี้ให้ออกจากภูมิภาค”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำพูดเหล่านี้ ไม่ใช่แถลงการณ์ทางการเมือง แต่เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมและเป็นประสบการณ์ และท่านยังชี้ให้เห็นถึงการผงาดขึ้นของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง และมีเกียรติ จากเหตุการณ์ความไม่สงบและสงครามกลางเมืองในปี 1980 ในเลบานอน โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จากใจกลางของภัยคุกคามเหล่านั้น และความไม่มั่นคง ก่อให้เกิดเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ เช่น ฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนที่ได้รับชัยชนะ และเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การเป็นชะฮีดของผู้ยิ่งใหญ่อย่างซัยยิดอับบาส มูซาวี ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้อ่อนแอลงเท่านั้น แต่ยังทำให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอีกด้วย และวันนี้และวันพรุ่งนี้ ขบวนการมุกอวะมะฮ์ก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การสร้างโอกาสจากภัยคุกคาม เป็นเรื่องของความเฉลียวฉลาดความรู้สึกรับผิดชอบ และการปฏิบัติตามหน้าที่ของตน และท่านผู้นำยังเน้นย้ำให้เห็นว่า อนาคตของภูมิภาคจะดีกว่าปัจจุบัน โดยท่านกล่าวว่า “เราคาดว่ากลุ่มที่มีความเข้มแข็งและมีเกียรติ จะได้รับชัยชนะในซีเรีย ด้วยเช่นกัน เพราะทุกวันนี้ เยาวชนชาวซีเรียไม่มีอะไรจะสูญเสีย ทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย บ้าน และถนนของพวกเขาไม่มีความปลอดภัย ดังนั้น พวกเขาจึงต้องยืนหยัดต่อสู้กับเหล่าผู้วางแผนการร้ายและผู้ดำเนินการที่ไม่มั่นคง ด้วยความแข็งแกร่งของความตั้งใจและได้รับชัยชนะเหนือพวกเหล่านี้”

นอกเหนือจากนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายในส่วนแรกของการปราศรัยของท่านเกี่ยวกับบุคลิกภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ทั้งชีวิตของท่านหญิงโดยเฉพาะช่วงชีวิตอันสั้นของท่าน หลังจากการจากไปของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นการอธิบายอย่างต่อเนื่องถึงความเป็นจริงและพื้นฐานที่มั่นคงของศาสนา และนี่คือแบบอย่างและจุดสูงสุดที่แม้จะเอื้อมไม่ถึงก็ตาม แต่ก็มุ่งมั่นที่จะมีการดำเนินการต่อไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงความหมายของฮะดีษหนึ่งจากท่านศาสดา องค์สุดท้าย ที่ว่า ความรักต่อท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) จะถูกนำมาใช้ไปหลายร้อยสถานที่ด้วยกัน ซึ่งสถานที่ง่ายที่สุด คือ ในเวลาตายและในหลุมศพ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความหมายง่ายๆ ของฮะดีษนี้คือ มีประโยชน์อันนับไม่ถ้วนในการรักท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) แต่ความหมายที่ลึกซึ้งกว่าของฮะดีษ ก็คือ หากบุคคลใดก็ตามที่กระทำการงานหนึ่งการงานใดที่เป็นสิ่งที่ดึงดูดความรักของท่านหญิงให้มาสู่เขา เขาก็จะได้รับประโยชน์นับร้อยประการ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเป็นแบบอย่างของคุณลักษณะอันพิเศษของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.) เป็นแนวทางเดียวในการดึงดูดความรักของบุคลิกภาพนี้ โดยท่านกล่าวว่า “หนึ่งในคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดเหล่านี้ คือ การอธิบายความจริงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการขับลำนำ ในความเป็นจริง ก็คือ การทำญิฮาดตับยีนอย่างต่อเนื่อง

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงฮะดีษอีกบทหนึ่งของศาสดา ผู้ทรงเกียรติ ที่ว่า ในบางครั้ง ผู้ศรัทธาจะทำการต่อสู้ด้วยชีวิตของตนเองหรือดาบของเขา และบางครั้งจะทำการต่อสู้ด้วยภาษาของเขา โดยท่านผู้นำได้กล่าวว่า “การทำญิฮาดด้วยภาษา ในบางครั้งนั้นมีความสำคัญและมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำญิฮาดด้วยชีวิตของเขาเสียอีก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บรรดานักขับลำนำ เป็นนักรบญิฮาดด้วยภาษา และท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดานักขับลำนำ เป็นสื่อที่เต็มเปี่ยมและเป็นศิลปะผสมผสานหลากหลายมิติเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งประกอบไปด้วยมิติต่างๆ ที่แสดงออกทั้งในรูปแบบและเนื้อหา คำพูดและความหมาย บทกวี ดนตรีและเสียงที่บรรเลง การบริหารจัดการกลุ่มชน และการพบปะกับประชาชนโดยตรง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การอธิบายถึงปัญหาต่างๆในปัจจุบันนั้นเป็นความต้องการที่แท้จริงของสังคม และท่านยังชี้ให้เห็นถึงการวางแบบแผนทั้งที่ซ่อนเร้นและเปิดเผย ตลอดจนการใช้จ่ายของศัตรูเพื่อก่อให้เกิดความสงสัยและการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยท่านกล่าวว่า “บรรดานักขับลำนำ เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความสามารถในการทำญิฮาดตับยีน (การต่อสู้เพื่อเผยแผ่ความจริง) การสร้างความตระหนักรู้ การสร้างความหวัง และการระดมพลเพื่อการเคลื่อนไหว ซึ่งถือเป็นคำตอบที่เหมาะสม และมีผลกระทบต่อศัตรู”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  ถือว่า ทั้งสามประการ การสร้างความหวาดกลัว การสร้างความแตกแยก และการสร้างความสิ้นหวัง  เป็นสามเหลี่ยมแห่งเป้าหมายที่ศัตรูใช้ในการต่อต้านอิสลามและต่อต้านอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “กลลวงและภารกิจหลักของซาตาน คือ การหว่านความหวาดกลัวและความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ในขณะเดียวกัน นักวรรณกรรม กวีนิพนธ์ และผู้มีปัญญาความคิด ควรใช้ตรรกะที่เหมาะสม ความกล้าหาญ การสร้างความตระหนักรู้ และการยืนหยัดอย่างมั่นคง เป็นเครื่องมือในการนำทางและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชน”

ในการเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งสำคัญนี้ บรรดานักขับลำนำ และกวี ผู้ทรงเกียรติ จำนวน 8 ท่านซึ่งเป็นตัวแทนจากทั่วประเทศ ได้ขึ้นกล่าวบทลำนำอันไพเราะและร่วมกันรำลึกถึงความสูงส่งแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)ด้วยความเคารพและศรัทธา นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมทุกคนยังได้ร่วมกันอ่านบทสรรเสริญอันงดงาม เพื่อแสดงความเคารพและให้เกียรติต่อสถานภาพของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (ซ.)อีกด้วย

700 /