ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเทศนาธรรม (คุฏบะฮ์) ในการรวมตัวครั้งใหญ่ของประชาชนในนมาซวันศุกร์ ตามหลักอิบาดะฮ์ และทางการเมือง ณ กรุงเตหะราน โดยท่านผู้นำ ถือว่า ความเป็นเอกภาพและความสามัคคีของบรรดามุสลิม เป็นเหตุผลที่จะได้รับความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าและการให้เกียรติของพระองค์ อีกทั้งยังเป็นการได้รับชัยชนะเหนือเหล่าศัตรู โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “ตามกฎหมายการป้องกันของอิสลาม รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐอิสลามและกฎหมายระหว่างประเทศ ถือว่า การดำเนินที่ยอดเยี่ยมของกองทัพอิหร่านจากการลงโทษระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่กระหายเลือดนั้น มีความถูกต้องตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์และมีความชอบธรรม อีกทั้งสาธารณรัฐอิสลามจะปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ก็ตามอย่างไม่ล่าช้าหรือเร่งรีบ ด้วยพลังอำนาจ ความแข็งแกร่ง และความเด็ดขาด”
บรรดาประชาชน ผู้ศรัทธา นักปฏิวัติอิสลาม และบรรดาผู้ที่รู้จักหน้าที่ในกรุงเตหะราน เป็นจำนวนมาก ได้เข้าร่วมในพิธีนี้ ณ มุศ็อลลาอิมามโคมัยนี และตามท้องถนนต่างๆรอบๆอีกหลายกิโลเมตรด้วยกัน ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า มุญาฮิด (นักต่อสู้) ชะฮีด ซัยยิดฮะซัน นัศรุลลอฮ์ เป็นแหล่งที่มาของความภาคภูมิใจ และเป็นภาพลักษณ์อันเป็นที่รักของโลกอิสลาม อีกทั้งเป็นภาษาพูดของบรรดาประชาชาติในภูมิภาคนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “อิทธิพลทางบุคลิกภาพของผู้ถือธงชัยแห่งการต่อสู้และผู้พิทักษ์ที่กล้าหาญของบรรดาผู้ถูกกดขี่ จะเพิ่มมากขึ้น หลังจากการเป็นชะฮีดของเขา และประชาชาติทั้งหลายในภูมิภาค บรรดามุญาฮิดีน(นักต่อสู้)ในแนวทางของพระเจ้า จะต้องรู้ว่า สาส์นแห่งการเป็นชะฮีดของเขา คือ ความศรัทธามั่นและการมอบหมายต่อพระองค์(ตะวักกุล) ที่เพิ่มมากขึ้น ความเป็นเอกภาพที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น ความเข้มแข็งที่เพิ่มมากขึ้น และโดยปราศข้อสงสัยในการต่อสู้ จนกว่า ศัตรูไซออนิสต์จะได้รับความพ่ายแพ้และการทำลายล้างอย่างสุดกำลัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอธิบายถึงนโยบายของอัลกุรอานในประเด็นความสามัคคีของบรรดามุสลิม โดยท่านกล่าวว่า “วิลายะฮ์ของชาวมุสลิมทั้งหลาย คือ ความหมายของการมีปฏิสัมพันธ์ ความเห็นอกเห็นใจ และความร่วมมือกัน จะได้รับความช่วยเหลือที่มีเกียรติและชาญฉลาดของพระเจ้า ซึ่งจะส่งผลให้เกิดชัยชนะเหนืออุปสรรคและเหนือเหล่าศัตรู”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับนโยบายนี้ของพระเจ้า คือ นโยบายในการสร้างความแตกแยกของเหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ และเหล่าผู้รุกรานของโลก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติอิสลามต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างมากมายจากนโยบายการสร้างความแตกแยกและการยึดครองของเหล่ามหาอำนาจ แต่ทว่า ปัจจุบันนี้ เป็นวันแห่งการตื่นตัวของชาวมุสลิมและนโยบายอันชั่วร้ายนี้ไม่ควรได้รับอนุญาตให้กระทำอย่างซ้ำซาก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงนโยบายต่างๆ ทางทหาร การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของศัตรูเพื่อสร้างความแตกแยก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ศัตรูของประชาชาติอิหร่านก็เหมือนกับศัตรูของประชาชาติปาเลสไตน์ เลบานอน อียิปต์ ซีเรีย อิรัก เยเมนและประเทศอิสลามอื่นๆ และคำสั่งในการโจมตีและการสร้างแตกแยกทั้งหมด ล้วนออกมาจากห้องปฏิบัติการเดียวกัน ขณะที่มีความแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือ วิธีการที่แตกต่างกันในประเทศทั้งหลายของอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำว่า “หากทุกประชาชาติต้องการออกจากการถูกปิดล้อมของศัตรู จนเป็นอัมพาต ก็จะต้องตื่นตัว และทันทีที่ศัตรูไปถึงประชาชาติใดประชาชาติหนึ่ง ก็จะต้องรีบเร่งเข้าไปช่วยเหลือประชาชาตินั้น ไม่เช่นนั้น ก็จะถึงเวลาของตน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำว่า “เราจะต้องรัดเข็มขัดแห่งการป้องกัน เรียกร้องอิสรภาพ เกียรติและศักดิ์ศรี จากอัฟกานิสถานไปจนถึงเยเมน และจากอิหร่านไปจนถึงฉนวนกาซ่าและเลบานอน ในทุกประเทศอิสลามอย่างมั่นคง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงกฎอันชัดเจนของการป้องกันของอิสลามเกี่ยวกับความชอบธรรมและความสมเหตุสมผลในการปกป้องแผ่นดิน บ้านเรือน และผลประโยชน์ของตนเอง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ การปกป้องประชาชาติต่างๆ รวมถึงประชาชาติปาเลสไตน์ต่อเหล่าผู้รุกรานและผู้ยึดครองนั้น ถูกต้องตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์และมีตรรกะที่มั่นคง และไม่มีผู้ใด และไม่มีศูนย์กลางใดหรือองค์กรระหว่างประเทศใด มีสิทธิ์ที่จะประท้วงต่อต้านพวกเขาได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงความชอบธรรมในการช่วยเหลือประชาชาติที่ปกป้องตัวเอง จากผู้ยึดครองตามหลักการอิสลาม สติปัญญา และกฎหมายระหว่างประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่มีผู้ใดมีสิทธิที่จะประท้วงประชาชาติเลบานอนและฮิซบุลลอฮ์เกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนที่ถูกกดขี่ในฉนวนกาซ่าและการสนับสนุนการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชาติปาเลสไตน์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปฏิบัติการพายุแห่งอัลอักซอ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นการขับเคลื่อนที่ถูกต้องและสมเหตุสมผลตามกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นสิทธิของประชาชาติปาเลสไตน์ พร้อมทั้งยังยกย่องประชาชนชาวเลบานอนที่ปกป้องชาวปาเลสไตน์อย่างเต็มที่”
บนพื้นฐานนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงการดำเนินการที่ยอดเยี่ยมของกองทัพอิหร่าน เมื่อสองสามคืนที่ผ่านมา เพื่อต่อต้านระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ว่า มีความถูกต้องตามกฎหมายและมีความชอบธรรม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การดำเนินการของกองทัพของเรา ถือเป็นการลงโทษอย่างน้อยที่สุดที่มีต่อระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ผู้ยึดครอง ในการก่ออาชญากรรมอันน่าสลดใจของระบอบรัฐเถื่อนที่กระหายเลือด สุนัขป่าและสุนัขบ้าคลั่งของอเมริกาในภูมิภาคนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ทุกหน้าที่ในประเด็นนี้ สาธารณรัฐอิสลามจะปฏิบัติด้วยอำนาจ ความเข้มแข็ง และความเด็ดขาด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราจะไม่ล่าช้าหรือล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่นี้ และจะไม่รีบร้อน และสิ่งที่เหมาะสม มีตรรกะ และถูกต้องตามความเห็นของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจทางการทหารและการเมือง จะดำเนินการให้ทันเวลา ดั่งที่ภารกิจนี้ได้กระทำสำเร็จและจะดำเนินการต่อไปหากว่ามีความจำเป็น”
คำเทศนาธรรมที่สองในนมาซวันศุกร์ ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวเป็นภาษาอาหรับกับประชาชาติมุสลิมทั้งหมดทั่วโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชาติเลบานอนและชาวปาเลสไตน์ อันเป็นที่รัก โดยท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้านั้นมีความจำเป็นที่ต้องแสดงความเคารพต่อน้องชายของข้าพเจ้า ผู้เป็นที่รักและเป็นความภาคภูมิใจของข้าพเจ้า ผู้เป็นภาพลักษณ์อันเป็นที่รักยิ่งของโลกอิสลามและเป็นภาษาพูดของประชาชาติในภูมิภาค อีกทั้งเป็นอัญมณีที่เปล่งประกายแห่งเลบานอน ท่านซัยยิด ฮะซัน นัศรุลลอฮ์ ขอพระเจ้าทรงพึงพอพระทัยต่อเขา ในนมาซวันศุกร์ ณ กรุงเตหะราน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้เห็นว่า เราทุกคนรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในการเป็นชะฮีดของซัยยิด ผู้เป็นที่รักยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า การไว้ทุกข์ ไว้อาลัยของเรา ไม่ได้หมายถึง ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความสิ้นหวัง แต่เป็นการไว้ทุกข์ ไว้อาลัย ที่ได้รับมาจากการไว้ทุกข์ให้กับซัยยิดุชชุฮะดา ฮุเซน บิน อะลี ขอสันติสุขพึงมีแก่เขาทั้งสอง ซึ่งหมายถึง การชุบชีวิตและเป็นบทเรียน อีกทั้งเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจและมีความหวัง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บุคลิกที่แท้จริงของชะฮีด นัศรุลลอฮ์ จิตวิญญาณ แนวทาง และเสียงอันทรงพลังของเขา คือ สิ่งที่ยั่งยืน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เขาเป็นผู้ชูธงอันสูงส่งในการต่อสู้กับปีศาจ ผู้กดขี่และนักล่าอาณานิคม เขาเป็นภาษาพูดที่มีคารมคมคายและเป็นผู้พิทักษ์ ผู้กล้าหาญของบรรดาผู้ถูกกดขี่ และเป็นแหล่งกำลังใจและความกล้าหาญสำหรับนักต่อสู้และผู้แสวงหาสัจธรรม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ความเป็นที่รักและอิทธิพลของเขานั้นไปไกลยิ่งกว่าเลบานอน อิหร่าน และประเทศชาติอาหรับ และบัดนี้ การเป็นชะฮีดของเขาจะเพิ่มอิทธิพลนี้อย่างมากขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สาส์นแห่งคำพูดและการกระทำที่สำคัญที่สุดของชะฮีด นัศรุลลอฮ์ ในช่วงชีวิตของเขาสำหรับประชาชาติเลบานอน คือ การหลีกเลี่ยงจากความสิ้นหวังและความกังวลใจ อันเนื่องจากการสูญเสียบุคคลสำคัญ เช่น อิมามมูซา ศ็อดร์ และซัยยิด อับบาส มูซาวี โดยท่านกล่าวว่า “สาส์นของชะฮีด นัศรุลลอฮ์ คือ พวกท่านอย่าได้ลังเลในการเส้นทางแห่งการต่อสู้ จงเพิ่มความพยายามและความแข็งแกร่งของพวกท่าน จงเพิ่มความสามัคคีของพวกท่านให้เป็นสองเท่า จงต่อสู้เหล่าผู้รุกรานและศัตรู ผู้รุกราน ด้วยการเสริมสร้างความศรัทธาและการมอบหมายการงานต่อพระเจ้า (ตะวักกุล) และจงได้รับชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น และนี่คือ สิ่งที่ซัยยิด ชะฮีดของเรา ต้องการจากประชาชาติของเขา จากแนวรบของขบวนการต่อสู้ และจากประชาชาติอิสลามทั้งหมด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การไร้ความสามารถของศัตรูที่ชั่วร้ายไม่สามารถทำร้ายองค์กรที่จัดตั้งขึ้นอย่างฮิซบุลลอฮ์หรือฮามาส และญิฮาดอิสลามี และองค์กรมุญาฮิดอื่นๆ ในแนวทางของอัลลอฮ์ เป็นเหตุผลสำหรับการกระทำของพวกเขาในการลอบสังหาร การทำลาย การวางระเบิด และการสังหารพลเรือน และการสร้างความเสียใจแก่เหล่าผู้ที่ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ศัตรู ถือว่า การกระทำเหล่านี้เป็นสัญญาณแห่งชัยชนะของเขา แต่ผลลัพท์ของพฤติกรรมนี้ ทำให้เกิดความโกรธแค้นและเพิ่มแรงจูงใจของประชาชนมากขึ้น อีกทั้งการสังหารบุรุษ แกนนำ และการสังหารผู้คนมากขึ้นและการปิดล้อมของสุนัขป่าที่กระหายเลือดยิ่งคับแคบลง และในที่สุด การขจัดการดำรงอยู่อันน่าอับอายของเขา ให้พ้นไปจากฉากของหน้าประวัติศาสตร์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึง 30 ปีแห่งการต่อสู้ การบริหารจัดการด้วยความอดทน และมีตรรกะของชะฮีด นัศรุลลอฮ์ และการส่งเสริมฮิซบุลลอฮ์ในทีละขั้นตอน ซึ่งได้ผลักดันระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ให้ถอยหลังกลับไปหลายครั้ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ฮิซบุลลอฮ์ เป็นต้นไม้แห่งความดีงามอย่างแท้จริง ฮิซบุลลอฮ์ และผู้นำที่กล้าหาญและเป็นชะฮีด นี่คือ แก่นแท้ของคุณธรรมทางประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของเลบานอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความคุ้นเคยของชาวอิหร่านกับเลบานอนและสิทธิพิเศษต่างๆ และประโยชน์ของอิหร่านจากเกียรติและความรู้ของบุคคลต่างๆที่สำคัญทางศาสนาและความรู้ของชาวเลบานอน ผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาลซาร์บาดาร และซาฟาวิด โดยท่านกล่าวว่า “การชำระหนี้ให้ชาวเลบานอนที่ได้รับบาดเจ็บและนองเลือด ถือเป็นหน้าที่ของเรา และเป็นหน้าที่ของบรรดามุสลิมทั้งหมดทุกคน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำว่า “ฮิซบุลลอฮ์และซัยยิด ชะฮีด ด้วยการปกป้องฉนวนกาซ่าและการทำญิฮาดสำหรับมัสยิดอัลอักซอ และการโจมตีระบอบรัฐเถื่อน ผู้ยึดครองและฉ้อฉล ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางในการรับใช้ที่สำคัญแก่ภูมิภาคและโลกอิสลามทั้งหมด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การพึ่งพายังอเมริกาและเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิด ในการรักษาความมั่นคงของระบอบรัฐเถื่อน ผู้ยึดครอง เพื่อปกปิดนโยบายที่หายนะในการเปลี่ยนระบอบรัฐเถื่อนให้เป็นเครื่องมือในการยึดครองทรัพยากรทั้งหมดของภูมิภาคและการใช้ทรัพยากรดังกล่าวในการสร้างความขัดแย้งที่ใหญ่หลวงของโลก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นโยบายของพวกเหล่านี้ คือ การเปลี่ยนระบอบรัฐเถื่อนให้เป็นประตูสำหรับการส่งออกพลังงานจากภูมิภาคสู่โลกตะวันตกและการนำเข้าสินค้าและเทคโนโลยีจากตะวันตกสู่ภูมิภาคและนั่นหมายถึง หลักประกันการดำรงอยู่ของระบอบรัฐเถื่อน ผู้ยึดครองและการพึ่งพาทั้งหมดของภูมิภาคยังพวกเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้เห็นว่า พฤติกรรมที่โหดร้ายและโหดเหี้ยมของระบอบไซออนิสต์ต่อบรรดานักต่อสู้นั้น เกิดจากความโลภในสถานการณ์เช่นนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ข้อเท็จจริงนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า การโจมตีใดๆ ต่อระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ผู้ยึดครอง จากผู้ใดก็ตามและกลุ่มใดๆ ถือเป็นการรับใช้แก่ภูมิภาคทั้งหมดและแก่มนุษยชาติอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความฝันของพวกไซออนิสต์และอเมริกา ที่จะเป็นหลักประกันการดำรงอยู่ของระบอบรัฐเถื่อน เป็นจินตนาการที่ผิดพลาดและเป็นไปไม่ได้ โดยท่านกล่าวว่า “ระบอบรัฐเถื่อนที่ก่อขึ้นนี้ เป็นตัวอย่างของต้นไม้ที่ชั่วร้ายที่ไร้รากฐานและไม่มั่นคง ตามคำกล่าวของอัลกุรอาน และสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยความยากลำบาก โดยการอัดฉีดจากการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น สิ่งนี้ก็เช่นกัน ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า จะอยู่ได้ไม่นานนัก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลที่ชัดเจนสำหรับความไม่มั่นคงของระบอบไซออนิสต์ คือ การไม่สามารถจัดการกับบรรรดามุญาฮิดที่ถูกปิดล้อมได้ โดยท่านกล่าวว่า “บัดนี้ เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว ที่ศัตรูใช้จ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในฉนวนกาซ่าและเลบานอน และด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลชาติตะวันตกอื่นๆ อีกหลายประเทศในการเผชิญหน้ากับกลุ่มนักรบและมุญาฮิดในแนวทางของอัลลอฮ์ซึ่งถูกปิดล้อมและห้ามไม่ให้ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก พบกับความล้มเหลว และศิลปะอย่างเดียวของพวกเขา คือ การทิ้งระเบิดเข้าใส่บ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และศูนย์ประชากรที่ไม่มีอาวุธ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ขบวนการอาชญากรไซออนิสต์ค่อยๆ ได้ข้อสรุปว่า พวกเขาจะไม่มีวันได้รับชัยชนะเหนือกลุ่มฮามาสและฮิซบุลลอฮ์ ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงประชาชน นักต่อสู้ชาวเลบานอนและปาเลสไตน์ บรรดานักต่อสู้ที่กล้าหาญ ประชาชนที่มีความอดทนและรู้จักคุณค่า โดยท่านกล่าวว่า “การเป็นชะฮีดของบุคคลเหล่านี้ เลือดที่ไหลลงบนพื้นดิน ไม่ได้ทำให้การต่อสู้ของพวกท่านนั้นลดน้อยลง แต่ทว่า ได้ทำให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการเป็นชะฮีดของบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงและเสาหลักของการปฏิวัติอิสลาม เป็นจำนวนมาก ในช่วงฤดูร้อนปี 1360 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “การสูญเสียผู้เป็นที่รักเหล่านี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่การปฏิวัติอิสลามก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ไม่ถอยหลัง แต่ทว่า มีการรีบเร่ง ซึ่งในปัจจุบันนี้ การต่อสู้ในภูมิภาคด้วยการเป็นชะฮีด จะไม่มีการถอยหลัง และจะได้รับชัยชนะอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้เห็นว่า การต่อสู้ในฉนวนกาซ่า ทำให้โลกมีอาการตาพร่ามัว และมีการให้เกียรติแก่อิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในฉนวนกาซ่า อิสลามได้เผชิญหน้ากับความชั่วร้ายและความสกปรกทั้งหมด และไม่มีอิสรชนใดที่จะไม่สรรเสริญในการต่อสู้นี้และจะไม่สาปแช่งศัตรูที่โหดร้ายที่กระหายเลือด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พายุแห่งอัลอักซอและการต่อสู้ในฉนวนกาซ่าและเลบานอน ในหนึ่งปี เป็นสาเหตุระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์กลับมาโดยคำนึงถึงการรักษาการดำรงอยู่ของตนไว้ โดยท่านกล่าวว่า “นี่คือ หมายความของคำว่า การต่อสู้ของบรรดาบุรุษ นักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์และชาวเลบานอน ที่มีความสามารถทำให้ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ต้องถอยหลังกลับไปถึง 70 ปีที่ผ่านมา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ปัจจัยหลักของสงคราม ความไม่มั่นคง และความล้าหลังในภูมิภาคนี้ เกิดจากการมีอยู่ของระบอบรัฐเถื่อนไซออนนิสต์ และการมีอยู่ของรัฐบาลที่อ้างว่าแสวงหาสันติภาพและความสงบสุข โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ปัญหาหลักของภูมิภาคนี้ คือ การแทรกแซงของพวกต่างชาติ รัฐบาลของภูมิภาคนี้ สามารถสร้างสันติภาพและความปลอดภัยในภูมิภาคนี้ได้ และเพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่และการรอดพ้นนี้ ความพยายามและการต่อสู้ของประชาชาติและรัฐบาลต่างๆจึงมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง”
ในช่วงท้ายของการกล่าวคำเทศนาธรรมในนมาซวันศุกร์ ด้วยความรุ่งโรจน์แห่งชัยชนะโดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นให้เห็นว่า บนเส้นทางนี้ พระเจ้าทรงสถิตกับผู้ร่วมเดินทาง โดยกล่าวสลามแด่บรรดานักต่อสู้ในแนวทางของพระองค์ว่า ขอสลามจากพระองค์พึงมีแด่ผู้นำ ชะฮีด นัศรุลลอฮ์ แด่วีรบุรุษ ชะฮีด ฮะนีเยห์ และแด่ผู้บัญชาการผู้สร้างความภาคภูมิใจ ชะฮีด นายพล กอเซ็ม สุไลมานี
ในช่วงท้ายของพิธีนี้ มีการนมาซวันศุกร์และนมาซอัศริ โดยการนำของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม