ประชาชนทุกภาคส่วนต่างๆของประเทศ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องในวันแรกของโนรูซ(ปีใหม่อิหร่าน) โดยท่านผู้นำถือว่า การวางแบบแผนและความพยายามของบรรดาเจ้าหน้าที่ในการเข้ามาและการระดมความพยายาม เงินทุน และ การสร้างนวัตกรรมของประชาชาติในด้านเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการบรรลุสู่คำขวัญที่สำคัญมากของปี 1403 กล่าวคือ ปีแห่งการพุ่งทะยานทางผลิตภัณฑ์และความร่วมมือจากประชาชน และท่านยังชี้ให้เห็นถึงการส่งผลสะท้อนของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่มีต่อศาสนาและโลกของประชาชน โดยท่านเน้นย้ำว่า “ศัตรูได้ปฏิเสธศักยภาพและขีดความสามารถ และปัจจัยแห่งความก้าวหน้าของประเทศ อีกทั้งการดับแสงสว่างแห่งความหวังในหัวใจทั้งหลายของประชาชาติ แต่ประชาชนและเยาวชนทั้งหลายนั้น มีความพยายามอย่างต่อเนื่องและหลีกเลี่ยงออกจากความขัดแย้ง จะมุ่งหน้าสู่ขอบฟ้าอันสดใสแห่งอนาคต”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นว่า รัฐเถื่อนไซออนิสต์จะต้องสูญสลายด้วยการติดหล่มในฉนวนกาซ่า และความเกลียดชังที่เพิ่มมากขึ้นของประชาชาติต่างๆ ต่อสหรัฐอเมริกาในฐานะเป็นพันธมิตรหลักในการก่ออาชญากรรมของรัฐเถื่อนนี้ โดยท่านกล่าวว่า “ในเหตุการณ์ครั้งล่าสุด ความมืดมนได้ปกคลุมพวกชาติตะวันตก ขณะที่ความชอบธรรมของการจัดตั้งแนวรบของขบวนการต่อสู้ได้รับการพิสูจน์แล้ว และแนวรบแห่งประชาชนนี้ ได้ต่อต้านการกดขี่ข่มเหง เปิดเผยถึงขีดความสามารถและพลังอำนาจอันแท้จริงของตนเองให้ประจักษ์ชัด และด้วยพลานุภาพและอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า จะทำให้เส้นทางในการดำรงอยู่ของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ผู้ฉ้อฉล จะถูกตัดขาดอย่างต่อเนื่อง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวแสดงความยินดีกับประชาชาติทุกคน เนื่องในวันอีดโนรูซ ซึ่งตรงกับฤดูใบไม้ผลิทางธรรมชาติและฤดูใบไม้ผลิทางจิตวิญญาณ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำหรับร่างกายและจิตวิญญาณที่ได้รับความสดชื่นและการเจริญเติบโต โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ศิลปะและพลังของเดือนรอมฎอน คือ สายลมแห่งจิตวิญญาณของการถือศีลอดและการปฏิบัติอะมั้ลอิบาดะฮ์ การตะวัซซุล (การอนุเคราะห์โดยผ่านสื่อ) และการอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า จะทำให้มนุษย์ ผู้ที่ไม่เพิกเฉยนั้นมีความกระตือรือร้นและมีความพยายามในวิถีแห่งความดีและความเป็นบ่าวของพระองค์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า แรงบันดาลใจในการคัดเลือกและการประกาศคำขวัญประจำปี คือ การมุ่งเน้นถึงความสนใจ ความอุตสาหะ ความพยายามของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ตลอดจนความตระหนักและความต้องการของความคิดเห็นของประชาชนในการบรรลุคำขวัญนี้ทางเชิงกลยุทธ์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงคำขวัญประจำปีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมุ่งเน้นในประเด็นด้านเศรษฐกิจ โดยท่านกล่าวว่า “เมื่อปีที่ผ่านมา มีการงานที่ดีที่ได้ดำเนินการไปแล้วในการบรรลุของคำขวัญที่ว่า การยับยั้งเงินเฟ้อและความก้าวหน้าทางการผลิต แต่ทว่ายังอีกยาวไกลจากสิ่งที่พวกเรานั้นมีความต้องการ เพราะฉะนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่และนักขับเคลื่อนในภาคประชาชน จะต้องคำนึงถึงภารกิจหลักในการบรรลุของคำขวัญประจำปีใหม่ที่สำคัญนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การประกาศว่าปีนี้ เป็นปีแห่งการพุ่งทะยานทางผลิตภัณฑ์และความร่วมมือจากประชาชน เป็นคำขวัญที่มีความโดดเด่นอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากเจ้าหน้าที่ทั้งหลายมีการวางแบบแผนและความพยายาม ถือเป็นประเภทหนึ่งของการระดมพลของประชาชนสำหรับการให้ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อที่จะมีความเป็นไปได้ในการบรรลุของคำขวัญที่สำคัญที่ว่า การพุ่งทะยานทางผลิตภัณฑ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เศรษฐกิจ เป็นปัญหาพื้นฐานของประเทศ และท่านยังชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนและปัญหาต่างๆทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ โดยท่านกล่าวว่า “สภาพของเศรษฐกิจที่ดีนั้น จะส่งผลสะท้อนถึงทุกปัญหาของประเทศ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวทบทวนถึงความเพียรพยายามอย่างไม่หยุดยั้งและจริงจังของพวกอเมริกาและเหล่าพันธมิตรที่จะทำให้เศรษฐกิจของอิหร่านพบกับความล่มสลายและการทำให้ประชาชาติต้องยอมจำนนต่อพวกเหล่านี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า เป้าหมายนี้ได้ประสบกับความล้มเหลวมาจนถึงบัดนี้ และต่อจากนี้ไป ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องด้วยความพยายามและความจริงจังและความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายและประชาชน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจ ต้องอาศัยการขับเคลื่อนของกลไกทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กของประเทศ โดยท่านเน้นย้ำว่า “การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ การสร้างนวัตกรรมของประชาชน การมีอำนาจในการบริหารจัดการของนักขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ แรงกำลังของเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ได้รับการศึกษา และบริษัทฐานความรู้ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีความก้าวหน้าอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของประเทศและศิลปะของพวกเขาในการขับเคลื่อนกลุ่มต่างๆและปัจจัยเหล่านี้ จะเป็นพื้นฐานของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นี้ของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับปีแรกของการดำเนินการตามแผนการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 7 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในความพยายามที่เพิ่มมากขึ้นของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย โดยท่านกล่าวว่า “เมื่อสิ้นสุดแผนการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 7 ซึ่งถูกกำหนดขึ้นโดยมีเป้าหมายโดยรวม คือ ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับความยุติธรรม เงินเฟ้อควรจะเป็นเลขหลักเดียว การปฏิรูปโครงสร้างงบประมาณ การปรับเปลี่ยนระบบภาษี สินค้าพื้นฐานอย่างน้อย 90% ควรผลิตในประเทศ และโครงการขนาดใหญ่ระดับชาติควรจะดำเนินการต่อไป ซึ่งการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนในภาคส่วนเศรษฐกิจ ก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะต้องใช้ศักยภาพต่างๆของประชาชาติอย่างชาญฉลาดและอย่างเต็มที่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวยกย่องถึงความพร้อมอย่างต่อเนื่องของประชาชาติในการมีส่วนร่วมในภาคสนาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชนจะต้องเข้าร่วมในเวทีทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงและมีประสิทธิผล เฉกเช่นเดียวกับในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงการเยี่ยมชมนิทรรศการความสำเร็จของนักขับเคลื่อนด้านการผลิต เมื่อเดือนบะห์มันที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จเหล่านี้นั้น เป็นสิ่งที่ดีและน่าประหลาดใจอย่างมากและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและขีดความสามารถ และการสร้างนวัตกรรมระดับสูงของประชาชน โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนทางด้านเศรษฐกิจ และได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ สามารถที่จะใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การมีประสิทธิภาพของการบริโภคน้ำ ภาคส่วนน้ำมัน หัตถกรรม การคมนาคม และประเด็นอื่นๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การขับเคลื่อนระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง และท่านกล่าวถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหลายว่า “จะต้องเปลี่ยนจากบันทึกความเข้าใจกับประเทศต่างๆ เป็นข้อตกลงในระดับชาติและมีการดำเนินการ เพื่อจะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมทางการปฏิบัติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มผลผลิตในด้านต่างๆ และการใช้ประสบการณ์ของผู้อื่นในด้านนี้ โดยท่านกล่าวว่า “การพุ่งทะยานทางผลิตภัณฑ์และความร่วมมือจากประชาชน ไม่ได้เป็นคำขวัญเพียงในปีเดียว แต่ทว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ จะต้องมีการวางแบบแผนและความช่วยเหลือจากประชาชน ถือเป็นก้าวแรกในปีนี้ เพื่อที่จะบรรลุอย่างสมบูรณ์ของคำขวัญนี้ในช่วงเวลาต่างๆ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่สำคัญที่เกี่ยวกับความกังวลใจของผู้ที่เห็นอกเห็นใจบางคนในความเป็นไปได้ของการทุจริตคอร์รัปชั่นและการใช้ประโยชน์ในทางที่ผิดต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในเวทีด้านเศรษฐกิจ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความกังวลนี้ ถือว่า มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาถึงการใช้ประโยชน์ในทางที่ผิดของหลายปีที่ผ่านมา จากการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและเงินกู้ของรัฐบาล ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาเจ้าหน้าที่จะต้องมีความระมัดระวังอย่างเต็มที่ด้วยการเปิดสายตาทั้งหลาย มิให้เกิดการทุจริต การเลือกปฏิบัติ และการใช้ประโยชน์ที่ผิดกฎหมายในลักษณะนี้อีก”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลประโยชน์ของชาติและอนาคตอันสดใสของประเทศนั้นขึ้นอยู่กับศรัทธาและ ความหวัง โดยท่านกล่าวว่า “หากแสงสว่างแห่งความหวังถูกดับลงในหัวใจทั้งหลาย ก็จะไม่มีการขับเคลื่อนใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหล่าเยาวชนทั้งหลายที่มีความสามารถ ประชาชาติที่พร้อมในการทำงาน ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใด และสถานภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีเอกสิทธิ์ เป็นหนึ่งในขีดความสามารถอันมหาศาลในการสานต่อความก้าวหน้าของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ข้อกำหนดสำหรับความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง คือ เราทุกคนจะต้องมีความหวังสำหรับอนาคตของเรา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในด้านอุตสาหกรรม สุขภาพ อวกาศ การเมืองและนโยบายด้านต่างประเทศ ตลอดจนความมั่นคงที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใดของประเทศ ซึ่งปรากฏให้เห็นในการรักษาความปลอดภัยของการเดินขบวน 22 บะห์มัน และการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ท่ามกลางปัจจัยที่มีความหวังและเป็นการเสริมสร้างความรู้สึกในการมีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจให้กับประชาชน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เยาวชนคนหนุ่มสาวหลายพันกลุ่มทั่วประเทศ ที่เต็มไปด้วยความสามารถ มีแรงบันดาลใจ และมีความกระตือรือร้นในภาคส่วนต่างๆทางวิทยาศาสตร์และสถาบันศาสนา วัฒนธรรม และศิลปะ จะทำให้บรรยากาศของสังคมดียิ่งขึ้นด้วยความพยายามของพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเดินขบวนวันอัรบะอีนที่ยิ่งใหญ่ วันอีดเฆาะดีร และวันนิศฟูชะอ์บาน ล้วนเป็นสัญญาณของความหวังและการยกระดับทางจิตวิญญาณ และรู้สึกเสียใจต่อความล้มเหลวของการโฆษณาชวนเชื่อในประเทศในการเปิดเผยข้อเท็จจริงต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ถึงแม้ว่า จะมีสัญญาณของความหวังเหล่านี้ บางคนที่เพิกเฉยด้วยทัศนคติเชิงลบต่างพยายามปฏิเสธความหวังของเยาวชนคนหนุ่มสาวและต้องการที่จะทำลายมัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการซุ่มโจมตีเพื่อทำลายความหวังในหัวใจทั้งหลายของบรรดาเยาวชน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การหยิบปากกาขึ้นมาเขียนบทความเกี่ยวกับการไม่มีความหวังในอนาคต จะเป็นประโยชน์ต่อใครหรือ และด้วยสาเหตุใดจึงไม่ควรที่จะมีความหวังสำหรับอนาคต แม้จะมีศักยภาพและปัจจัยที่มีแนวโน้มเหล่านี้ทั้งหมดหรือไม่ก็ตาม?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การใช้กลอุบายในการโฆษณาชวนเชื่อและสื่อต่างๆ เพื่อขยายจุดอ่อนให้ใหญ่ขึ้นและการปฏิเสธความก้าวหน้า เป็นหนึ่งในการกระทำอย่างปกติของเหล่าผู้ประสงค์ร้ายมาโดยตลอด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ศัตรูได้กระทำสิ่งเหล่านี้มาหลายปีแล้ว แต่เราก็ไม่ควรกระทำความผิดพลาดนี้และมีการเพิกเฉยมันในประเทศ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้คำแนะนำโดยเน้นย้ำให้เห็นว่า บรรดาเยาวชนจะต้องล้ำหน้าเหนือแผนการร้ายของศัตรู โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกเหล่านั้น ต้องการทำให้พวกท่านทั้งหลายสิ้นหวัง และจะไม่ปล่อยให้เสียงแห่งความก้าวหน้า เข้ามาถึงพวกท่าน แต่ทว่า พวกท่านจะต้องพยายามสร้างความหวังและความเจริญรุ่งเรืองให้มากกว่าความพยายามที่สิ้นหวังของเหล่าศัตรู”
ความสามัคคีของชาติและความเป็นเอกภาพของหัวใจทั้งหลาย ความมุ่งมั่น และเจตจำนงของประชาชน เป็นอีกปัจจัยประการหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้เน้นย้ำให้เห็นถึงมุมของผลประโยชน์ของชาติ และรู้สึกความเสียใจต่อการเกิดปัญหาและความล้าหลังในด้านนี้ โดยท่านกล่าวว่า “เรานั้นได้เพิกเฉยในด้านนี้และทำลายความสามัคคีของชาติและความเป็นหนึ่งเดียวกันของสังคมด้วยมือของเราเอง เราทุกคนมีส่วนรู้เห็นในการเพิกเฉยนี้ และเราทุกคนก็มีหน้าที่รักษาและเสริมสร้างความสามัคคีของชาติและความเป็นเอกภาพของประชาชนและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเสริมสร้างความสามัคคีในชาติ เป็นนโยบายที่ชัดเจนของรัฐอิสลาม นับตั้งแต่วันแรก และท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงการเน้นย้ำของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)ในประเด็นนี้ โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ที่สร้างความแตกแยกในประเด็นทางการเมืองและฝ่ายต่างๆซึ่งกันและกัน โดยท่านกล่าวว่า ไม่ว่าพวกท่านจะตะโกนอย่างไรก็ตามให้ตะโกนเข้าใส่พวกอเมริกา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความแตกต่างทางความคิด รสนิยม และการเมืองในประเทศ เป็นเรื่องปกติ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความคับข้องใจภายในและความแตกต่างทางการเมือง ไม่ควรทำให้เกิดเป็นความเกลียดชังและสร้างความเป็นปฏิปักษ์ การดูหมิ่น การคุกคาม และอาจรวมถึงการโกหกและการใส่ร้ายซึ่งกันและกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำกับเยาวชนทั้งหลายว่า “พวกท่านจะต้องมีความพยายามว่า อย่าได้สร้างความเกลียดชังในสังคม และถึงแม้จะมีความแตกต่างทางด้านรสนิยม ในประเด็นของสังคม และในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูของประเทศและของประชาชาติก็ตาม และทุกคนควรก้าวออกไปด้วยกันอย่างเป็นภราดรภาพและมีความเสมอภาคกัน”
ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้ความสนใจถึงประเด็นปาเลสไตน์และฉนวนกาซ่า ซึ่งเป็นประเด็นระหว่างประเทศที่มีความสำคัญมากที่สุดจากหลายแง่มุมด้วยกัน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์ในฉนวนกาซ่าและการสังหารหมู่ผู้หญิง เด็ก คนชรา และคนหนุ่มสาวมากกว่า 30,000 คน ต่อสายตาของโลก ที่เรียกว่า โลกแห่งศิวิไลซ์ และอ้างสิทธิมนุษยชน เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการกดขี่และความมืดมิดที่ครอบงำโลกตะวันตก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกอเมริกา และพวกยุโรป ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยยับยั้งในการก่ออาชญากรรมของรัฐเถื่อน ผู้ยึดครองเท่านั้น แต่ทว่า นับตั้งแต่ช่วงวันแรกๆ พวกเขาได้ประกาศสนับสนุนด้วยการเดินทางไปยังดินแดนที่ถูกยึดครองและมีการส่งอาวุธทุกชนิดและการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องในการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ต่อไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การพิสูจน์ถึงความชอบธรรมของการจัดตั้งแนวรบของขบวนการต่อสู้ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกนั้น เป็นผลมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ในฉนวนกาซาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า การมีอยู่ของแนวรบของขบวนการต่อสู้ในภูมิภาคนี้ เป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดและในแต่ละวัน แนวรบนี้ที่เกิดขึ้นจากมโนธรรมของการตื่นตัวและจะต้องมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อเผชิญหน้ากับการกดขี่และการยึดครองของอาชญากรรัฐเถื่อนไซออนิสต์มานานกว่า 70 ปี”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเปิดเผยขีดความสามารถของขบวนการต่อสู้ เป็นผลสำเร็จอีกประการหนึ่งของสงครามในฉนวนกาซ่าในปัจจุบัน โดยท่านกล่าวว่า “ทั้งพวกตะวันตกและรัฐบาลของภูมิภาคนั้นไม่ทราบเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและขีดความสามารถของกลุ่มมุกอวะมะห์ แต่ในปัจจุบันนี้ พวกเขาจำต้องเห็นถึงความอดทนของประชาชน ผู้ถูกกดขี่ ในฉนวนกาซ่าเจตจำนง และแรงบันดาลของการต่อสู้ของกลุ่มมุกอวะมะห์ในปาเลสไตน์ ตั้งแต่กลุ่มฮามาสไปจนถึงกลุ่มต่อสู้อื่นๆ อีกทั้งพลังอำนาจและเจตจำนงของกลุ่มมุกอวะมะห์ ในเลบานอน เยเมน และอิรัก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสำแดงพลังอำนาจของขบวนการต่อสู้ เป็นเหตุทำลายการคิดคำนวณของพวกอเมริกาและแบบแผนการร้ายของพวกเหล่านี้ที่จะครอบงำประเทศต่างๆในภูมิภาค โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พลังอำนาจของขบวนการต่อสู้ ทำให้การคำนวณของพวกเหล่านี้ต้องถูกทำลาย และแสดงให้เห็นว่า พวกอเมริกา ไม่เพียงแต่ไม่สามารถครอบงำภูมิภาคได้ แต่ยังไม่สามารถที่จะอยู่ในภูมิภาคได้และจะต้องอพยพออกจากภูมิภาคนี้อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การชี้แจงสถานการณ์ที่วุ่นวายและวิกฤตของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ให้กับสาธารณชนได้รับความกระจ่าง เป็นความจริงอีกประการหนึ่งของเหตุการณ์ในฉนวนกาซ่า โดยท่านกล่าวว่า “เหตุการณ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า รัฐเถื่อนไซออนิสต์ไม่เพียงแต่ตกอยู่ในวิกฤตในการปกป้องตัวเองเท่านั้น แต่ทว่าการออกห่างจากวิกฤต คือ การตกอยู่ในวิกฤติด้วยเช่นกัน เพราะว่า เมื่อเข้าสู่สงครามในฉนวนกาซ่า พวกเหล่านี้ได้ตกอยู่ในหล่มแล้ว และไม่ว่าจะออกมาจากฉนวนกาซ่าหรือไม่ก็ตาม ก็จะพบกับความล้มเหลว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ความขัดแย้งอย่างลึกซึ้งและความแตกต่างระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐเถื่อนนี้ จะทำให้ระบอบการปกครองเถื่อนนี้เข้าใกล้สู่การล่มสลายมากยิ่งขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำให้เห็นว่า พวกอเมริกาได้เลือกจุดยืนที่เลวร้ายที่สุดในประเด็นฉนวนกาซ่า โดยท่านกล่าวว่า “การประท้วงของประชาชนเพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์ตามท้องถนนในกรุงลอนดอนและปารีส รวมถึงอเมริกาเอง ในความเป็นจริงแล้ว ถือเป็นการประกาศแสดงถึงความเกลียดชังที่มีต่ออเมริกา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า จุดยืนและการคำนวณที่ผิดพลาดของอเมริกาในเหตุการณ์ฉนวนกาซ่า ทำให้อเมริกาต้องถูกเกลียดชังไปทั่วทั้งโลก และความเกลียดชังเหล่านี้ได้เพิ่มมากขึ้นเป็นสิบเท่าในภูมิภาค และท่านยังกล่าวอธิบายถึงอีกตัวอย่างหนึ่งของความเข้าใจและการคำนวณที่ผิดพลาดของพวกอเมริกาในประเด็นต่างๆของภูมิภาค โดยท่านกล่าวว่า “ทุกสถานที่ในภูมิภาค ตั้งแต่เยเมน อิรัก ไปจนถึงซีเรียและเลบานอน ซึ่งกองกำลังนักต่อสู้ ผู้กล้าหาญของขบวนการต่อสู้ได้ปฏิบัติการต่อสู้กับพวกอเมริกา โดยพวกเหล่านี้ยังอ้างว่า การกระทำนี้ ถือเป็นการกระทำของอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “นี่แสดงให้เห็นว่า พวกอเมริกานั้นไม่รู้จักประชาชนในภูมิภาค และบรรดาเยาวชน ผู้กล้าหาญและมีความมุ่งมั่นและเจตจำนง และการคำนวณที่ผิดนี้จะทำให้พวกเหล่านี้ต้องยอมจำนนอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นอีกว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านสนับสนุนและชื่นชมการต่อสู้และจะสนับสนุนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยท่านกล่าวว่า “ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มต่อสู้เองต่างหาก ที่ตัดสินใจและมีการดำเนินการและเป็นความชอบธรรมกับพวกเขาอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า การกดขี่ครั้งใหญ่ในภูมิภาค คือ การดำรงอยู่ของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ซึ่งจะต้องยุติลง โดยท่านกล่าวว่า “เราอยู่ฝ่ายที่สนับสนุนและช่วยเหลือต่อทุกคนที่เข้าสู่การญิฮาดแบบอิสลามนี้ อย่างมีมนุษยธรรมและมีมโนธรรม และด้วยความสำเร็จจากพระผู้เป็นเจ้า เราจึงจะบรรลุเป้าหมายนี้”