สตรีหลายพันคนจากทั่วประเทศเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า และท่านยังกล่าวถึงหลักการสำคัญของกฎบัตรอิสลามที่เกี่ยวกับผู้หญิง โดยท่านเน้นย้ำว่า “ในอิสลาม สตรีและบุรุษมีบทบาทในการส่งเสริมและเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อมุ่งสู่การมีชีวิตที่ดีและพัฒนาขีดความสามารถทางปัญญาและทางจิตวิญญาณในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม ศิลปะ อิทธิพลทางสังคมและการเมือง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และประเด็นระหว่างประเทศ โดยไม่มีความแตกต่างระหว่างกันในบทบาทเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงอาชญากรรมต่อเนื่องที่กระทำโดยระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และสหรัฐอเมริกาในภูมิภาคนี้ และความช่วยเหลือจากการสนับสนุนของบางประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ต่างคิดว่า ตนเองกำลังเตรียมที่จะปิดล้อมและกำจัดกองกำลังฮิซบุลลอฮ์ให้สิ้นซากโดยผ่านทางซีเรีย แต่ทว่า ในที่สุดแล้ว ผู้ที่จะถูกกำจัดให้สิ้นซากกลับกลายเป็นอิสราเอลเอง”
ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวแสดงความยินดี เนื่องในโอกาสสัปดาห์แห่งการประสูติของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) โดยท่านถือว่า การพบปะกับบรรดาสตรีและเยาวชนสตรีในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ดีอย่างมากและเปี่ยมไปด้วยพลัง และท่านยังชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญบางประการของตัวแทนสตรีทั้ง 7 ท่าน ในการพบปะกันครั้งนี้ เช่น การดูแลครอบครัวในโลกไซเบอร์ การเพิ่มจำนวนประชากร ประเด็นเกี่ยวกับสตรีในด้านศิลปะ และการอำนวยความสะดวกในเรื่องการแต่งงาน โดยท่านกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ทั้งหลายของสำนักงานผู้นำสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องมีการติดตามประเด็นต่างๆของสตรีเหล่านี้ที่ได้กล่าวไว้และนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงมิติบางประการของการดำรงอยู่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) ในฐานะปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ของโลกแห่งการสร้างสรรค์ โดยท่านกล่าวว่า “การที่สตรีคนหนึ่งจะบรรลุถึงสถานะทางจิตวิญญาณ เอกลักษณ์แห่งฟากฟ้าและสวรรค์ จนมีรายงานทั้งจากชีอะฮ์และอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ว่า ความโกรธกริ้วของนาง คือ ความโกรธกริ้วของพระเจ้า และความพึงพอใจของนาง คือ ความพอพระทัยของพระเจ้า ถือเป็นความยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์อย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความทุกข์โศกเคียงข้างท่านศาสดาในยามยากลำบาก การร่วมมือกับท่านอะมีรุลมุอ์มินีนอะลีในการทำญิฮาด การสร้างความประทับใจของเหล่าเทวทูตในการกระทำอะมั้ลอิบาดัต การบรรยายธรรมที่ชัดเจน ไพเราะและทรงพลัง การเลี้ยงดูอิมามฮะซัน (อ.) อิมามฮุเซน (อ.) และท่านหญิงซัยนับ (ซ.) ล้วนเป็นลักษณะพิเศษอันเฉพาะของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ.) โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ท่านหญิง เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดและงดงามที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในช่วงวัยเด็ก วัยรุ่น การแต่งงาน และวิถีชีวิตของท่าน อีกทั้งยังท่านยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดสำหรับสตรีชาวมุสลิม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ให้เห็นถึงมุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับประเด็นของสตรีในระดับโลก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “กลุ่มทุนและนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง ได้ใช้สื่อที่มีอิทธิพลระดับโลกเพื่อปกปิดแรงจูงใจที่แท้จริงของตนเองในการก่ออาชญากรรม และการทุจริต โดยใช้วิธีการที่ไม่ซื่อสัตย์ สร้างเรื่องโกหก และสวมหน้ากากของทฤษฎีทางปรัชญาและมนุษยธรรม เพื่อแทรกแซงและกำหนดทิศทางในกิจการของชุมชนสตรีทั่วโลก รวมถึงแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรมจากพวกนาง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความไม่ซื่อสัตย์และการเสแสร้ง เป็นวิธีการปกติของพวกล่าอาณานิคมและนายทุนชาวตะวันตก และท่านผู้นำ ถือว่า การดึงสตรีเข้าสู่โรงงานเพื่อตอบสนองต่อความต้องการแรงงานราคาถูกในภาคอุตสาหกรรม ภายใต้หน้ากากของเสรีภาพและอิสรภาพของสตรี เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเสแสร้งนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เป้าหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้สโลแกนการปลดปล่อยทาสในอเมริกา เมื่อประมาณ 2 ศตวรรษที่ผ่านมา คือ การดึงดูดทาสทั้งหลายจากไร่นาทางตอนใต้ ไปสู่โรงงานทางตอนเหนือของประเทศนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ ก็ยังมีเป้าหมายที่ต่อต้านมนุษยธรรมและการเมืองซ่อนอยู่เบื้องหลังสโลแกนของสตรีนิยม เสรีภาพ และสิทธิสตรี ซึ่งบางส่วนนั้นเป็นที่ประจักษ์แล้ว และบางส่วนก็จะถูกเปิดเผยในอนาคต”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงกฎบัตรอิสลามในประเด็นเกี่ยวกับสตรี โดยชี้แจงว่า กฏบัตรนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความเข้าใจตรรกะของอิสลามในเรื่องนี้ และท่านยังกล่าวอีกว่า “เราจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจในตรรกะนี้ในสังคมและนำไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่า ได้มีการดำเนินงานอย่างมากในเรื่องนี้ภายหลังการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเด็นการแต่งงาน เป็นหลักการที่สำคัญอันดับแรกในกฎบัตรสตรีของอิสลามโดยท่านกล่าวเสริมว่า “จากพื้นฐานของโองการต่างๆ ในอัลกุรอาน ได้กำหนดว่า สตรีและบุรุษ คือ ชนิดเดียวกัน เป็นคู่สามีภรรยา และมีการเติมเต็มซึ่งกันและกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความจำเป็นของการมีคู่ครองและการเติมเต็มซึ่งกันและกันระหว่างสตรีและบุรุษนำไปสู่การสร้างสถาบันที่สาม คือ สถาบันครอบครัว โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บนพื้นฐานนี้ การสร้างสถาบันครอบครัว ถือเป็นจารีตแห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้า นับเป็นความโชคดียิ่งนักที่ความรักต่อครอบครัว เป็นสัญญาณที่สำคัญของความแข็งแกร่งและมีความลึกซึ้งทางวัฒนธรรมของประชาชาติ ซึ่งปรากฏชัดในวัฒนธรรมอิหร่านเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามถือว่า หลักการอีกประการหนึ่งในกฏบัตรอิสลามเกี่ยวกับสตรีคือ ไม่มีความแตกต่างระหว่างสตรีกับบุรุษในการขับเคลื่อนทางจิตวิญญาณ ความสูงส่งของมนุษย์ และการเข้าถึงการมีชีวิตที่ดี โดยท่านกล่าวว่า “ในมุมมองของอิสลาม ถึงแม้สตรีและบุรุษจะมีความแตกต่างทางร่างกาย ทั้งสองมีขีดความสามารถ นวัตกรรม ความคิด การกระทำ และศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทำให้สตรีสามารถที่จะมีบทบาทเช่นเดียวกับบุรุษและในหลายกรณีจำเป็นที่จะต้องมีส่วนร่วมในด้านวิทยาศาสตร์ การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ วัฒนธรรม และศิลปะ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามไม่ได้ถือว่า บทบาทที่แตกต่างของสตรีและบุรุษในครอบครัวตามมุมมองของอิสลาม เป็นเหตุผลที่บุคคลหนึ่งเหนือกว่าอีกบุคคลหนึ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สตรีและบุรุษในครอบครัวมีสิทธิเท่าเทียมกัน แน่นอนว่าในด้านความรู้สึก อิสลามถือว่า สตรีเปรียบเสมือนดอกไม้ที่จะต้องได้รับการดูแลและการใช้ประโยชน์จากความมีชีวิตชีวาและกลิ่นหอมของนางในครอบครัว”
การมีข้อจำกัดในการเชื่อมสัมพันธ์และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสตรีและบุรุษ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ได้รับการเน้นย้ำในทัศนะของอิสลาม โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “อิสลามให้ความสำคัญและมีข้อพิจารณาที่เกี่ยวกับประเด็นฮิญาบ การธำรงความบริสุทธิ์และการมอง อย่างชัดเจน แน่นอนว่า ความไร้ระเบียบวินัยในปัจจุบันที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่และการอธิบายถึงสตรีชาวยุโรปในวรรณกรรม เมื่อสองสามศตวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ตะวันตกก็มีข้อพิจารณามากมายเกี่ยวกับสตรีเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คุณค่าทางจิตวิญญาณของการเป็นแม่และความภาคภูมิใจในบทบาทนี้ เป็นอีกแง่มุมที่อิสลามให้ความสำคัญต่อสตรี โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ปัจจุบัน มีบางคนที่อาศัยในร่มเงาจากนโยบายของกลุ่มทุน นักล่าอาณานิคม และผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อสังคม โดยเฉพาะในสังคมของเรา กำลังนำเสนอภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของการเป็นแม่ ในขณะที่การเป็นแม่และการอบรมเลี้ยงดูคนๆหนึ่ง ถือเป็นเกียรติยศอันสูงส่งอย่างยิ่ง และด้วยพื้นฐานนี้ ในอิสลามจึงมีสำนวนต่างๆ เช่น สวรรค์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของมารดา มีการส่งเสริมให้มีรัก ดูแล และปฏิบัติต่อแม่อย่างดี”
หลังจากที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงหลักการสำคัญบางประการของกฎบัตรอิสลามเกี่ยวกับสตรีแล้ว ก็ถือว่า การพัฒนาอันน่าประหลาดใจของสตรี ผู้ศรัทธา มีความรู้ และกระตือรือร้น ในเวทีด้านต่างๆ หลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม โดยอาศัยมุมมองอันสูงส่งนี้ และท่านผู้นำกล่าวว่า “บทบาทของสตรี ในช่วงการต่อสู้และชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามนั้นมีความโดดเด่นอย่างยิ่ง ในขณะที่บางคนต่อต้านการมีส่วนร่วมของสตรีในกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินขบวนประท้วง แต่ทว่า ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ได้คัดค้านทัศนะดังกล่าวนี้อย่างแข็งขัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “การที่สตรีออกมามีบทบาทในภาคสนาม ทำให้สามีและบุตรของพวกนางออกมามีบทบาทในภาคสนามด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ในอีกนัยหนึ่ง กล่าวได้ว่า สตรีทั้งหลายมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการนำชัยชนะมาสู่การปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามถือว่า การมีบทบาทอย่างเข้มแข็งของสตรีในเวทีการเมืองและระหว่างประเทศ รวมถึงการส่วนร่วมในการขับเคลื่อนต่างๆ เช่น ในช่วงการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ การปกป้องฮะรัม และเวทีทางการเมือง เป็นอีกหนึ่งพลังที่โดดเด่นจากการขับเคลื่อนของบรรดาสตรี หลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “สตรีชาวอิหร่านสามารถรักษาอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี จารีตทางประวัติศาสตร์ไว้ได้ ด้วยความเข้มแข็ง ความสุภาพเรียบร้อย และการธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ ในลักษณะที่ แม้กระทั่งทุกวันนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะแทรกซ้อนที่ประเทศตะวันตกหลายประเทศต้องประสบพบเจอ และหลังจากนี้ หากพระเจ้าทรงประสงค์ ก็จะยังคงดำเนินต่อไปในลักษณะเดียวกันนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความโดดเด่นของสตรีทั้งหลายในการขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์และการค้นคว้าวิจัย ในมหาวิทยาลัยและสถาบันศาสนา โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในปัจจุบันนี้ มีจำนวนสตรีที่เป็นมุจญ์ตะฮิดมากพอสมควร และถึงแม้ว่า เรายังเชื่อว่า ยังมีประเด็นหลายเรื่องเกี่ยวกับสตรี ที่บุรุษทั้งหลายไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง โดยสตรีเหล่านี้ ควรจะตักลีดตามมุจญ์ตะฮิดที่เป็นสตรีด้วยกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเติบโตของสตรีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเขียน กวี และศิลปิน ควบคู่ไปกับความเคร่งครัดทางศาสนานั้น ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับยุคสมัยก่อนการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่า ศัตรูเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังวางแผนการร้าย เพราะว่า พวกเหล่านี้ได้ตระหนักอย่างรวดเร็วว่า ความล้มเหลวและทำให้การปฏิวัติอิสลามต้องยอมจำนนด้วยวิธีการที่ใช้กำลัง(ฮารด์แวร์) เช่น การก่อสงคราม การทิ้งระเบิด การแบ่งแยกเชื้อชาติพันธุ์ และการสร้างความไม่สงบ ไม่สามารถที่จะกระทำได้ ด้วยเหตุนี้เอง พวกเหล่านี้ จึงต้องหันไปใช้วิธีการทางความคิด(ซอฟต์แวร์) แทน เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ การล่อลวง และการใช้คำพูดที่บิดเบือนความจริง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การอ้างสิทธิในการปกป้องสตรี ด้วยการก่อความวุ่นวายในประเทศใดประเทศหนึ่งๆ เป็นตัวอย่างของวาทกรรมที่หลอกลวงของเหล่าผู้ที่ประสงค์ร้าย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เด็กผู้หญิง บรรดาสตรี อาจารย์ นักเรียน และชุมชนของผู้หญิงทั้งหมด ควรมีบทบาทที่สำคัญในการต่อต้านการล่อลวง และกลวิธีที่ร้ายกาจและสงครามจิตวิทยาของเหล่าผู้ที่ประสงค์ร้าย เพื่อป้องกันการบิดเบือนคุณค่าที่แท้จริงในประเด็นของสตรีอย่างเหมาะสม”
ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงประเด็นต่างๆ ในภูมิภาค โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในซีเรีย และอาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และอเมริกา และความช่วยเหลือจากผู้อื่นต่อพวกเหล่านี้ เหล่าศัตรูต่างคิดว่า ประเด็นขบวนการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ในขณะที่พวกเขานั้นคิดผิดอย่างมหันต์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้เห็นว่า จิตวิญญาณของซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ และชะฮีดซินวาร ยังมีคงดำรงอยู่ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แม้ร่างกายของพวกเขาได้จากไปแล้ว แต่การเป็นชะฮีด ไม่ได้ทำให้พวกเขาออกจากอาณาจักรแห่งการดำรงอยู่ จิตวิญญาณและความคิดของพวกเขายังคงดำรงอยู่ และเส้นทางของพวกเขายังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงการยืนหยัดต่อสู้ของฉนวนกาซ่าต่อการโจมตีรายวันของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และการยืนหยัดต่อสู้อย่างต่อเนื่องของเลบานอน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ คิดว่า กำลังเตรียมที่จะปิดล้อมและกำจัดกลุ่มฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนให้สิ้นซากโดยผ่านเส้นทางซีเรีย แต่ทว่า ผู้ที่จะถูกกำจัดให้สิ้นซากกลับกลายเป็นอิสราเอลเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า การยืนหยัดของอิหร่านอยู่เคียงข้างบรรดานักรบชาวปาเลสไตน์และฮิซบุลลอฮ์ และความต่อเนื่องในการสนับสนุนและความช่วยเหลือพวกเขา โดยท่านผู้นำได้แสดงความหวังว่า “บรรดานักรบ จะได้เห็นวันที่ศัตรูผู้ชั่วร้ายถูกเหยียบย่ำใต้เท้าของพวกเขา”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นักเคลื่อนไหว 6 ท่านที่ทำงานด้านสตรีและเด็กหญิง ได้กล่าวถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้ แบบอย่างของสตรีมุสลิมนักปฏิวัติ โลกไซเบอร์ สตรี ครอบครัว และเด็ก การแก้ไขปัญหาประชากรโดยการเสริมสร้างสถาบันครอบครัว การเพิ่มศักยภาพศิลปินหญิงและการเสริมสร้างผลงานที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง การอำนวยความสะดวกในการแต่งงานและปัญหาการไกล่เกลี่ย และการปฏิรูปหลักสูตรนักเรียนหญิงโดยเน้นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม
นอกจากนี้ นางอาอิดะฮ์ ซุรูร มารดาของชะฮีดชาวเลบานอนทั้งสองท่าน ในฐานะตัวแทนของกลุ่มสตรีมุกอวะมะฮ์ ได้กล่าวถึงความต่อเนื่องและการได้รับชัยชนะของกลุ่มมุกอวะมะฮ์ในการพบปะกันครั้งนี้