บรรดาประชาชนหลายพันคนจากหลากหลายสาขาอาชีพเข้าพบ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้กล่าวอธิบายถึงระดับขั้นต่างๆ ของเหตุการณ์ในซีเรีย ภาพตรรกะของการปรากฏตัวของอิหร่านในประเทศนี้ การอธิบายถึงกระบวนการความเคลื่อนไหวในอนาคตของภูมิภาค และท่านยังกล่าวถึงบทเรียนและอุทาหรณ์ของเหตุการณ์ในซีเรีย โดยท่านเน้นย้ำว่า “เหตุการณ์เหล่านี้ เป็นผลผลิตของแผนการร้าย อเมริกา-ไซออนิสต์ ขณะที่ การขยายขอบเขตของขบวนการมุกอวะมะฮ์ จะครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาค ด้วยความเข้มแข็งและแรงจูงใจที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันและการก่ออาชญากรรม ด้วยพลังและอานุภาพของพระเจ้า”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทที่ชัดเจนของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านของซีเรีย ในเหตุการณ์ของประเทศนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แม้ว่า มีหลักฐานอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่สมรู้ร่วมคิด ผู้วางแผนการร้าย และห้องบัญชาการหลัก คือ อเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พฤติกรรมของพวกไซออนิสต์และพวกอเมริกาที่มีต่อเหตุการณ์ล่าสุดในซีเรีย เป็นหนึ่งในหลักฐานเหล่านี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ถ้าพวกเขาไม่ใช่ผู้วางแผนเหตุการณ์ในซีเรีย ทำไมพวกเขาจึงไม่ยอมนิ่งเงียบๆ เหมือนประเทศอื่นๆ และด้วยการทิ้งระเบิดเข้าใส่ศูนย์โครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน ศูนย์วิจัย ศูนย์การศึกษาของนักวิชาการ และพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของซีเรียหลายร้อยแห่ง โดยพวกเขาได้แทรกแซงเหตุการณ์ในปัจจุบันใช่หรือไม่?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการประกาศอย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกาให้ปฏิบัติการโจมตี 75 จุดในซีเรียในวันแรกหรือสองวันของเหตุการณ์ต่างๆ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นอกเหนือจากการกำหนดเป้าหมายหลายร้อยจุดแล้ว พวกไซออนิสต์ยังได้ยึดครองดินแดนของซีเรียและนำรถถังของพวกเขาเข้ามาใกล้กรุงดามัสกัสอีกด้วย และอเมริกายังได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวอย่างมากของเหตุการณ์ในชายแดนที่เล็กกว่าในประเทศอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะไม่ต่อต้าน แต่ยังให้การช่วยเหลืออีกด้วย ข้อเท็จจริงเหล่านี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า มือของพวกเขานั้นมีส่วนช่วยต่อเหตุการณ์ในซีเรียไม่ใช่หรือ?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวอธิบายถึงหลักฐานอีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า อเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ของซีเรีย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในช่วงวันท้ายๆ ความช่วยเหลือและสิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่าง ควรที่จะถูกส่งไปยังประชาชนในพื้นที่ต่างๆของซีเรีย โดยเฉพาะในเขตชุมชนซัยนะบียะฮ์ แต่รัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้ปิดกั้นเส้นทางภาคพื้นดินและเครื่องบินของอเมริกาและไซออนิสต์ก็ไม่อนุญาตให้ส่งความช่วยเหลือเหล่านี้ทางอากาศ ด้วยเที่ยวบินที่กว้างขวาง หากพวกเขาไม่ใช่เจ้าของเหตุการณ์และด้วยการอยู่เบื้องหลังของกลุ่มผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย ทำไมพวกเขาจึงต้องขัดขวางความช่วยเหลือประชาชนชาวซีเรียด้วย?”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายต่างๆของเหล่าผู้รุกรานที่พยายามยึดครองดินแดนซีเรียจากทางเหนือและทางใต้ มีความแตกต่างกัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในระหว่างนี้ อเมริกากำลังพยายามที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานที่มั่นของตน แต่เวลา จะแสดงให้เห็นว่า ไม่มีใครที่จะบรรลุเป้าหมายของตนได้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า พื้นที่ต่างๆที่ถูกยึดครองของซีเรีย จะได้รับการปลดปล่อยจากเยาวชนผู้หาญกล้าชาวซีเรีย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้วาดภาพของกระบวนการความเคลื่อนไหวในอนาคตของภูมิภาค ด้วยการเน้นย้ำให้เห็นว่า อเมริกา จะถูกขับไล่ออกไปจากภูมิภาคด้วยความช่วยเหลือของฝ่ายแนวร่วมมุกอวะมะฮ์ โดยท่านกล่าวว่า “เหล่าพันธมิตรของชาติมหาอำนาจ ต่างคิดว่า แนวร่วมมุกอวะมะฮ์ได้อ่อนแอลง หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลซีเรีย ซึ่งฝ่ายสนับสนุนกลุ่มมุกอวะมะฮ์ แต่พวกเขากลับคิดผิดเป็นอย่างมาก เพราะว่า พวกเขานั้นไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับขบวนการมุกอวะมะฮ์และแนวร่วมมุกอวะมะฮ์เลย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า กลุ่มมุกอวะมะฮ์ ไม่ใช่ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ที่สามารถแตกหักและพังทลายลงได้ แต่เป็นความศรัทธา ความคิด สำนักแห่งความศรัทธา และมีการตัดสินใจของหัวใจ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ด้วยเหตุผลนี้ กลุ่มมุกอวะมะฮ์ จึงมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นด้วยแรงกดดันต่างๆ และแรงจูงใจของผู้คนและองค์ประกอบต่าง ๆ จะมีความเข้มข้นมากขึ้นและขอบเขตก็จะกว้างขวางขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์ ฮามาส ญิฮาดอิสลามีย์ และกองกำลังอื่นๆของปาเลสไตน์ ภายใต้แรงกดดันในช่วง 14 เดือนที่ผ่านมา อันเป็นสัญญาณของข้อเท็จจริงเหล่านี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความกดดันจากภัยพิบัติและการสูญเสียซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์นั้น มีความหนักอึ้งเป็นอย่างมาก แต่อำนาจและควมประสงค์ของฮิซบุลเลาะฮ์มีความแข็งแกร่งที่มากกว่า และศัตรูเมื่อเห็นข้อเท็จจริงนี้ ก็ต้องการที่จะหยุดยิงด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงการก่ออาชญากรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนของระบอบรัฐเถื่อนในการสังหารประชาชนในฉนวนกาซ่า และการสังหารบุคคลสำคัญ เช่น ยาห์ยา ซินวัร โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ศัตรูต่างๆคิดว่า ประชาชนชาวกาซ่า จะลุกขึ้นต่อสู้กับกลุ่มฮามาส ภายใต้การทิ้งระเบิดต่างๆ แต่กลับกลายเป็นไปในทางตรงกันข้าม ประชาชนต่างให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาส ญิฮาดอิสลามี และกลุ่มมุญาฮิดชาวปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่ผ่านมา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า การแพร่กระจายของกลุ่มมุกอวะมะฮ์ในทุกภูมิภาค เป็นผลลัพท์ที่แน่นอนของแรงกดดันและการก่ออาชญากรรมของศัตรู โดยท่านกล่าวเสริมว่า “นักวิเคราะห์ ผู้ที่โง่เขลาและขาดความรู้ผู้นั้น ซึ่งคิดว่า เหตุการณ์เหล่านี้ จะทำให้อิหร่านมีความอ่อนแอลง ควรเข้าใจด้วยว่า อิหร่านนั้นมีความเข้มแข็งและมีอำนาจ และจะมีอำนาจที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กลุ่มมะกอวะมะฮ์ เป็นความจริงที่มีรากฐานมาจากความศรัทธาและความเชื่อของประชาชาติต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “กลุ่มมุกอวะมะฮ์ หมายถึง การยืนหยัดต่อสู้กับอเมริกาและผู้ครอบงำอื่นๆ และการต่อต้านการพึ่งพาและความเป็นทาสของอเมริกา ถือเป็นความศรัทธาที่สำคัญอย่างมากสำหรับประชาชาติต่างๆ และด้วยความเชื่อนี้ได้ก่อให้เกิดการสนับสนุนอย่างกระตือรือร้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและในอีกแง่หนึ่ง ประชาชาติต่างๆ ในโลกได้สนับสนุนปาเลสไตน์และแสดงออกถึงความเกลียดชังต่อรัฐเถื่อนไซออนิสต์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นว่า นับตั้งแต่การยึดครองปาเลสไตน์ได้ผ่านมามากกว่า 75 ปีแล้ว โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ปัญหานี้ ควรที่จะถูกลืมเลือนไปในเวลานานแล้ว แต่ทว่าในปัจจุบันนี้ ประชาชาติปาเลสไตน์และประชาชาติในภูมิภาคต่างๆได้ยืนหยัดเพื่อประเด็นปาเลสไตน์ถึงสิบครั้ง มากกว่าเวลาที่ดินแดนนี้ถูกยึดครองเสียอีก และความเชื่อร่วมกันของประชาชาติต่างๆ ต่อกลุ่มมุกอวะมะฮ์ ได้จุดชนวนเปลวเพลิงนี้ให้มากยิ่งขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การอยู่ฝ่ายเดียวกันกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เป็นเส้นสีแดงของประชาชาติต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกไซออนิสต์และผู้สมรู้ร่วมคิด ควรรู้ตามจารีตของพระเจ้าว่า การก่ออาชญากรรมไม่ได้นำมาซึ่งชัยชนะ และในปัจจุบันนี้ จารีตของพระองค์และประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ กำลังจะถูกย้อนกระทำซ้ำในฉนวนกาซ่าและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและเลบานอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึง การปรากฏตัวของอิหร่านในซีเรีย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า “ในประเด็นหนึ่งที่เยาวชนคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ มักจะไม่ทราบก็คือ ก่อนที่เราจะให้การช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียนั้น หมายถึง อยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญของยุคสมัยแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และในสถานการณ์ที่ทุกคนเห็นชอบกับซัดดัมและทำการต่อต้านพวกเรา รัฐบาลซีเรีย ด้วยความช่วยเหลือที่สำคัญต่ออิหร่านและในการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่และเป็นตัวกำหนดอย่างเด็ดขาด ได้ปิดกั้นท่อส่งน้ำมันจากอิรักไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และทำให้ซัดดัมต้องขาดรายได้ในส่วนนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เยาวชนและผู้บัญชาการชาวอิหร่านบางคนปรากฏตัวในซีเรียและอิรัก เพื่อต่อต้านกับการก่อฟิตนะฮ์ (ความเสียหาย) ของกลุ่มไอซิส (ดาอิช) โดยท่านกล่าวเสริมว่า “กลุ่มไอซิส เป็นระเบิดของความไม่มั่นคง และพวกเหล่านี้พยายามที่จะทำให้ซีเรียและอิรักเกิดความไม่ปลอดภัย จากนั้น จึงไปปรากฏตัวในอิหร่านและทำให้ประเทศของเรา ไม่มีความมั่นคง ถือเป็นเป้าหมายหลัก และเป็นจุดสิ้นสุดของพวกเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การป้องกันการแพร่กระจายของความไม่มั่นคงไปยังอิหร่าน เป็นเหตุผลที่สำคัญสำหรับความมุ่งมั่นของสาธารณรัฐอิสลามในการต่อสู้กับกลุ่มไอซิส โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่ของเราก็ได้ตระหนักอย่างเร็วที่สุดว่า หากไม่สามารถที่จะหยุดยั้งกลุ่มไอซิส ความไม่มั่นคงก็จะแพร่กระจายไปทั่วอิหร่าน ดังตัวอย่าง เช่น การก่อวินาศกรรมของเหล่าผู้ก่อการร้าย ซึ่งประชาชนได้เห็นแล้วในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐสภา ฮะรัมชาห์เฉรอฆ และจังหวัดเคอร์มาน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงคำกล่าวของท่านอะมีรุลมุอ์มินีนอะลี ที่ระบุว่า อย่าปล่อยให้ศัตรูเข้าไปในบ้าน เพราะว่า ประชาชาติใดก็ตามที่มีการปะทะกันกับศัตรูในบ้านของตนเอง พวกเขาจะต้องพบกับความอับอาย โดยท่านกล่าวว่า “บนพื้นฐานนี้ กองกำลังของเราและนายพล ชะฮีดสุไลมานี และเพื่อนร่วมงานของเขาได้เดินทางไปยังอิรักและซีเรีย และด้วยการจัดตั้งองค์กรและติดอาวุธให้กับเยาวชนของประเทศเหล่านั้น พวกเขาจึงได้ยืนหยัดต่อสู้กับกลุ่มไอซิสและทำลายล้างมัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายของกลุ่มไอซิส ในการทำลายสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในกัรบะลา นะญัฟ กาซิมัยน์ และดามัสกัส ซึ่งคล้ายคลึงกับการกระทำของพวกเขาในการทำลายโดมของฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ในเมืองซามัรรอ โดยท่านกล่าวว่า “ในทางตรงกันข้ามกับความเป็นปฏิปักษ์ของพวกเขากับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ชัดว่า บรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาว ผู้ศรัทธา ผู้กระตือรือร้นและผู้ที่มีความรักในอะฮ์ลุลบัยต์ พวกเขาจะไม่อนุญาตให้มีความขัดแย้งและไม่นิ่งเฉยเป็นอันขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปรากฏตัวทางทหารของสาธารณรัฐอิสลามในซีเรียและอิรัก เป็นการให้คำปรึกษาทางทหาร ซึ่งหมายถึง การจัดตั้งกองบัญชาการกลาง การกำหนดกลยุทธ์และยุทธวิธี การปรากฏตัวในสนามรบในเวลาที่มีความต้องการ และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การระดมเยาวชนของภูมิภาคเหล่านั้น โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การปรากฏตัวของเราในซีเรียและอิรัก ไม่ได้หมายถึง การส่งกองทัพและกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามไปสู้รบแทนกองทัพของพวกเขา เพราะว่า ภารกิจนี้ไม่มีตรรกะและไม่เป็นที่ยอมรับของความคิดเห็นของสาธารณชน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงคำร้องขออย่างมากมายของบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวและสมาชิกบะซีญี ที่มีความกระตือรือร้นที่จะส่งไปยังซีเรียในช่วงเวลานั้น โดยท่านกล่าวว่า “การปรากฏตัวหลักของกองกำลังของเราในพื้นที่เหล่านั้น เป็นการให้คำปรึกษาและในบางกรณีที่น้อยนิดและมีความจำเป็นในรูปแบบของการเข้าร่วมของกองกำลังส่วนใหญ่ที่เป็นอาสาสมัครและกองกำลังบาซิจญ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การฝึกอบรม การจัดระเบียบ และการติดอาวุธของกลุ่มเยาวชนชาวซีเรียหลายพันคนเพื่อต่อสู้กับกลุ่มไอซิส โดยชะฮีดสุไลมานี เป็นหนึ่งในการกระทำที่โดดเด่นของนายพลคนนี้ และท่านผู้นำยังรู้สึกเสียใจที่กลุ่มดังกล่าวสลายไปโดยการตัดสินใจของทางเจ้าหน้าที่ทหารซีเรีย หลังจากผ่านไปหลายปี โดยท่านกล่าวว่า “หลังจากการปราบปรามฟิตนะฮ์ของกลุ่มไอซิส กองกำลังของเราส่วนใหญ่ก็กลับมาจากซีเรีย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นย้ำว่า สงครามหลัก ควรได้รับการสู้รบโดยกองทัพซีเรีย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เคียงข้างกองทัพแล้ว ยังมีกองกำลังบาซิจญ์ของประเทศอื่น ๆ ก็มีโอกาสในการทำสงคราม แต่ถ้ากองทัพแสดงถึงความอ่อนแอและไม่แยแส บาซิจญ์ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งน่าเสียใจที่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในซีเรีย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ข้อกำหนดในการเข้าร่วม ณ สถานที่ใดก็ตาม คือ ความร่วมมือและการอนุมัติของรัฐบาลของสถานที่นั่น เช่นเดียวกับในอิรักและซีเรีย เราก็ปรากฏตัวขึ้นตามคำร้องขอของรัฐบาลของพวกเขา และหากพวกเขาไม่ได้ร้องขอ หนทางก็จะถูกปิดและไม่สามารถที่จะให้ความช่วยเหลือได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “สถานการณ์ในปัจจุบันและความทุกข์ระทมของซีเรีย อันเป็นผลมาจากความอ่อนแอและจิตวิญญาณแห่งมุกอวะมะฮ์และการยืนหยัดต้องลดลง ซึ่งกองทัพซีเรียได้แสดงให้เห็น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เปรียบเทียบความอ่อนแอของกองทัพซีเรียกับขวัญกำลังใจอันสูงส่งของเจ้าหน้าที่อาวุโสของกองทัพอิหร่าน และการยืนกรานที่จะขออนุญาตเข้าร่วมในภาคสนามและการช่วยเหลือกลุ่มมุกอวะมะฮ์ โดยท่านกล่าวว่า “วันนี้ ประชาชาติอิหร่านนั้นมีความภาคภูมิใจต่อกองทัพและกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม แน่นอนว่า ในยุคสมัยทรราช กองทัพมีความอ่อนแออย่างมาก จนไม่สามารถที่จะยืนหยัดต่อการรุกรานจากพวกต่างชาติได้ และในสงครามครั้งที่สอง ศัตรูได้รุกคืบไปยังกรุงเตหะรานและทำการยึดครองมันได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวอธิบายถึงบางประเด็นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในซีเรียและแนวร่วมมุกอวะมะฮ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ทุกคนจะต้องรู้ว่า สถานการณ์จะไม่คงอยู่เช่นนี้ เมื่อกลุ่มหนึ่งมาที่กรุงดามัสกัสและโจมตีบ้านของประชาชน ในขณะที่รัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้รุกคืบด้วยการทิ้งระเบิด ปืนใหญ่ และรถถัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำว่า “บรรดาเยาวชนที่หาญกล้าของซีเรียจะยืนหยัดและเอาชนะเหนือสถานการณ์นี้อย่างแน่นอน ด้วยการลุกขึ้นต่อสู้และแม้กระทั่งด้วยการเกิดความสูญเสีย เช่นเดียวกับบรรดาเยาวชนที่หาญกล้าของอิรัก สามารถขับไล่ศัตรูออกไปจากบ้านและถนนของพวกเขา ด้วยความช่วยเหลือ การจัดตั้งองค์กร และการบัญชาการของชะฮีดสุไลมานี อันเป็นที่รักของเรา หลังจากการยึดครองของอเมริกา แน่นอนว่า ภารกิจนี้ในซีเรีย อาจใช้เวลานาน แต่ทว่า จะเกิดผลลัพธ์อย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงบทเรียนและอุทาหรณ์ต่างๆจากเหตุการณ์ในซีเรียสำหรับเจ้าหน้าที่และประชาชนทั้งหลาย โดยท่านกล่าวว่า “การไม่เพิกเฉยต่อศัตรู ในซีเรีย ศัตรูได้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาควรที่จะคาดการณ์และป้องกันล่วงหน้า ดังเช่นที่หน่วยข่าวกรองของเราได้ส่งรายงานคำเตือนไปยังทางการของซีเรียเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “เราไม่ควรเพิกเฉยต่อศัตรู และถือว่าเป็นเรื่องเล็ก หรือมีการไว้วางใจในรอยยิ้มของเขา เพราะว่า บางครั้ง ด้วยคำพูดที่มีรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ไพเราะ แต่ทว่า ยังมีมีดกริชอยู่ที่ข้างหลัง ที่กำลังรอโอกาสที่จะทิ่มแทง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ชัยชนะและความพ่ายแพ้ การมีขึ้นมีลงของบุคคลและในระดับชาติ เป็นข้อเท็จจริงของชีวิต โดยท่านกล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญ คือ อย่าทรนงในความภาคภูมิใจต่างๆ เพราะว่า ความทรนง จะนำมาซึ่งความเขลา และอย่าได้นิ่งเฉยและหมดหวังในความพ่ายแพ้ เช่นเดียวกับที่แนวร่วมมุกอวะมะฮ์ ไม่ทรนงในชัยชนะและไม่นิ่งเฉยกับความล้มเหลว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ในรอบ 46 ปีหลังจากการปฏิวัติอิสลาม เราได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่ยิ่งใหญ่และมีความยากลำบาก เช่น เมื่อครั้งที่เครื่องบินของซัดดัมได้ทิ้งระเบิดสนามบินกรุงเตหะราน และการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในหัวใจของประชาชน แต่เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ และความขมขื่น สาธารณรัฐอิสลามก็ไม่ได้นิ่งเฉย แม้เพียงชั่ววินาทีเดียว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อันตรายของการนิ่งเฉยมีมากกว่าเหตุการณ์นั้น โดยท่านกล่าวว่า “ผู้ศรัทธาไม่ควรอยู่นิ่งเฉย และรู้สึกว่า ตนไม่สามารถที่จะกระทำอะไรได้เลย และควรที่จะยอมแพ้ เช่นเดียวกัน ในชัยชนะต่างๆ อัลกุรอานได้แนะนำให้แสดงความขอบคุณและการให้อภัยต่อข้อบกพร่องและหลีกเลี่ยงออกความทรนงตน ด้วยเหตุนี้เอง ในความก้าวหน้าและความสำเร็จ ความทรนง คือ ยาพิษ ในข้อบกพร่องและปัญหาต่างๆ ความนิ่งเฉย ก็เป็นยาพิษ ซึ่งเราจะต้องระมัดระวังทั้งสองสิ่งนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นว่า มีบางคนที่ต้องการทำให้หัวใจของประชาชนพบกับความว่างเปล่าและเกิดความหวาดกลัว โดยท่านกล่าวว่า “บางคนได้กระทำสิ่งนี้ในต่างประเทศและสื่อภาษาเปอร์เซีย ซึ่งควรได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป แต่ภายในประเทศ ไม่ควรมีผู้ใดที่จะกระทำเช่นนี้ หากมีผู้ใดพูดในการวิเคราะห์หรือการแสดงออกของเขาในลักษณะที่หมายถึง การทำให้หัวใจของประชาชนต้องพบกับความว่างเปล่า ถือเป็นความผิด และจะต้องได้รับการจัดการกับมัน”
ในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เรียกร้องให้ประชาชาติอิหร่านเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “ด้วยความสำเร็จของพระเจ้า รากฐานของลัทธิไซออนิสต์และองค์ประกอบที่ชั่วร้ายของตะวันตก จะถูกถอนรากถอนโคนในภูมิภาคอย่างแน่นอน”