สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประธานสามสภาฯ เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ นักเคลื่อนไหวภาคสังคมการเมือง และวัฒนธรรม

“วันอัลกุดส์สากลปีนี้จะกลายเป็นเสียงโห่ร้องจากนานาชาติเพื่อต่อต้านระบอบรัฐเถื่อน

บรรดาผู้นำทั้งสามสภาฯ และกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐฯ ข้าราชการ นักเคลื่อนไหวภาคสังคม การเมือง และวัฒนธรรม เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำ ถือว่า ศักยภาพทางธรรมชาติและของมนุษย์ในประเทศ มีความเหมาะสมต่อการบรรลุความคาดหวังของประชาชนและท่านยังเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการเชิญชวนให้มีการจัดตั้งกลุ่มนักคิดชั้นสูง เพื่อที่จะกำหนดแนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคนในการบรรลุคำขวัญประจำปี โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความพยายามอย่างทุกวิถีทาง เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและความเจริญก้าวหน้าของประเทศ คือ การทำงานสำหรับพระผู้เป็นเจ้า”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวทั้งสองครั้งของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ อาชญากร ใน พายุอัลอักซอและการบรรลุเป้าหมายของการโจมตีฉนวนกาซ่า  โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ ด้วยความโดดเด่นของประชาชาติอิหร่านและการเข้าร่วมของประชาชาติมุสลิมและเหล่าเสรีชนทั้งหลาย วันอัลกุดส์สากลปีนี้ จะกลายเป็นเสียงโห่ร้องจากนานาชาติ เพื่อต่อต้านระบอบรัฐเถื่อนที่ยึดครอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เดือนรอมฎอน เป็นเดือนที่มีความจำเริญอย่างยิ่ง ในความหมายที่แท้จริงและครอบคลุม ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณและภายในของมนุษย์มีการพัฒนาโดยผ่านแง่มุมและวิธีการต่างๆ เช่น การถือศีลอด การอ่านอัลกุรอาน การวิงวอนและค่ำคืนอัลก็อดร์ และผลลัพท์ที่ตามมาก็คือ การยกระดับสังคมให้ดียิ่งขึ้น

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เดือนรอมฎอน เป็นเดือนทางสังคมทั้งในแง่ของการทำความดี และการช่วยเหลือผู้อื่น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เดือนรอมฎอน เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดกับจิตวิญญาณของมนุษย์ ในช่วงหนึ่งปี อันเนื่องมาจากบาปต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า การซ่อมแซมนี้ เป็นไปได้ ที่จะเกิดจากการขออภัยโทษ และการกลับตัวกลับใจ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกลับตัวกลับใจ มีความหมายทั้งส่วนบุคคลและทางสังคม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความหมายที่แท้จริงของการกลับตัวกลับใจ คือ การย้อนกลับจากการกระทำบาปและความผิดพลาด และการแก้ไขและผลที่จะตามมา ดังนั้น บุคคลใดก็ตามไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น การเพิกเฉย ความเกียจคร้าน หรือการไม่ให้ความใส่ใจ ก่อให้เกิดการกระทำบาป บาดแผล หรือปัญหาใดๆ ทางด้านสังคม การเมือง วัฒนธรรม หรือด้านอื่นๆ จะต้องชดเชยและซ่อมแซมบาดแผลนั้น ด้วยการขออภัยโทษและการกลับตัวกลับใจ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การคำนึงถึงผลของความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายมีมากกว่าประชาชนทั่วไป โดยท่านเน้นย้ำว่า “หากเกิดปัญหาและความผิดพลาดขึ้นในประเทศและในสังคม เนื่องจากพฤติกรรม คำพูด การตัดสินใจ และการแสดงจุดยืนบรรดาเจ้าหน้าที่ของเรา เราจะต้องตระหนักถึงความผิดพลาดและยอมรับความรับผิดชอบและชดเชยผลกระทบและผลที่จะตามมา”

ในส่วนหลักของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสามได้กล่าวถึงประเด็นคำขวัญแห่งปี โดยชี้ให้เห็นถึงคำกล่าวที่ดีของประธานาธิบดี ในช่วงเริ่มต้นการพบปะกันครั้งนี้ และความพยายามของรัฐบาลที่เข้มข้นพอสมควรในการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่า ยังมีความคาดหวังอีกมากกว่า และเราจะต้องพยายามทำงานให้หนักยิ่งขึ้น เพื่อแก้ไขปมต่างๆ ซึ่งรัฐบาลนี้นั้นมีความสามารถที่จะกระทำได้ หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจที่ขมขื่นและหอมหวานของประเทศโดยท่านกล่าวเสริมว่า “ราคาสินค้าที่สูงขึ้น ความไม่มีเสถียรภาพของตลาด การอ่อนค่าของสกุลเงินแห่งชาติ และการเกิดช่องว่างทางชนชั้น ถือเป็นข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจที่ขมขื่นอย่างยิ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ในทางกลับกัน ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอย่างมากมาย เช่น โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การเปิดบริการบริษัทนายหน้าที่ปิดไปบางส่วนหรือปิดทำการเป็นจำนวนมาก การขับเคลื่อนของกลุ่มเยาวชนหลายพันกลุ่ม ด้วยแรงบันดาลใจ และการมีความหวังในบริษัทฐานความรู้ และการจัดตั้งบริษัทนายหน้าในภาคส่วนเอกชน ที่มีความสามารถและมีประสิทธิภาพและเป็นของภาคประชาชนอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การกล่าวถึงความคาดหวังจากบรรดาเจ้าหน้าที่ เป็นสิ่งที่สำคัญและเหมาะสมกับ  ประชาชน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชนต่างคาดหวังว่า การทำงานและความพยายามของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย จะส่งผลที่สามารถจับต้องได้ต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขา และพวกเขา จะต้องขับเคลื่อนและมีความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุความคาดหวังนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความคาดหวังของประชาชนในการปรับปรุงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเนื่องจากการมีขีดความสามารถพิเศษของประเทศ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “มีทรัพยากรทางธรรมชาติประมาณ 7% ของโลก พร้อมด้วยแร่ธาตุสำคัญ 64 ชนิด ในขณะที่อิหร่านนั้นมีประมาณ 1% ของประชากรโลก แต่ทว่ามีศักยภาพ ขีดความสามารถ และโอกาสที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง”

การครอบครองพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 37 ล้านเฮกตาร์ ความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการน้ำเพื่อใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากศักยภาพนี้ทางการเกษตรที่สำคัญอย่างมาก และการมีส่วนร่วมของอิหร่าน อยู่ในอันดับต้นๆ ของการผลิตผลิตภัณฑ์ระดับโลก เช่น เหล็กและซีเมนต์ ถือเป็นขีดความสามารถทางธรรมชาติอื่นๆ ของ อิหร่านที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติได้กล่าวถึง

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ศักยภาพของมนุษย์สำคัญมากกว่าศักยภาพทางธรรมชาติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติอิหร่าน มีความศักยภาพและความฉลาดหลักแหลม เหนือค่าเฉลี่ยของโลก มีเยาวชนคนหนุ่มสาว 36 ล้านคน ผู้ที่ได้รับการศึกษาระดับสูง 14 ล้านคน นักศึกษา 3 ล้านคน เจ้าหน้าที่วิชาการมากกว่า 100,000 คน และแพทย์มากกว่า 150,000 คน จากในบรรดาศักยภาพของมนุษย์ที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใดของอิหร่าน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงจุดสำคัญทางภูมิศาสตร์และความหลากหลายทางภูมิอากาศที่สูงขึ้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ขีดความสามารถทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าสามารถที่จะบรรลุความคาดหวังทางเศรษฐกิจของประชาชนและของผู้นำสูงสุดได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการอธิบายถึงอุปสรรคทั้งภายในและภายนอกต่อการปรับปรุงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยท่านกล่าวว่า “ภัยคุกคาม การคว่ำบาตร และการหยุดชะงักอย่างต่อเนื่องในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นของอิหร่าน ถือเป็นอุปสรรคภายนอกที่สำคัญที่สุด และแน่นอนว่า อุปสรรคเหล่านี้สามารถที่จะทำให้น้อยลงและมีประสิทธิภาพที่น้อยลง นอกจากนี้ ตามคำกล่าวของเหล่าผู้ประกอบการที่โดดเด่น สามารถที่จะทำให้การคว่ำบาตรต่างๆนั้น กลายเป็นการสร้างโอกาสได้อีกด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “การทำงานน้อย ความไม่รอบคอบ การขาดแรงจูงใจ การพยายามเพื่อได้รับความนิยม และการคิดถึงตำแหน่งที่สูงขึ้น ถือเป็นอุปสรรคภายในที่ขัดขวางการใช้ศักยภาพและโอกาสอันกว้างใหญ่ของประเทศอย่างเหมาะสม”

ในอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านถือว่า การทำงานเพื่อประชาชน การมีสวัสดิการของประชาชนและความพยายามในความก้าวหน้าของประเทศ เป็นการทำงานเพื่อพระผู้เป็นเจ้า พร้อมทั้งท่านยังเน้นย้ำอีกว่า “ความพยายามที่จะแก้ไขปมออกจากการทำงานของประชาชน หมายถึง การมีเจตนาแห่งพระเจ้า และพระองค์จะทรงประทานผลรางวัลจากความพยายามนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอธิบายถึงสิ่งที่ควรกระทำและไม่ควรกระทำในการบรรลุคำขวัญประจำปี “ปีแห่งการพุ่งทะยานทางผลิตภัณฑ์ และความร่วมมือจากประชาชน”  โดยท่านชี้ให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของรัฐบาลและระบอบการปกครอง  และเน้นย้ำถึงการลดการมีส่วนร่วมเหล่านี้ พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “การนำเอาความสามารถทางการเงิน สติปัญญา และนวัตกรรมของประชาชนเข้าสู่สนาม จะมีประโยชน์ต่อประเทศอย่างมากมาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความคิดของคนบางกลุ่ม ในกรณีการปิดมือของรัฐบาล ขณะที่ประชาชนเข้ามาสู่เวทีทางด้านเศรษฐกิจและรับช่วงในการบริหารจัดการ เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชนและรัฐบาล ต่างมีภาระหน้าที่ ซึ่งจะต้องมีการแยกแยะระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ต่างๆเหล่านี้ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ในประเด็นของการบริหารจัดการ เช่น การจัดเตรียมที่ดิน การควบคุมดูแลและการป้องกันการละเมิดต่างๆ ขณะที่ ประชาชนก็มีหน้าที่ทางการปฏิบัติอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีส่วนร่วมและการแสดงบทบาทของประชาชนทางด้านเศรษฐกิจ ส่งผลต่อความเข้มแข็งของอิหร่านและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการปฏิบัติตามนโยบายของมาตรา 44 ที่มีการเรียบเรียงและได้ประกาศใช้ตามรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ถือว่า มีจุดอ่อนในด้านนี้อย่างมากมาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจถึงแปดเปอร์เซ็นต์ในแบบแผนฉบับที่ 7 จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และการดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาต่างๆในการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยท่านกล่าวว่า “แน่นอนว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตและการครองชีพของประชาชนและกลุ่มชนที่ด้อยโอกาส แต่ทว่าองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น การมีโอกาสที่ยุติธรรมและเท่าเทียมกันในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับต่าง ๆ และในบริบทนี้ บทบาทของการศึกษาและการพัฒนาทักษะของเยาวชนคนหนุ่มสาว ถือเป็นกุญแจหลักและบรรดาผู้บริหารจัดการอาวุโส จะต้องมีการวางรูปแบบแผนสำหรับมัน”

การแสดงแนวทางต่างๆในการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้วยทุนขนาดเล็กในการผลิตและทางเศรษฐกิจ  ถือเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามเน้นย้ำถึง และท่านยังได้เชิญชวนให้รัฐบาลและรัฐสภา จัดตั้งกลุ่มนักคิดชั้นสูงเพื่อพิจารณาถึงเรื่องนี้

ในข้อเสนอแนะประการอื่นที่มีต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ คือ การให้ความสนใจและการดำเนินการตามแบบแผนฉบับที่ 7 เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยท่านกล่าวว่า “บนพื้นฐานของรายงานต่างๆ การดำเนินการโดยเฉลี่ยของแบบแผนทั้ง 6 ฉบับก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 35% ซึ่งเป็นการสูญเสียของประเทศและรัฐบาลปัจจุบัน ถือว่าโชคดีที่รัฐบาลมีความกระตือรือร้นและเป็นนักคิด มีการทำงาน และความพยายาม โดยจะต้องมีความพยายามที่จะดำเนินการตามแบบแผนที่ 7ให้สำเร็จ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของเวลา ในฐานะเป็นทุนที่มีคุณค่าและการหลีกเลี่ยงออกจากการผลัดวันประกันพรุ่ง โดยท่านผู้นำกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า “เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ควรกำหนดเวลาสำหรับการทำงาน และรูปแบบแผนที่ได้รับอนุมัติ รวมทั้ง การติดตามผลเมื่อเสร็จสิ้นในเวลาที่ถูกกำหนด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บทบาทของการทูตและนโยบายต่างประเทศ มีความสำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เรานั้นมีเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมาก และเรามีส่วนร่วมในข้อตกลงระดับโลกหลายฉบับ ซึ่งเราควรใช้โอกาสเหล่านี้ในด้านเศรษฐกิจด้วยการขับเคลื่อนทางการทูตที่พิเศษยิ่ง”

ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นฮิญาบ โดยท่านกล่าวว่า “ประเด็นฮิญาบ ซึ่งปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นความท้าทายเชิงบังคับนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่บุคคลต่างๆด้วยการวางแบบแผนและการวางแผน ได้ทำให้มันกลายเป็นปัญหาในเชิงบังคับไปแล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเด็นฮิญาบ รวมถึงมุมมองทางด้านนิติศาสตร์ กฎหมาย และประเด็นปลีกย่อย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จากมุมมองของหลักชะรีอะฮ์ ฮิญาบถือเป็นหลักการที่ชัดเจนของชะรีอะฮ์ และการคลุมร่างกายสำหรับผู้หญิง ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือทั้งสองข้าง ถือเป็นข้อบังคับทางหลักชะรีอะฮ์ และไม่สามารถที่จะเพิกเฉยได้ และประชาชนและสตรีของเรา ซึ่งเป็นชาวมุสลิมที่มีความผูกพันและเคร่งครัดศาสนา จะต้องปฏิบัติตามหลักการนี้

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ฮิญาบในมุมมองทางด้านกฎหมาย ก็เป็นหลักการทางกฎหมาย และท่านยังเน้นย้ำให้เห็นว่า การปฏิบัติตามกฎหมาย ถือเป็นข้อบังคับสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลามหรือผู้ไม่ศรัทธาก็ตาม โดยท่านกล่าวว่า “ในกรณีประเด็นปลีกย่อย การเข้าแทรกแซงของพวกต่างชาติในประเด็นฮิญาบ ผ่านสื่อทุกประเภท ก็มีความชัดเจน แน่นอนว่า บางคนในประเทศก็เข้ามาช่วยเหลือพวกเหล่านี้ด้วย แต่ทว่า หลักคือ การชี้นำและการวางแผนเพื่อต่อต้านฮิญาบ ซึ่งมาจากต่างประเทศ โดยผู้หญิงที่มีสติปัญญา ฉลาดหลักแหลมและมีความเข้าใจ จะต้องสนใจถึงข้อเท็จจริงนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงรายงานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการจ้างผู้คนให้แหกบรรทัดฐานในสังคมโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของฮิญาบ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เมื่อเราเห็นถึงมือของพวกต่างชาติในประเด็นนี้ เราก็จะต้องปรับจุดยืนของเราให้เหมาะสมตามข้อเท็จจริงนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า แผนการถอดฮิญาบของผู้หญิง เป็นภารกิจแรกของเหล่าผู้ประสงค์ร้าย โดยท่านกล่าวว่า “เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา คือ การค่อยๆ คืนสภาพของประเทศกลับสู่ยุคเผด็จการที่อื้อฉาวซึ่งสถานภาพของสตรีในยุคนั้นมีความแตกต่างจากปัจจุบัน คือ มีความอ่อนแอทั้งในแง่ของการเรียนรู้หนังสือและบทบาทการบริหารจัดการ และในแง่ของการปกปิดและบรรทัดฐานทางสังคม ก็เป็นเรื่องอื้อฉาวด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ผู้หญิงในประเทศของเรา แม้แต่ผู้ที่ค่อนข้างละเลยในประเด็นฮิญาบ ยังผูกพันธ์กับอิสลามและรัฐนี้ ดังนั้น ควรมองประเด็นนี้จากมุมมองนี้ ในขณะเดียวกัน ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามประเด็นฮิญาบอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รัฐบาลและสภาตุลาการสูงสุด มีหน้าที่ในปฏิบัติตามหน้าที่รับผิดชอบด้านหลักชะรีอะฮ์และทางกฎหมายในประเด็นฮิญาบ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ผู้หญิงเองก็มีความรับผิดชอบที่มากกว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามในประเด็นฮิญาบของอิสลาม”

ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้เน้นย้ำให้เห็นว่า อย่าปล่อยให้ประเด็นสำคัญของฉนวนกาซาอยู่นอกเหนือความคิดเห็นของสาธารณชนทั่วโลก ถือว่า อาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการสังหารหมู่ และการโจมตีสตรีและเด็ก ผู้ป่วย และโรงพยาบาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ในช่วงยุคหลังๆ นี้ โดยท่านกล่าวว่า “อาชญากรรมต่างๆเหล่านี้ แม้แต่ผู้คนที่เติบโตในวัฒนธรรมตะวันตก ในยุโรปและในอเมริกาก็ยังส่งเสียงตะโกนออกมาประท้วงด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการสรุปถึงสงครามหกเดือน ถือว่า ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ล้มเหลวในสองด้าน โดยท่านกล่าวว่า “ความล้มเหลวครั้งแรกของพวกเหล่านี้ คือ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และพายุแห่งอัลอักซอ ซึ่งส่งผลให้ระบอบรัฐเถื่อนที่ครอบงำข้อมูลข่าวกรองและอำนาจทางทหารต้องทนทุกข์กับความล้มเหลวทางด้านข่าวกรองครั้งใหญ่ จากกลุ่มมุกอวะมะห์ต่อสู้ ที่มีทรัพยากรอย่างจำกัด และความล้มเหลวนี้ และความอัปยศอดสูของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์นั้นไม่สามารถที่จะซ่อมแซมและจะไม่มีวันที่จะได้รับการซ่อมแซมอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความล้มเหลวครั้งที่สองของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เป็นความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายที่ประกาศไว้ในการโจมตีฉนวนกาซ่า และท่านยังได้ชี้ให้เห็นว่า รัฐเถื่อนไซออนิสต์ต่างได้รับการสนับสนุนทางทหาร การเงินและการเมือง ทุกด้าน จากพวกสหรัฐฯ รวมถึงการยับยั้งมติต่างๆ และการโกหกอย่างเต็มที่ในการเรียกข้อมติล่าสุดว่า ไม่มีผลผูกพัน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ถึงแม้ว่า จะได้รับการสนับสนุนทั้งหมดเหล่านี้ แต่รัฐเถื่อนไซออนิสต์ก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งที่พวกเขาประกาศไว้ได้เลย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “พวกเหล่านี้ต้องการทำลายกลุ่มต่อสู้ โดยเฉพาะกลุ่มฮามาส ในขณะที่กลุ่มฮามาส และอิสลามิกญิฮาด และกลุ่มต่อสู้ในฉนวนกาซ่า กำลังโจมตีระบอบรัฐเถื่อนที่ยึดครอง ด้วยการมีความอดทนต่อปัญหาต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความดุร้าย และการสังหารผู้หญิงและเด็กที่บริสุทธิ์ เป็นผลมาจากการไร้ความสามารถของพวกไซออนิสต์ในการเผชิญหน้ากับบรรดานักรบของกลุ่มมุกอวะมะห์ โดยท่านกล่าวว่า “ ความล้มเหลวของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะดำเนินต่อไปอย่างแน่นอน และความพยายามอันสิ้นหวังของพวกเหล่านี้ จะเหมือนกับที่กระทำในซีเรีย และแน่นอนว่า พวกเหล่านี้จะถูกตบหน้าอย่างแรง และปัญหาของพวกเหล่านี้จะไม่ได้รับการแก้ไข”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นย้ำให้เห็นว่า ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือพวกไซออนิสต์ออกจากกับดักที่พวกเขาตกอยู่ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์จะอ่อนแอลงในแต่ละวัน และเข้าใกล้ถึงความเสื่อมถอยและการถูกทำลายมากยิ่งขึ้น และเราหวังว่า เยาวชนของเรา จะได้เห็นวันที่อัลกุดส์ (มัสยิดอัลอักศอ) จะอยู่ในความครอบครองของบรรดาชาวมุสลิมและทำการนมาซในที่นั่น และโลกอิสลาม จะมีการเฉลิมฉลองในการถูกทำลายของระบอบรัฐเถื่อนที่ยึดครอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นโอกาสที่ดีสำหรับโลกอิสลาม และท่านยังเน้นย้ำให้เห็นถึงอำนาจที่เพิ่มขึ้นของรัฐอิสลามและความอ่อนแอของเหล่าศัตรู โดยท่านกล่าวว่า การคำนวณระดับภูมิภาคและสถานการณ์ของฝ่ายแนวรบของกลุ่มต่อสู้และฝ่ายตรงกันข้าม มีการเปลี่ยนแปลงหลังพายุแห่งอัลอักซอ และจะเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้นในอนาคต และเหล่าศัตรูของอิสลาม และกลุ่มมุกอวะมะห์ต่อสู้ และสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน  ขณะเดียวกัน ก็ยอมจำนนต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะต้องรับรู้ว่า ไม่สามารถปกครองภูมิภาคนี้ในสังคมอิสลามได้”

ในช่วงท้ายของการพบปะกันครั้งนี้ มีการนมาซมัฆริบและอิชา ภายใต้การนำนมาซของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในระหว่างการนมาซทั้งสองครั้ง ท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึง วันอัลกุดส์สากลที่กำลังจะมาถึง  โดยท่านเน้นย้ำว่า “วันอัลกุดส์ปีนี้ จะเป็นเสียงโห่ร้องของนานาชาติเพื่อต่อต้านระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ยึดครอง และท่านกล่าวว่า “หากในปีต่างๆที่ผ่านมา ประเทศอิสลามได้จัดงานวันอัลกุดส์สากล แต่วันอัลกุดส์สากลปีนี้ คาดว่าวันกุดส์จะมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ในประเทศที่ไม่ใช่อิสลามด้วยเช่นกัน และเราหวังว่า ประชาชาติอิหร่านจะเปล่งประกายในวันนี้ เช่นเดียวกับในทุกเวทีทั้งหมด”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ประธานาธิบดีราอีซี ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการขับเคลื่อนและแบบแผนต่างๆของรัฐบาล โดยเขากล่าวว่า “ความอุตสาหะพยายามทั้งหมดของรัฐบาล คือ การปรับปรุงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการดำรงชีพให้ดียิ่งขึ้นในแต่ละวัน ด้วยความร่วมมือและการประสานงานของภาคส่วนต่างๆและสภาทั้งหลาย”

พณฯ ราอีซี ถือว่า การจัดสรรเงิน 45 พันล้านดอลลาร์ให้กับภาคการผลิตและบรรลุการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า 6% การบรรลุงบประมาณที่สมดุล การลดการเติบโตของสภาพคล่องให้เหลือน้อยกว่า 25% การจัดการระบบธนาคารและการชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ การบรรลุเป้าหมายในด้านการสร้างงานการเติบโตของการส่งออกในภาคส่วนฐานความรู้ และความต่อเนื่องมากกว่าสองล้านหลัง ของบ้านพัก ล้วนเป็นการดำเนินการที่สำคัญของรัฐบาลในปี 1402 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยเขากล่าวว่า “แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อรายปีและรายเดือนจะลดลงในปีที่ผ่านมา แต่รัฐบาลก็ยังคงพยายามต่อไปจนเป็นที่พอใจของประชาชนและการบรรลุอัตราเงินเฟ้ออย่างที่ต้องการ”

การแบ่งสัดส่วนค่าจ้าง การเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้า น้ำมัน ก๊าซ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี การจัดหาน้ำให้กับหมู่บ้าน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร การดำเนินพื้นฐานในด้านการนำเสนอคูปองสินค้า การประกันสุขภาพ และการสนับสนุนแบบกำหนดเป้าหมายสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย ถือเป็นการดำเนินการที่สำคัญอื่นๆ ของรัฐบาลเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่ง พณฯ ราอีซี ได้ชี้ให้เห็นถึงในรายงานของเขา

ในท้ายที่สุด ท่านประธานาธิบดี ยังได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการเป็นชะฮีดของบรรดาผู้บัญชาการและที่ปรึกษาชาวอิหร่านในการโจมตีของการก่อการร้ายที่กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย โดยเขาเน้นย้ำว่า “อนาคตจะเป็นของชาวปาเลสไตน์และแนวรบกลุ่มมุกอวะมะห์ต่อสู้ ควบคู่ไ

700 /