นักเรียนและนักศึกษาหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้กล่าวอธิบายถึงเหตุผลหลักของการต่อสู้อย่างน้อย 70 ปีของประชาชาติอิหร่านกับการกดขี่และความต้องการที่มากเกินของสหรัฐอเมริกา โดยท่านเน้นย้ำว่า “การเผชิญหน้ากันระหว่างอิสลาม ความเป็นชาติ การมีเหตุผล สติปัญญา และมนุษยธรรมของประชาชาติอิหร่านกับความอหังการของอเมริกา ซึ่งถือว่า เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องมีการดำเนินต่อไปตามแผนงานที่ถูกต้องและไม่เพิกเฉยหรือล่าช้า และบนเส้นทางแห่งชัยชนะนี้ ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และสหรัฐอเมริกา จะได้รับการตอบโต้ที่รุนแรงอย่างแน่นอนที่มีต่อการกระทำใดๆ ที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน”
ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเสนอแนะของนักศึกษาคนหนึ่งที่เกี่ยวกับวิธีการจัดการกับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยท่านผู้นำ กล่าวว่า “ทุกคนจงรู้ไว้ว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกการดำเนินการที่จำเป็น ทางทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และการเมือง จะถูกนำไปใช้เพื่อเตรียมพร้อมให้กับประชาชาติอิหร่าน และขณะนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่กำลังสาละวนอยู่กับการงานเหล่านี้ ด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “การเคลื่อนไหวโดยทั่วไปของประชาชาติและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในการเผชิญหน้ากับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการและหน่วยงานอาชญากรโลกที่ครอบคลุมระเบียบโลกในปัจจุบัน เป็นการเคลื่อนไหวที่มีตรรกะ มีความสอดคล้องกับศาสนา ศาสนบัญญัติ จริยธรรม และกฎหมายระหว่างประเทศ ประชาชาติและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย จะต้องไม่ลังเลและล่าช้าในเรื่องนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การต่อสู้ของประชาชาติอิหร่านกับชาติมหาอำนาจจอมอหังการ เป็นประเด็นที่ถาวรและมีความต่อเนื่องในบริบทชีวิตของประชาชาติ โดยท่านกล่าวว่า “การตั้งชื่อวันหนึ่งว่า เป็นวันแห่งการต่อสู้กับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการของโลก ในความเป็นจริงแล้ว เพื่อที่จะไม่ทำให้ลืมเลือนการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีมือที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในการเคลื่อนไหวที่กล้าหาญและมีความเข้าใจของประชาชาติในการลุกขึ้นต่อสู้กับอเมริกาและเหล่าตัวแทนในภูมิภาค หลังจากนั้น จึงได้มีการปฏิเสธในการเผชิญหน้านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความพยายามของบางคนที่ตั้งข้อสงสัยในความชอบธรรมของการยึดรังจารกรรม โดยท่านกล่าวว่า “บางคนบอกว่า สถานทูตอเมริกาก็เหมือนกับสถานทูตของทุกประเทศ เป็นสถานที่สำหรับการเคลื่อนไหวทางการทูตและมีการเก็บรวบรวมข้อมูล แล้วเหตุใดเล่า จึงต้องถูกยึดด้วย?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตอบข้อสงสัยนี้ โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “สถานทูตอเมริกาในกรุงเตหะราน ซึ่งได้รับการยืนยันจากเอกสารที่ได้รับ ถือเป็นสำนักงานใหญ่ในการวางแผนเพื่อปลุกปั่นและจัดการการต่อต้านการปฏิวัติ ทั้งยังมีพวกขยะซาวักของชาห์ การสร้างความแตกแยก การปลุกปั่นกลุ่มชาติพันธุ์ การก่อรัฐประหาร ซึ่งได้มีการคุกคามต่อชีวิตของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) และการบ่อนทำลายการปฏิวัติอิสลาม และข้อเท็จจริงนี้ ก็จะไม่ถูกเปลี่ยนแปลง แม้ว่า ผู้กระทำในเหตุการณ์นั้นบางคนจะมีข้อสงสัยก็ตาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เอกสารที่ค้นพบในรังจารกรรม มีความสำคัญและให้ความกระจ่างชัดเป็นอย่างมาก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เยาวชนทั้งหลาย ควรอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเอกสารของรังจารกรรมและเอกสารอื่นๆ เพื่อตระหนักถึงความเป็นจริงของสถานทูตอเมริกาที่ได้กลายเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายและการก่อแผนการสมรู้ร่วมคิดในการต่อต้านการปฏิวัติอิสลามที่มากขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยึดรังจารกรรม เป็นจุดเปลี่ยนและเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการชี้แจงถึงอัตลักษณ์ที่แท้จริงของสถานทูตอเมริกา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ นี่คือสาเหตุที่ท่านอิมามได้ยอมรับให้มีการเคลื่อนไหวของนักศึกษา ด้วยวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งเช่นนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตอบคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับสาเหตุของการต่อสู้ของประชาชาติอิหร่านกับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการของโลก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ มีสาเหตุมาจากการครอบงำที่ฉ้อฉลและการไร้ยางอายของรัฐบาลอเมริกาที่มีต่อประชาชาติอิหร่านที่มีเกียรติของเรา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า นักประวัติศาสตร์ที่เบี่ยงเบนบางคนเรียกการยึดรังจารกรรมว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการเผชิญหน้าระหว่างประชาชาติอิหร่านและสหรัฐอเมริกา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “นี่ถือเป็นเรื่องโกหก และการเผชิญหน้าครั้งนี้ เกิดขึ้นอย่างน้อยในวันที่ 28 เดือนมุรดอด 1332(ปฏิทินอิหร่าน) เพราะว่า ในวันนั้น พวกอเมริกาได้ทรยศต่อความไว้วางใจที่ดีของรัฐบาลของมุซัดดิก ได้โค่นล้มรัฐบาลแห่งชาติและของประชาชน ด้วยการรัฐประหารที่นองเลือด และมีการสถาปนาการปกครองแบบเผด็จการของชาห์ขึ้นมาใหม่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้แนะนำให้เยาวชนทั้งหลายศึกษาเกี่ยวกับเหตุการณ์การเคลื่อนไหวของชาติและการรัฐประหารในวันที่ 28 มุรดอด และแนะนำให้นักวิจัยทั้งหลายผลิตผลงานในด้านนี้อีกด้วย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “นี่คือ จุดเปลี่ยนผันในประวัติศาสตร์ของประชาชาติอิหร่านและจะต้องมีการอธิบายเป็นอย่างดี”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถืงว่า การจัดตั้งกลุ่มซาวัก และมีการฝึกอบรมวิธีการทรมานอันเลวร้ายให้เหล่าผู้สืบสวน การมีอยู่ของที่ปรึกษาทางทหารชาวอเมริกาหลายหมื่นนาย เพื่อแทรกแซงกิจการของกองทัพและรัฐบาล ตลอดจนการมีอิทธิพลและการจารกรรม เหล่านี้ ล้วนเป็นการกระทำของพวกอเมริกาในการต่อต้านอิหร่านทั้งสิ้น โดยท่านกล่าวว่า “การกระทำทั้งหมดนี้ เป็นการทำให้ประชาชาติต้องพบกับความอับอายและเกิดการครอบงำอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความช่วยเหลือจากระบอบการปกครองของปาห์ลาวีที่ชั่วร้ายต่อระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ว่า “ปาห์ลาวีได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรัฐเถื่อน ด้วยคำแนะนำของอเมริกา และมีการจัดหาน้ำมัน อีกทั้งการสนับสนุนทางด้านอื่นๆ ถือเป็นการทรยศที่ไม่อาจจะลืมเลือน และในขณะที่รัฐบาลส่วนใหญ่ในภูมิภาคได้ตัดความสัมพันธ์กับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ไปแล้ว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ช่างน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ บางรัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและแม้กระทั่งทางการทหารแก่ศัตรูนี้ที่กระหายเลือดโดยที่ไม่สนใจใยดีในอาชญากรรมอันร้ายแรงที่กระทำโดยระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในฉนวนกาซ่าและในเลบานอนเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเผชิญหน้าของประชาชาติอิหร่านกับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ เกิดขึ้นจากคำสอนของอิสลามและเป็นข้อบังคับ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเผชิญหน้ากับการครอบงำทางเศรษฐกิจ การทหาร วัฒนธรรม และความอัปยศอดสูของเหล่าผู้รังแกของโลก จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ไม่ถือว่า การตั้งข้อสงสัยของบางคน ในกรณีความเป็นไปได้ในการเผชิญหน้ากับระบอบที่มีความก้าวหน้า แข็งแกร่ง และมีอำนาจเหนือกว่าอย่างอเมริกา โดยการพิจารณาจากประสบการณ์ความสำเร็จในตลอด 46 ปีที่ผ่านมาของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชาติอิหร่านได้ประสบความสำเร็จในการต่อสู้ครั้งนี้ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการมีความสามารถในการทำให้อำนาจของสหรัฐอเมริกาต้องพบกับความอ่อนแอลง ซึ่งพวกเหล่านี้ได้ทำให้ประชาชาติทั้งหลายเกิดหวาดกลัวและยังบีบบังคับให้พวกเขาต้องล่าถอยอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำแถลงการณ์ของสมาคมมหาวิทยาลัยอเมริกันที่ต่อต้านวัฒนธรรมและอารยธรรมของตะวันตกและการกระทำของสหรัฐอเมริกาและการป้องกันประเทศและประชาชาติที่ถูกกดขี่ เป็นอีกสัญญาณหนึ่งของความสำเร็จและความก้าวหน้าของขบวนการต่อสู้กับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การต่อสู้ครั้งนี้ จะมีความเข้มข้นมากขึ้น ในแต่ละวัน ประชาชาติอิหร่าน ประชาชาติทั้งหลายที่ถูกกดขี่ และฝ่ายแนวรบร่วมขบวนการมุกอวะมะฮ์ จะได้รับความก้าวหน้าอย่างแน่นอน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อาชญากรรมอันเลวร้ายของระบอบรัฐเถื่อนไซออนนิสต์ในฉนวนกาซ่า และการสังหารผู้คน 50,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก และโศกนาฏกรรมในปัจจุบันที่เกิดขึ้นในเลบานอน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมอย่างไร้ยางอายและชัดเจนทางอาวุธยุทโธปกรณ์และการเมืองโดยอเมริกา ก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนของพวกเหล่านี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การต่อสู้กับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ เป็นการต่อสู้ที่มีเหตุผล ชาญฉลาด และสอดคล้องกับตรรกะสากล”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่พยายามแสดงท่าทีว่า การเคลื่อนไหวในการเผชิญหน้ากับชาติมหาอำนาจ จอมอหังการของประชาชาติอิหร่าน เป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้เหตุผล โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราไม่ได้กล่าวหาบุคคลเหล่านี้ว่า เป็นกบฏ แต่เมื่อพวกเขาทำให้การเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง มีเหตุผล และเป็นไปตามตรรกะระดับสากล เป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้เหตุผล อย่างน้อยที่สุดก็ถือว่า พวกเขานั้นเป็นพวกสายตาสั้นและมีวิสัยทัศน์ที่สั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีเกียรติของประชาชาติอิหร่านในความคิดเห็นของสาธารณชนทั่วโลก แม้จะมีความพยายามอย่างกว้างขวางของระบบสื่อสารของระบอบการครอบงำ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงประสิทธิผลของการต่อสู้ที่ประสบความสำเร็จและมีเหตุผลของสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “หลังจากการปฏิบัติการสัญญาที่แท้จริง ประชาชนต่างชื่นชมยินดีตามท้องถนนของประเทศต่างๆ หมายถึง ความเคลื่อนไหวของประชาชาติอิหร่านนั้นได้รับการยอมรับจากตรรกะสากล และแน่นอนว่ าเป็นตรรกะของอิสลามและอัลกุรอานอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความต่อเนื่องในการเคลื่อนไหวบนพื้นฐานนี้ ตามแผนงานที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความต่อเนื่องในการเคลื่อนไหวนี้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีแผนงานที่ทำให้บรรดาเยาวชนที่มีเกียรติทั่วประเทศ สามารถช่วยให้มีการเสริมสร้างความเข้มแข็งของประเทศ ทั้งด้านแนวคิดและทางวิทยาศาสตร์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นย้ำให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ทั้งหลายและผู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ กำลังพยายามอย่างเต็มที่และจะไม่ล้มเหลวแต่อย่างใด โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกท่านจงเชื่อมั่นว่า จะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆของศัตรู จากผู้ที่พยายามจะจัดการกับมันในฐานะเป็นตัวแทนของประชาชาติอิหร่าน จะไม่ได้รับการตอบโต้และจะไม่ถูกลืมเลือน และเหล่าศัตรู ไม่ว่าจะเป็นรัฐเถื่อนไซออนิสต์และสหรัฐอเมริกา จะได้รับการตอบโต้ที่รุนแรงอย่างแน่นอน จากสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำกับประชาชาติอิหร่านและฝ่ายแนวรบร่วมขบวนการมุกอวะมะฮ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อาชญากรรมในปัจจุบันของระบอบรัฐเถื่อนที่ยึดครองด้วยการช่วยเหลือ การแทรกแซง และการมีส่วนร่วมของสหรัฐอเมริกา เพื่อทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อคำกล่าวอ้างที่หลอกลวงในสิทธิมนุษยชนของอเมริกา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “โลกวันนี้ได้ตระหนักแล้วว่า เหล่าอาชญากร ผู้อ้างสิทธิมนุษยชนที่ได้ลอบสังหารบุคคลที่ยิ่งใหญ่ เช่น ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ และอิสมาอีล ฮะนีเยห์ และกอเซ็ม สุไลมานี พวกเหล่านี้ ถือเป็นขบวนการก่อการร้ายและขบวนการแห่งอาชญากร”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เป็นหน้าที่ของประชาชาติในการสร้างการเคลื่อนไหวสาธารณะเพื่อต่อต้านอาชญากรรมและการหลอกลวงนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกท่าน เยาวชนคนหนุ่มสาว นักเรียนและนักศึกษา จะต้องมีความสัมพันธ์และติดต่อกับเยาวชนทั้งหลายของประเทศอิสลาม ในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ด้วยการชี้แจงและย้ำเตือนพวกเขาถึงข้อเท็จจริง ที่ว่าจะต้องมีการเคลื่อนไหวทั่วไปครั้งใหญ่ในการต่อต้านชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ”
ในท้ายที่สุด ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยความสำเร็จของพระผู้เป็นเจ้า การเคลื่อนไหวแห่งอิสลามและมนุษยธรรม ประชาชาติอิหร่านและแนวร่วมมุกอวะมะฮ์ จะพบกับสถานภาพของตนในโลกนี้และจะเอาชนะเหนือศัตรูได้อย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังให้คำแนะนำทางจิตวิญญาณแก่ยุวชนและเยาวชน ด้วยการเชิญชวนให้พวกเขารำลึกและขอบคุณต่อพระเจ้า โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หนทางข้างหน้านั้นไม่สั้นและไม่ง่ายนัก และจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพวกท่าน เยาวชนคนหนุ่มสาวที่มีเกียรติ ที่จะต้องวิงวอนและขอพร ตะวัสซุล และสร้างความสัมพันธ์กับอัลกุรอาน และขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระเจ้า รวมทั้งความโปรดปรานในการดำรงอยู่ของรัฐที่ต่อสู้กับขบวนการอาชญากรระหว่างประเทศ การเพิ่มความอุตสาหะพยายาม การมีมะอ์รีฟัตและความเพียรพยายามของตนสำหรับการปฏิบัติหน้าที่อันหนักหน่วงบนเส้นทางนี้ที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตื่นตัว การเตรียมความพร้อม และความรู้สึกมีความสามารถของเยาวชน เป็นอีกหนึ่งในความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยความช่วยเหลือของพระผู้อภิบาลและความช่วยเหลือจากดวงวิญญาณของบรรดาชะฮีด ผู้ทรงเกียรติและส่องแสงสว่าง เช่น ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ อิสมาอีล ฮะนีเยห์ นายพลสุไลมานี และยะห์ยา ซินวาร พวกท่านทั้งหลายจงดำเนินต่อไปบนเส้นทางนี้อย่างต่อเนื่อง”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ นายริฎอ สุไลมานี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากจังหวัดอิศฟาฮาน ในฐานะเป็นตัวแทนของนักเรียน นางสาวฟาฏิเมห์ บาเกรี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชะรีฟ ในฐานะเป็นตัวแทนของนักศึกษาที่เข้าพบปะครั้งนี้ และนายซัยยิด ฮัยดัร ฟัฎลุลลอฮ์ นักศึกษาชาวเลบานอนที่อาศัยอยู่ในอิหร่าน ในฐานะเป็นตัวแทนของนักศึกษาของขบวนการมุกอวะมะฮ์ ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ในบริบทของการเผชิญหน้ากับเหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำ