บรรดาทหารผ่านศึกและนักเคลื่อนไหวหลายพันคน ในยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และขบวนการต่อสู้ เข้าพบปะท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำกล่าวอธิบายและชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่ทำให้เกิดสงครามในภาคบังคับ ด้วยปัจจัยทั้งสองประการ คือ วาทกรรมใหม่ และพลังดึงดูดต่างๆของสาธารณรัฐอิสลามในการเผชิญหน้ากับการจัดระเบียบที่ทุจริตและเป็นโมฆะในการครอบครองโลก โดยท่านกล่าวว่า “การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ นอกเหนือจากการปกป้องอันทรงคุณค่าของบ้านเกิดเมืองนอนแล้ว การปกป้องศาสนาและการต่อสู้(ญิฮาด)ในแนวทางของพระเจ้า ซึ่งได้รักษาอิสลามให้มีชีวิตอยู่ ทำให้ประชาชาติอิหร่านมีเกียรติ และมีการส่งเสริมทางจิตวิญญาณในประเทศอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันของภูมิภาคและการก่ออาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในฉนวนกาซ่าและเลบานอน โดยท่านถือว่า การต่อสู้และการยืนหยัดของกองกำลังต่อสู้ในปาเลสไตน์และฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน เป็นรูปแบบของการต่อสู้(ญิฮาด)ในยุคสมัยแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านเน้นย้ำว่า “แม้ว่าจะมีเหตุการณ์อันขมขื่นและอาชญากรรมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ยึดครองในฉนวนกาซ่า เวสต์แบงก์และเลบานอน จนถึงบัดนี้ ชัยชนะนั้นอยู่ข้างฝ่ายนักต่อสู้ในแนวทางของพระเจ้า และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ชัยชนะสุดท้ายของสนามนี้ จะเป็นของแนวรบในการต่อสู้และฮิซบุลเลาะห์”
ในการพบปะกันครั้งนี้กับท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ซึ่งถูกจัดขึ้นเนื่องในวโรกาสสัปดาห์แห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านผู้นำกล่าวอธิบายถึงเหตุผลของการเกิดสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 8 ปี เป็นอันดับแรก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ผู้รับฟังคำพูดเหล่านี้ คือ ทุกๆคน โดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาว ด้วยการอธิบายถึงเหตุผลของการเริ่มต้นสงครามกับประชาชาติอิหร่านในปี 1359 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยท่านกล่าวว่า “แรงจูงใจในการโจมตีไปยังเขตชายแดนอิหร่าน ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับซัดดัมและพรรคบาธ แต่สำหรับผู้นำในการจัดระเบียบโลกในวันนั้น หมายถึง สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และเหล่าผู้ติดตามของพวกเหล่านี้ต่างก็มีแรงจูงใจมากมายในการโจมตีดังกล่าวด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลที่เหล่ามหาอำนาจเป็นศัตรูกับการปฏิวัติอิสลามของประชาชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของอิหร่าน เป็นความคิดใหม่ที่ไม่อาจทนทานและเป็นสาส์นของการปฏิวัติอิสลามสำหรับพวกเขา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เหตุผลที่พวกเขาเป็นศัตรู ก็คือ การปฏิวัติอิสลาม เป็นเสียงตะโกนร้องที่ชัดเจนต่อการต่อต้านการจัดระเบียบที่เป็นโมฆะและการทำลายล้างการครอบครองโลกและระบบการครอบงำ หมายถึง การถูกแบ่งแยกของโลกอยู่ภายใต้การครอบงำและการยอมรับการครอบงำและการครอบครองทางด้านวัฒนธรรมและความคิดเห็นของเหล่าผู้มีครอบงำเหนือประเทศอื่นๆ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า เหล่าผู้ครอบงำ ไม่สามารถอดทนต่อคำพูดใหม่ที่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจและมีการพัฒนาสำหรับประชาชาติทั้งหลาย โดยท่านผู้นำตั้งข้อสังเกตว่า “พวกเขากำลังรอคอยโอกาสที่จะโจมตีอิหร่าน และซัดดัม ผู้ทะเยอทะยาน ผู้ละโมบ อวดดี เป็นคนฉ้อฉลและคนบ้าบิ่น ได้ให้โอกาสแก่เหล่ามหาอำนาจ และด้วยการยุยงให้พวกเหล่านั้นทำการโจมตีอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงการเปิดเผยของบางคนในประเทศบนพื้นฐานที่ว่า สาธารณรัฐอิสลามได้กระทำความชั่วร้ายและโกรธเคืองกับผู้คนทั้งโลก โดยท่านกล่าวว่า “ถ้าหากวัตถุประสงค์ของพวกเขา คือ การตัดขาดความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจกับโลก นั่นก็ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงอย่างชัดเจน เพราะว่า ปัจจุบันนี้ เรานั้นมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่างๆในการสื่อสาร ซึ่งครึ่งหนึ่งของประชากรโลกอาศัยอยู่ในประเทศเหล่านี้ แต่ถ้าหากวัตถุประสงค์คือ ความโกรธเคือง เป็นการต่อต้านการจัดระเบียบการเมืองของระบอบการครอบงำ คำพูดนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องและเราดังเช่น ในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม เราได้ต่อต้านกับระบอบการครอบงำอย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันนี้ คือ พวกตะวันตก ซึ่งมีอเมริกาเป็นแกนนำของพวกเหล่านี้และเป็นการประกาศการต่อต้านนี้อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า “ปัจจุบันนี้ ด้วยเกียรติของการยืนหยัดและการเข้าร่วมของประชาชาติอิหร่านในเวทีด้านต่างๆ ทำให้ไม่มีความกล้าที่จะโจมตีเขตแดนของอิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันนี้ พวกเขามีส่วนร่วมในการรังแกและความดื้อรั้นในรูปแบบต่างๆ และจะต้องเข้าใจจากแก่นหลักว่า สาเหตุของการเป็นปฏิปักษ์นั้นไม่มีข้อแก้ตัว เช่น พลังงานนิวเคลียร์และสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรี แต่ทว่า มีการต่อต้านวาทกรรมใหม่ของสาธารณรัฐอิสลามเพื่อต่อต้านการจัดระเบียบโลกที่ทุจริตและการคัดค้านเหล่านี้จะต้องถูกขจัดออกไป จนกว่าประชาชนและรัฐอิสลามจะยอมรับคำพูดที่ฉ้อฉลนี้ ซึ่งแน่นอนว่า เราจะไม่ยอมรับคำพูดดังกล่าวเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า นอกเหนือจากพลังดึงดูดทางการเมืองของรัฐอิสลาม ซึ่งหมายถึง การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับระบอบโลกที่ผิดพลาด พลังดึงดูดทางจิตวิญญาณของมัน หมายถึง ความศรัทธาต่อพระเจ้า มีประสิทธิผลในการดึงดูดประชาชาติและเยาวชนของประเทศต่างๆ ในโลก และการสร้างความหวาดกลัวต่อเหล่าผู้ครอบงำและในส่วนที่สองของการปราศรัย กล่าวคือ การรายงานที่เกี่ยวกับสงคราม โดยท่านกล่าวว่า “รายงานที่เกี่ยวกับสงคราม เป็นรายงานในเชิงพรรณนา กล่าวคือ การอธิบายถึงสภาพกองทัพของศัตรู รวมทั้งยุทโธปกรณ์และการจัดระเบียบที่สมบูรณ์ การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ สหภาพโซเวียต และยุโรปต่อซัดดัม การส่งข้อมูลภาคสนามโดยสหรัฐอเมริกา และการสนับสนุนทางการเงินโดยรัฐบาลเพื่อนบ้านบางประเทศ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้เห็นถึงสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยในประเทศของเราในแง่ของอาวุธยุทโธปกรณ์และองค์กรการต่อสู้ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม โดยท่านผู้นำตั้งข้อสังเกตว่า “ตามการคาดการณ์และกฎเกณฑ์ทั่วไปและทางวัตถุ ฝ่ายผู้รุกรานจะต้องไปถึงเตหะรานภายในหนึ่งถึงหลายสัปดาห์ แต่ทว่าหนึ่งปีผ่านไป ด้วยการพิชิตอันยอดเยี่ยมของกองกำลังของเรา ซึ่งมีกำลังน้อยในช่วงเริ่มต้นของสงคราม ได้โจมตีกองทัพที่มีอุปกรณ์ครบครันของซัดดัมอย่างหนัก และหลังจากที่ผ่านไปแปดปี พวกเหล่านี้ก็ถูกขับไล่ออกจากชายแดนของประเทศ ซึ่งปัจจัยหลักของชัยชนะครั้งนี้ คือ ความศรัทธาและการต่อสู้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รายงานที่เกี่ยวกับสงครามอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งสำคัญกว่ารายงานในเชิงพรรณนา คือ การรายงานที่อธิบายถึงสงคราม โดยท่านเน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้ข้อมูลแก่เยาวชนคนหนุ่มสาว ทราบเกี่ยวกับรายงานสงครามทั้งสองประเภท โดยท่านกล่าวว่า “บนพื้นฐานของรายงานนี้ สงครามไม่เพียงแต่เพื่อการปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนเท่านั้น แต่การปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนก็มีคุณค่า แต่ประเด็นเรื่องสงครามยังสูงกว่าคุณค่านี้ กล่าวคือ การปกป้องอิสลามและการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอัลกุรอาน ซึ่งในวรรณคดีของอิสลาม เรียกว่า การต่อสู้(ญิฮาด)ในแนวทางของพระเจ้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้เห็นว่า การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้การปฏิวัติอิสลามและอิสลามยังมีชีวิตอยู่ และด้วยเกียรติของประชาชาติอิหร่าน คือ การส่งเสริมทางจิตวิญญาณในประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยพื้นฐานนี้ ฝ่ายแนวรบทั้งหมด จึงกลายเป็นสถานที่แห่งการสักการะ การขอพร การตะวัซซุล การร้องไห้ในยามค่ำคืนและการรับใช้อย่างที่กระดากอาย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ถึงแม้ว่า จะมีความยากลำบากอย่างมากมายที่ประชาชาติอิหร่านต้องทนทุกข์ทรมานในสงครามแปดปี พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่ง ทรงประทานเกียรติยศ การช่วยเหลือ และชัยชนะของพระองค์ให้กับประชาชาตินี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์ในปัจจุบันของปาเลสไตน์และเลบานอน เป็นเหตุการณ์ในยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นอีกตัวอย่างของการญิฮาดในแนวทางของพระเจ้า โดยท่านกล่าวว่า “ประเทศอิสลามประเทศหนึ่ง คือ ปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองโดยมือของเหล่าผู้ปฏิเสธที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกนี้ และคำตัดสินที่เด็ดขาดและหลักศาสนบัญญัติ ก็คือ ทุกคนควรพยายามยึดคืนปาเลสไตน์และมัสยิดอัลอักซอให้กับเจ้าของพื้นที่เดิมของพวกเขา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “กลุ่มฮิซบุลเลาะห์ของเลบานอนที่ปกป้องฉนวนกาซ่าและเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันขมขื่น กำลังทำการต่อสู้(ญิฮาด)ในแนวทางของพระเจ้าทั้งสิ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันอีกประการหนึ่งของการต่อสู้ครั้งนี้กับสงครามในช่วงแปดปี โดยท่านกล่าวว่า “ในการสู้รบครั้งนี้ ศัตรู ผู้ปฏิเสธและชั่วร้ายมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุด และอเมริกาอยู่ข้างหลังเขาด้วยเช่นกัน ขณะที่พวกอเมริกาอ้างว่า พวกเขาไม่ตระหนักถึงการกระทำดังกล่าวของรัฐเถื่อนไซออนิสต์และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้อง ถือว่า คำพูดนี้ไม่ตรงกับความเป็นจริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ศัตรูไซออนิสต์ มีทั้งเงิน อาวุธ และการโฆษณาชวนเชื่อระดับโลก โดยท่านกล่าวว่า “อาวุธยุทโธปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกของฝ่ายผู้ศรัทธาและฝ่ายนักต่อสู้นั้นมีน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างมาก แต่ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ คือ ฝ่ายนักต่อสู้ในแนวทางของพระเจ้า หมายถึง ขบวนการต่อสู้ปาเลสไตน์และฮิซบุลเลาะห์เลบานอน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เหตุผลของชัยชนะของแนวรบต่อสู้ คือ การกระทำในการก่ออาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในการสังหารหมู่ผู้หญิงและเด็กผู้บริสุทธิ์ และการทิ้งระเบิดในโรงเรียนและโรงพยาบาล โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากระบอบไซออนิสต์สามารถเอาชนะกองกำลังต่อสู้ได้ ไม่ว่าในฉนวนกาซ่า เวสต์แบงก์ และเลบานอน ก็ไม่จำเป็นต้องก่ออาชญากรรมในรูปแบบนี้ เพื่อแสร้งทำเป็นเอาชนะและเหนือกว่าหรอก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นกับกองกำลังต่อสู้และการเป็นชะฮีดของสมาชิกฮิซบุลเลาะห์เลบานอนที่มีประสิทธิภาพและมีคุณค่านั้น เป็นความสูญเสียสำหรับกลุ่มผู้กล้าหาญนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “กรณีเหล่านี้ ไม่ใช่การสูญเสียที่จะทำให้กลุ่มฮิซบุลเลาะห์ตกต่ำลง เนื่องจากความแข็งแกร่งขององค์กรและการทหาร ของฮิซบุลเลาะห์และการมีอำนาจนั้นสูงกว่านี้อย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำว่า “แนวรบต่อสู้นั้นได้รับชัยชนะมาจนถึงปัจจุบันนี้ และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า ชัยชนะในครั้งสุดท้ายก็จะเป็นของแนวรบนี้อีกด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวในส่วนสุดท้ายของคำปราศรัยของท่าน เพื่อย้ำเตือนในประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับปัญหาภายในประเทศ โดยท่านเน้นย้ำให้เห็นว่า เหล่านักรบและนักต่อสู้ของเราเสียสละชีวิตและทำให้ครอบครัวของพวกเขาโศกเศร้า เพื่อป้องกันไม่ให้ธงของศัตรูถูกชูขึ้นที่ชายแดนของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ถึงแม้จะมีการเสียสละเหล่านี้ก็ตาม ประชาชาติอิหร่านก็ไม่ยอมรับว่าธงของอิทธิพลทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของศัตรูและการกระซิบกระซาบที่ไม่เป็นมิตรนั้น ถูกชูโดยผู้มีอิทธิพลและการหลอกลวงในประเทศและหน่วยงานต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข สื่อสารมวลชน วิทยุและโทรทัศน์ ว่า ให้ระวังการแทรกซึม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีความเฉลียวฉลาด โดยที่ไม่อนุญาตให้ศัตรูที่พ่ายแพ้ ใช้เหล่านักรบของเราที่ชายแดนเพื่อเข้ามาในประเทศได้ ด้วยกลอุบายทุกประเภทในการวางแผนการณ์สมรู้ร่วมคิดของตน”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ มี 6 คนจากตัวแทนบรรดาครอบครัวของชะฮีดและนักเคลื่อนไหวในด้านวัฒนธรรมการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้กล่าวเกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งการเสียสละและการเป็นชะฮีด ผลกระทบต่อพื้นที่การทำงานของพวกเขา วิธีการเผยแพร่วัฒนธรรมนี้ ตลอดจนบางประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาและความกังวลของบรรดาผู้เสียสละ
นอกจากนี้ นายพล บะห์มัน กอรกัร ประธานมูลนิธิเพื่อการอนุรักษ์และการเผยแพร่คุณค่าแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆของมูลนิธินี้ด้วย