สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประธานและสมาชิกของสภาผู้ชำนาญการเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม

“โลกและภูมิภาค จะได้เห็นในวันที่ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ต้องพบกับความพ่ายแพ้”

 ประธานและสมาชิกของสภาผู้ชำนาญการเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า สภาแห่งนี้ เป็นสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติอิสลามอย่างมากที่สุด และท่านยังให้เห็นถึงชี้แรงจูงใจและการเคลื่อนไหวบางอย่างเพื่อหยุดการปฏิวัติอิสลามและทำให้การขับเคลื่อนประชาชาติต้องกลับไปสู่ความล้าหลัง โดยท่านกล่าวว่า “ความรับผิดชอบหลักของผู้นำสูงสุด คือ การรักษาทิศทางของประเทศให้มุ่งสู่เป้าหมายของการปฏิวัติอิสลาม ด้วยเหตุนี้เอง สภาผู้ชำนาญการซึ่งมีบทบาทอันเฉพาะตัวในการกำหนดผู้นำสูงสุด จึงมีความสำคัญอย่างมิอาจทดแทนได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงการเติบโต พลังขับเคลื่อน และการเผชิญหน้าที่ทรงพลังอย่างต่อเนื่องของฮิซบุลลอฮ์และฮามาส โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “ตามคำมั่นสัญญาที่ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความช่วยเหลือของพระเจ้า และบนพื้นฐานของประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากัน ชัยชนะของฮิซบุลลอฮ์และฮามาสในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดนั้น จะนำไปสู่ชัยชนะของแนวรบฝ่ายสัจธรรมและขบวนการมุกอวะมะฮ์อย่างแน่นอน”

ในการพบปะกันครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นในช่วงท้ายของการประชุมครั้งที่สองของสภาผู้ชำนาณการ ในสมัยที่ 6 ท่านผู้นำการปฏิวัติได้ชี้ให้เห็นถึงสถานภาพของสภาผู้ชำนาญการในรัฐธรรมนูญและรัฐอิสลาม ถือว่า สภาแห่งนี้ ในแง่ของแนวคิดที่มีความเชื่อมโยงกับการปฏิวัติอิสลาม เป็นสถาบันแห่งการปฏิวัติอิสลามอย่างมากที่สุด โดยท่านกล่าวว่า “เหตุผลในการใช้การตีความนี้ คือ การแสดงบทบาทของผู้ชำนาญการในการคัดเลือกผู้นำสูงสุด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เป้าหมายหลักของการปฏิวัติอิสลาม คือ การเกิดขึ้นของหลักเอกภาพ ในความหมายกว้างๆ  หมายถึง การนำเอาศาสนาอิสลามไปปฏิบัติในประเทศและในการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ผู้นำสูงสุดนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาทิศทางของประเทศและรัฐอิสลาม ให้มีการขับเคลื่อนไปตามเป้าหมายหลัก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงแรงจูงใจบางประการในการสร้างอุปสรรคเพื่อบรรลุสู่สังคมแห่งหลักเอกภาพในประเทศ  โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขาต่างต้องการที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของการปฏิวัติอิสลามและรัฐอิสลามบนเส้นทางนี้ และหากพวกเขาสามารถที่จะย้อนกลับไปได้ พวกเขาก็จะทำให้เกิดสถานการณ์ปฏิกิริยา มีทัศนคติกลับไปสู่สภาพเดิมก่อนการปฏิวัติอิสลาม ถึงแม้ว่า มีรูปลักษณ์ภายนอกและสวมใส่อาภรณ์ใหม่ก็ตาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงมีการเบี่ยงเบนของการปฏิวัติครั้งใหญ่ในสองทศวรรษหลังจากนี้ เช่น การปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสและการปฏิวัติในสหภาพโซเวียต โดยท่านกล่าวเสริมว่า “มีความเสี่ยงที่จะกลับไปสู่ความล้าหลังในการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดของประชาชน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกหลักฐานจากคำเตือนอย่างมากมายในอัลกุรอานที่เกี่ยวกับการกลับคืนสู่ความล้าหลัง ถือว่า เป็นอันตรายที่สำคัญอย่างมาก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงตักเตือนในอัลกุรอานว่า หากพวกท่านเชื่อฟังเหล่าพวกปฏิเสธ พวกท่านจะต้องกลับไปสู่ความล้าหลัง และเป็นพวกปฏิกิริยา หรือว่า พวกปฏิเสธจะทำให้พวกท่านกลับไปสู่การปฏิเสธอีกครั้ง ภายหลังจากที่มีความศรัทธาแล้ว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การป้องกันจากการเบี่ยงเบนและความล้าหลังในทุกรัฐ จำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่ง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในรัฐอิสลาม ภารกิจที่สำคัญอย่างมากนี้ คือ ความรับผิดชอบของผู้นำสูงสุด และความรับผิดชอบในการเลือกปัจจัยที่ชี้ขาดนี้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้ชำนาญการด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงความสำคัญของสภาแห่งนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การดำรงอยู่ของสภาผู้ชำนาญการ แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการหยุดชะงักในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องของรัฐอิสลามไปสู่เป้าหมาย เพราะว่า หากมีความจำเป็น บรรดาผู้ชำนาญการ จะกำหนดผู้นำสูงสุดคนต่อไปในทันที และในลำดับนี้ก็จะดำรงอยู่อย่างเต็มกำลังและเต็มขีดความสามารถอย่างสมบูรณ์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รัฐอิสลามไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลใด บุคคลหนึ่ง เป็นข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ในกระบวนการคัดเลือกผู้นำสูงสุดในทันที โดยท่านกล่าวว่า “การถ่ายโอนเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าบุคคลทั้งหลายจะมีภารกิจต่างๆที่ต้องปฏิบัติ แต่รัฐอิสลามนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาและจะสามารถดำเนินการต่อไปบนเส้นทางของตนได้โดยปราศจากบุคคลเหล่านี้”

ในบริบทเดียวกันนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงคำเตือนของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อบรรดามุสลิมในซูเราะฮ์ อาลิอิมรอน โดยท่านกล่าวว่า “พระองค์ทรงตำหนิชาวมุสลิมในปีที่สามแห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ในขณะที่รัฐอิสลามยังไม่ได้รับการสถาปนา หากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)  (หมายถึง บุคคลหลักของรัฐ)เสียชีวิต  หรือถูกสังหาร พวกท่านจะหันหลังกลับกระนั้นหรือ?

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวอธิบายถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความสำคัญของสถานภาพของบรรดาผู้ชำนาญการ ถือว่า เแสดงให้เห็นว่า มีความจำเป็นของความแม่นยำสูงสุดและความสนใจของผู้ชำนาญการทั้งหลายในการคัดเลือกผู้นำสูงสุด โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “จะต้องใช้ความแม่นยำสูงสุดในการระบุคุณสมบัติที่กล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญสำหรับผู้นำสูงสุด เพื่อให้เงื่อนไขทั้งหมด รวมทั้งความเชื่อมั่นในหัวใจที่แน่วแน่บนเส้นทางและเป้าหมายของการปฏิวัติอิสลามและมีความพร้อมที่จะก้าวไปอย่างต่อเนื่องและการไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยบนเส้นทางนี้ ควรที่จะได้รับการยอมรับในตัวเขาและเขานั้นเหมาะสมกับการมีความรับผิดชอบ”

ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงความประจวบเหมาะกับช่วงสัปดาห์นี้ ในช่วงสี่สิบวันของการเป็นชะฮีดของนักต่อสู้ ผู้ยิ่งใหญ่และผู้ที่ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยแห่งยุคสมัย ชะฮีด ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ และการเทอดเกียรติเพื่อรำลึกถึงเขา ตลอดจนบรรดาผู้บัญชาการและผู้อาวุโสบุคคลอื่นๆ ของขบวนการมุกอวะมะฮ์  เช่น ชะฮีดฮะนีเยห์ ชะฮีดศอฟียุดดีน ชะฮีดซินวาร และชะฮีดนีลฟุรูชาน โดยท่านกล่าวว่า “บรรดชะฮีดเหล่านี้ได้เพิ่มพูนเกียรติ ศักดิ์ศรี และความแข็งแกร่งให้กับอิสลามและขบวนการมุกอวะมะฮ์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ฮิซบุลลอฮ์ คือ ความทรงจำอันเป็นอมตะของชะฮีดนัศรุลลอฮ์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ฮิซบุลลอฮ์ ได้รับเกียรติด้วยความกล้าหาญ การมีไหวพริบ ความอดทน และความไว้วางใจที่มหัศจรรย์ของซัยยิดมุกอวะมะห์ ทำให้ฮิซบุลลอฮ์เติบโตอย่างพิเศษในลักษณะที่ศัตรูซึ่งมีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางวัตถุและการโฆษณาชวนเชื่อ ยังไม่สามารถที่จะพิชิตเหนือฮิซบุลลอฮ์ได้ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า พวกเหล่านี้จะไม่สามารถประสบชัยชนะเหนือปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้ได้อย่างแน่นอน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงมือที่เปรอะเปื้อนเลือดของอเมริกาและบางประเทศในยุโรปในการก่ออาชญากรรมในฉนวนกาซ่าและเลบานอน ถือว่า ผลลัพธ์ของการต่อสู้อันทรงพลังอย่างต่อเนื่องในเลบานอน ฉนวนกาซ่า และปาเลสไตน์ เป็นชัยชนะของฝ่ายสัจธรรมและขบวนการมุกอวะมะฮ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ขบวนการมุกอวะมะฮ์ได้รับชัยชนะ คือ คำมั่นสัญญาที่ไม่มีข้อสงสัยของพระเจ้า ซึ่งหลังจากที่ได้รับการอนุมัติให้ทำญิฮาดแล้ว พระองค์ทรงเน้นย้ำถึงบรรดาผู้ที่ถูกอธรรมว่า หากพวกท่านช่วยเหลือพระเจ้า ความช่วยเหลือจากพระองค์ก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประสบการณ์ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาแห่งชัยชนะของขบวนการมุกอวะมะฮ์ในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้รุกรานพวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ชัดเจนในการบรรลุสู่ชัยชนะครั้งสุดท้ายของฝ่ายสัจธรรม โดยท่านกล่าวว่า “ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ฮิซบุลลอฮ์ได้รับชัยชนะเหนือระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ในหลายขั้นตอนต่างๆ จาก กรุงเบรุต เมืองไซดา และเมืองไทร์ และในที่สุด พวกเหล่านี้ก็จำเป็นที่จะต้องถอนตัวออกจากเลบานอนทางตอนใต้อย่างสิ้นเชิง และทำให้เมืองต่างๆ หมู่บ้าน และที่ราบสูงของประเทศนี้ได้ว่างเปล่าจากการดำรงอยู่ของระบอบรัฐที่ชั่วร้ายนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พลังอันน่าอัศจรรย์ของฮิซบุลลอฮ์ในการตอบโต้และได้รับชัยชนะเหนือศัตรูที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งทางการทหาร การเมือง การโฆษณาชวนเชื่อ และทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอาศัยการสนับสนุนจากเหล่าผู้ชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงของโลก เช่น เหล่าประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เพิ่มขึ้นอย่างเรื่อยๆของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์และการเปลี่ยนจากกลุ่มเล็กของบรรดานักต่อสู้ ในเส้นทางของพระเจ้า เป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่ โดยท่านกล่าวว่า “ประสบการณ์ในชัยชนะแบบเดียวกันนั้น ก็เกิดขึ้นกับการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์อีกด้วยเช่นกัน และพวกเขาได้ต่อสู้กับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์มาแล้ว 9 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 1388 (2009) จนถึงขณะนี้ และได้รับชัยชนะเหนือรัฐเถื่อนนี้ไปแล้วทั้งหมด 9 ครั้ง ด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ขบวนการมุกอวะมะฮ์ เป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะในปัจจุบันในการสู้รบกับเหล่าผู้รุกรานไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เป้าหมายของพวกไซออนิสต์ในสงครามครั้งนี้ คือ การกำจัดกลุ่มฮามาสให้หมดสิ้น แต่ถึงแม้ว่า จะมีการสังหารหมู่ผู้คนนับหมื่นคนและการเป็นชะฮีดของบรรดาผู้นำของขบวนการมุกอวะมะฮ์และฮามาส แสดงให้เห็นถึงความรังเกียจ ความเกลียดชัง ความโดดเดี่ยว และการถูกประณามในโลกของพวกเหล่านี้ พวกเขานั้นก็ไม่สามารถบรรลุสู่เป้าหมายนี้ได้ และฮามาสยังคงต่อสู้อยู่ต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนี้คือ ความพ่ายแพ้ของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ฮิซบุลลอฮ์มีความแข็งแกร่งและกำลังต่อสู้อย่างทรงพลังกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์อย่างต่อเนื่อง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในเลบานอนและสถานที่อื่นๆ บางคนคิดว่า กลุ่มฮิซบุลลอฮ์กำลังอ่อนแอลง จึงได้เปิดปากเพื่อเยาะเย้ยต่อองค์กรมุญาฮิดนี้ ในขณะที่พวกเขานั้นได้กระทำผิดพลาดและหลงผิด เพราะว่า ถึงแม้น จะไม่มีบุคคลสำคัญ เช่น ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ และซัยยิดศอฟียุดดีน องค์กรฮิซบุลลอฮ์ที่มีขวัญกำลังใจเป็นอย่างสูง และบรรดานักต่อสู้กำลังต่อสู้ในภาคสนามอย่างแข็งแกร่ง และศัตรูก็ไม่สามารถและจะไม่มีความสามารถได้รับชัยชนะเหนือพวกเขาได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “โลกและภูมิภาค จะได้เห็นในวันที่ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างชัดเจนต่อนักต่อสู้เหล่านี้ ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกท่านทุกคนจะได้เห็นในวันนั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเทอดเกียรติรำลึกถึงสมาชิกผู้เสียชีวิตของสภาผู้ชำนาญการในสมัยที่หก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชะฮีดระอีซีและชะฮีดอาลิฮาชิม

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ มุวะห์ฮิดี กิรมานี  ประธานสภาผู้ชำนาญการ ได้กล่าวถึงประเด็นบางประการเกี่ยวกับความจำเป็นของความพยายามของบรรดาผู้เชี่ยวชาญและสื่อต่างๆในการอธิบายแนวความคิดของการปฏิวัติอิสลามและประเด็นเรื่องวิลายะตุลฟะกีฮ์

ท่านอยาตุลลอฮ์ ฮุซัยนี บูเชฮ์รี รองประธานสภาผู้ชำนาญการ ได้ชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาของคำแถลงการณ์สุดท้ายของการประชุมครั้งนี้ โดยเขากล่าวรายงานเกี่ยวกับการประชุมครั้งที่ 2 ในสมัยที่ 6 ของสภาแห่งนี้ และประเด็นหลักในการกล่าวสุนทรพจน์ของสมาชิกสภาผู้ชำนาญการทั้ง 16 คน ก่อนที่จะออกเป็นวาระแห่งชาติ ในประเด็นทางด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดจนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง

 

 

700 /