สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

เจ้าหน้าที่รัฐฯ ทุตานุทูตประเทศอิสลามและบรรดาแขก ผู้เข้าร่วมสัมมนาสัปดาห์เอกภาพอิสลาม

“การสร้างประชาชาติอิสลาม เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ของศาสดาแห่งอิสลาม”

บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ ทุตานุทูตประเทศอิสลามและบรรดาแขก ผู้เข้าร่วมสัมมนาสัปดาห์เอกภาพอิสลาม ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เนื่องในวโรกาสวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด อัลมุศฏอฟา (ศ็อลฯ) ศาสดาองค์สุดท้ายและอิมามศอดิก (อ.) โดยท่านผู้นำถือว่า การสร้างประชาชาติ ถือเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ของท่านศาสดา และท่านยังเน้นย้ำให้เห็นถึงบทบาทของกลุ่มปัญญาชนในการสร้างประชาชาติอิสลามและความเป็นเอกภาพของโลกอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยการจัดตั้งของประชาชาติอิสลาม ทำให้ชาวมุสลิมที่มีความแข็งแกร่งภายใน สามารถกำจัดเนื้องอก มะเร็งร้ายและความชั่วร้ายของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ออกจากปาเลสไตน์ อีกทั้งการมีอิทธิพลในการครอบงำและการแทรกแซงของอเมริกาในภูมิภาคก็ถูกขจัดด้วยเช่นกัน”

ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวแสดงความยินดีในวันครบรอบวันประสูติของท่านศาสดา มุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ.) ถือว่า  การประสูติของท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) เป็นบทนำเบื้องต้นที่นำไปสู่การสิ้นสุดของความเป็นศาสดา นั่นคือ ฉบับสุดท้ายและฉบับที่สมบูรณ์แห่งความผาสุกของมนุษยชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บรรดาศาสดา เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวของมนุษยชาติในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ชี้นำทาง และด้วยการปลุกธรรมชาติดั้งเดิมและพลังแห่งความคิดและปัญญา ทำให้มนุษย์ทุกคนมีความสามารถในการกำหนดแนวทางของตนเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วิธีการเชิญชวนบรรดาศาสดาในช่วงเวลาต่างๆ มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยท่านเน้นย้ำให้เห็นว่า ผู้นำหลักและผู้นำคนสุดท้ายของขบวนคาราวานอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือ การดำรงอยู่อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ) โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านศาสดาแห่งอิสลามได้นำบทเรียนที่สมบูรณ์ และครอบคลุมทุกด้านสำหรับการดำเนินชีวิต หนึ่งในบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านศาสดา สำหรับเราคือ การสร้างประชาชาติและการจัดตั้งของประชาชาติอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การต่อสู้ตลอดช่วง 13 ปีของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ (ศ็อลฯ) ในเมืองมักกะฮ์และความยากลำบาก  ความหิวโหย และการเสียสละในช่วงเวลานั้นและหลังจากนั้น ในสมัยฮิจเราะห์ เป็นพื้นฐานสำหรับการวางรากฐานของประชาชาติอิสลามและท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ปัจจุบันนี้ ประเทศอิสลามมีจำนวนมากมายและชาวมุสลิมมีประมาณสองพันล้านคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่สามารถเรียกกลุ่มก้อนนี้ว่า เป็นประชาชาติ เพราะว่า ประชาชาตินั้นเป็นกลุ่มก้อนนี้ที่มีความสามัคคีและมีแรงจูงใจที่ขับเคลื่อนไปยังเป้าหมาย แต่ทว่า พวกเราชาวมุสลิมในปัจจุบันนี้กลับแตกแยกกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ผลลัพท์ของการแตกแยกของชาวมุสลิม คือ การครอบงำเหล่าศัตรูของอิสลามและความรู้สึกต้องการของประเทศอิสลามบางประเทศในการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากมุสลิมไม่แตกแยกกัน สามารถที่จะได้รับการสนับสนุนและการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของกันและกัน ได้จัดตั้งเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งในบรรดามหาอำนาจทั้งหมดนั้นมีพลังที่มากกว่าและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอเมริกาอีกต่อไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดตั้งประชาชาติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “รัฐบาลอิสลามสามารถมีประสิทธิภาพในด้านนี้ แต่แรงจูงใจของพวกเขานั้นไม่เข้มแข็ง และนี่คือ หน้าที่ของปัญญาชนของโลกอิสลาม กล่าวคือ บรรดานักการเมือง นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาวิทยาลัย กลุ่มชนที่มีอิทธิพลและปัญญา บรรดากวี นักเขียน และนักวิเคราะห์ทางการเมืองและสังคม ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจนี้ให้เกิดขึ้นในรัฐบาลต่างๆ”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “หากเป็นเวลา 10ปี ที่สื่อมวลชนของโลกอิสลามเขียนบทความเกี่ยวกับความเป็นเอกภาพของอิสลาม บรรดานักกวีเขียนบทกวี อาจารย์มหาวิทยาลัยทำการวิเคราะห์ และนักวิชาการศาสนาออกคำตัดสิน สถานการณ์จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงอย่างที่ไม่ต้องสงสัย และด้วยความตื่นตัวของประชาชาติทั้งหลาย รัฐบาลต่างๆก็จะต้องขับเคลื่อนไปตามเส้นทางที่ปรารถนาต่อไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การสร้างเอกภาพและการจัดตั้งประชาชาติอิสลาม เป็นเหตุทำให้เกิดเหล่าศัตรูที่ดุร้าย และท่านผู้นำได้กล่าวถึงการเปิดเผยข้อบกพร่องภายในของประชาชาติอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อบกพร่องทางศาสนาและนิกาย ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในการเป็นปฏิปักษ์เพื่อป้องกัน การจัดตั้งของประชาชาติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เหตุผลที่ว่า ท่านอิมามผู้สูงส่งของเรา ได้เน้นย้ำถึงความเป็นเอกภาพของชีอะฮ์และซุนนี ก่อนชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งอำนาจของโลกเกิดขึ้นจากความเป็นเอกภาพนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสาส์นแห่งเอกภาพของโลกอิสลามจากอิหร่าน ซึ่งท่านชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญ โดยท่านกล่าวว่า “ถ้าเราต้องการให้สาส์นแห่งเอกภาพของเราในโลกมีความถูกต้อง เราจะต้องมีความสามัคคีในการกระทำภายในตัวของเราเอง และขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายที่แท้จริง และ ความคิดเห็นและรสนิยมที่ต่างกันไม่ควรจะมีผลกระทบต่อความร่วมมือและความสามัคคีของประชาชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงอาชญากรรมที่เปิดกว้างและไร้ยางอายที่กระทำโดยรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในฉนวนกาซ่า เขตเวสต์แบงก์ เลบานอน และซีเรีย โดยท่านกล่าวว่า “ผู้ที่อยู่ฝ่ายอาชญากรรมไม่ใช่นักรบ แต่เป็นประชาชนทุกคน และเมื่อพวกเหล่านี้ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้เกิดกับบรรดานักรบในปาเลสไตน์ พวกเขาปลดปล่อยความโกรธที่โง่เขลาและความชั่วร้ายมาสู่ศีรษะของเด็กทารก เด็กๆ และบรรดาผู้ป่วยในโรงพยาบาล

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เหตุผลของสถานการณ์ที่อัปยศ คือ สังคมอิสลามไม่สามารถใช้อำนาจภายในของตนได้ และท่านยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของประเทศอิสลามกับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์อีกครั้ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประเทศอิสลามจะต้องทำให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์อ่อนลงอย่างสิ้นเชิง ทั้งการโจมตีทางการเมืองและสื่อสารมวลชนมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พวกเขาอยู่เคียงข้างประชาชาติปาเลสไตน์”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ พณฯ ด.ร. เพเซชกียอน ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวถึงวิถีของท่านศาสดาในการสร้างความเป็นเอกภาพและภราดรภาพระหว่างมุสลิม คือวิธีการป้องกันการรุกรานและอาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ กล่าวคือ ความเป็นภราดรภาพและความสามัคคีของชาวมุสลิมทั้งหลาย โดยเขากล่าวว่า “หากชาวมุสลิมเป็นหนึ่งเดียวกัน ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์จะไม่หาญกล้าที่จะก่ออาชญากรรมในปัจจุบันนี้และการสังหารหมู่สตรีและเด็กๆทั้งหลาย

ท่านประธานาธิบดี ถือว่า ยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประสิทธิผลของความเป็นเอกภาพและความสามัคคีร่วมกัน และเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ประชาชาติอิหร่านได้ยืนหยัดด้วยความเป็นเอกภาพภายในเพื่อต่อต้านศัตรู พวกบาธ ผู้รุกราน ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยมหาอำนาจทั้งหมดของโลกและไม่ยอมให้องค์ประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดของแผ่นดินของประเทศถูกยึดครองไป”

 

700 /