สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประชาชนชาวเมืองกุมอันศักดิ์สิทธิ์หลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

อาชญากรรมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์จะไม่มีวันลืมเลือนเป็นอันขาด แม้ว่าจะล่มสลายแล้ว

ประชาชนชาวเมืองกุมอันศักดิ์สิทธิ์หลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องในช่วงวันครบรอบปีของเหตุการณ์การลุกขึ้นปฏิวัติของชาวเมืองกุม ในวันที่ 19 เดือนเดย์ 1356 (9 มกราคม 1978) โดยท่านผู้นำชี้ให้เห็นถึงพลังอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ของการแสดงบทบาทของประชาชน ทั้งการเข้าร่วมและการชูธงของประชาชาติในทุกเวทีและภาคสนาม ถือว่า เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและการเปิดเส้นทางของอิมามโคมัยนี และรัฐอิสลาม ขณะที่การทำให้ไม่มีแรงจูงใจและการดึงผู้คนออกจากเวที คือ กลยุทธ์ของเหล่าศัตรูของดินแดนอันบริสุทธิ์ของอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อเมริกาและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านเน้นย้ำว่า “ทุกคน ไม่ว่าในสถานที่ใดก็ตาม มีภาษาที่มีความหมาย มีอิทธิพล และผู้รับฟัง จะต้องเชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วมสู่สนามต่างๆทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและเวทีอื่นๆ ด้วยการเพิ่มพูนความเข้าใจ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เมืองกุม เป็นเมืองแห่งการลุกขึ้นปฏิวัติ ความรู้ และการญิฮาด โดยท่านได้ชี้ให้เห็นว่าถึงบทเรียนอันยั่งยืนของการลุกขึ้นปฏิวัติอย่างฉับพลันของประชาชนผู้ศรัทธาในเมืองนี้เมื่อวันที่ 19 เดย์ 1356 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อประท้วงต่อต้านการดำเนินการของระบอบทรราช จากการเผยแพร่บทความหมิ่นประมาทต่อท่านอิมามโคมัยนี ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังอำนาจของประชาชนในการมีบทบาทต่อเหตุการณ์ต่างๆที่ยิ่งใหญ่”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ฉนวนกาซ่า เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของพลังอันยิ่งใหญ่ของประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “ผู้คนกลุ่มเล็กๆ ในดินแดนเล็กๆ ได้เอาชนะเหนืออเมริกาด้วยการอ้างสิทธิ์ทั้งหมด และทำให้ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่ต้องพึ่งพาอเมริกา ไร้ความสามารถด้วยพลังแห่งความอดทนและการยืนหยัดของตนเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การโค่นล้มระบอบการปกครองทรราชที่พึ่งพาและกดขี่ภายในหนึ่งปีของการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองกุม อันเป็นผลที่จับต้องได้จากการเข้าร่วมของประชาชนในสนามแห่งการต่อสู้ โดยท่านกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ ได้สอนบทเรียนอันยิ่งใหญ่นี้ให้กับประชาชาติในปีที่ 1341 และ 1342 ด้วยวาจาและการกระทำ แสดงให้เห็นว่า การเข้าร่วมของประชาชนในภาคสนาม เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การพึ่งพามวลชน เป็นอีกทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของท่านอิมาม เมื่อเผชิญกับวิธีการทั่วไปทางการเมือง รวมถึงการเข้าร่วมพูดคุยเจรจากับพรรคการเมืองและนักการเมือง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามได้เข้าสู่สนามแห่งการต่อสู้ในวันที่ 12 โครดอด 1342 ณ ฟัยซีเยห์ โดยการนำประชาชนเข้าสู่ภาคสนามด้วยเช่นกัน แล้วยังได้ชูธงขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนในวันที่ 15 โครดอด 1342 ในกรุงเตหะราน เมืองกุม และวะรอมีน รวมทั้งในเมืองอื่นๆ อันเป็นคำตอบของประชาชาติจากการเชิญชวนนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ที่เกิดขึ้นเองของประชาชนในเมืองกุมในวันที่ 19 เดย์ เป็นการตอบสนองต่อบทเรียนของท่านอิมามสำหรับการเข้าร่วมโดยตลอดในภาคสนาม โดยท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “แน่นอนว่า การพึ่งพาผู้คน เป็นบทเรียนของอิมามอะลี ในฐานะผู้นำแห่งศรัทธาชน ได้กล่าวไว้ในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ว่า มวลชนเป็นผู้ที่สนับสนุนศาสนา เป็นแกนหลักของสังคม และเป็นเสบียงในการเผชิญหน้ากับศัตรู”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่เรียกการเข้าร่วมของประธานาธิบดีในหมู่ประชาชน เป็นประชานิยม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การสนับสนุนจากประชาชน เป็นจุดหลักของนโยบายของรัฐอิสลาม แน่นอนว่า คุณภาพในการทำงานร่วมกับผู้คนจำนวนมาก ถือเป็นศิลปะที่ยอดเยี่ยมที่ควรคำนึงถึงอย่างลึกซึ้ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกำหนดทิศทางที่ละเอียดอ่อน และการเสริมพลังทางปัญญา เป็นข้อกำหนดสองประการในการนำผู้คนเข้าสู่สนามแห่งการต่อสู้และการยืนหยัด โดยท่านกล่าวว่า “จุดประสงค์ของการเชิญผู้คนให้เข้าร่วม คือ การปกครองแบบอิสลาม การมีเกียรติและศักดิ์ศรีของอิสลาม ความดีงามที่สมบูรณ์ การยกระดับของประชาชาติและการเผชิญหน้ากับความอหังการ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจให้ประชาชน เป็นหน้าที่ของนักคิด อาจารย์ ปัญญาชน นักศึกษา และกลุ่มผู้มีอิทธิพลอื่นๆ ทางความคิดเห็นของสาธารณชน โดยท่านกล่าวว่า “พวกอเมริกา ด้วยความคิดง่ายๆ และการคำนวณผิดๆ ร่วมกับเหล่าผู้ที่พึ่งพา หลังจากผ่านไป 45 ปี ยังคงแสดงให้เห็นถึงโฉมหน้าของระบอบการปกครองที่ถูกเนรเทศและพึ่งพา ซึ่งได้ถูกผลักออกจากดินแดนอันบริสุทธิ์นี้ ด้วยการเตะของประชาชาติในวันที่ 22 บะห์มัน 1357”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวถึงการแทรกแซงโดยตรงของอังกฤษในการขึ้นสู่อำนาจของเรซา ข่าน และท่านกล่าวเสริมว่า “องค์ประกอบที่สร้างขึ้นนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากสายลับอังกฤษได้เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาติ หลังจากผ่านไปไม่กี่ปี ซึ่ง การเปิดผ้าคลุมหน้า ฮิญาบ การปิดทำการสถาบันการศึกษาทางศาสนาและพิธีกรรมทางศาสนา และการดำเนินการที่คล้ายคลึงกันของเขา จะต้องมองด้วยสายตานี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวถึงการแทรกแซงของอังกฤษในการขึ้นสู่อำนาจของมุฮัมหมัด เรซา และการรัฐประหารร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ และอังกฤษ เพื่อคืนอำนาจให้ชาห์ ผู้ลี้ภัยขึ้นสู่อำนาจในปี 1332 โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ระบอบการปกครองทรราช ในช่วงแรก ช่วงกลาง และสุดท้ายก็ขึ้นสู่อำนาจด้วยความช่วยเหลือจากพวกต่างชาติ และการดำรงอยู่อย่างน่าอับอายก็ดำเนินต่อไป และเพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ขายน้ำมันของอิหร่านเท่านั้น แต่ยังขายศักดิ์ศรี ศาสนา และเกียรติยศของประเทศให้กับพวกต่างชาติอีกด้วยเช่นกัน แต่ทว่า บัดนี้ บางคนก็ยังหาข้อแก้ตัวให้ระบอบทรราชนี้”

ในการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้อธิบายให้เห็นถึงกลยุทธ์ของฝ่ายมหาอำนาจ จอมอหังการ และการแสวงหาผลประโยชน์ในอิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “อเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ตรงกันข้ามกับกลยุทธ์ของท่านอิมามโคมัยนี ที่จะนำประชาชนเข้าสู่ภาคสนามและมอบธงชัยแห่งความพยายามและการต่อสู้ให้กับพวกเขา  คือ การใช้นโยบายทั่วไปในการดึงประชาชนอิหร่านให้ออกจากเวทีของการต่อสู้ และแม้กระทั่ง ทุกวันนี้ ก็ยังปฏิบัติตามนโยบายนี้ ด้วยวิธีการต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความพยายามที่จะดูถูกการเข้าร่วมของประชาชนในโอกาสต่างๆที่สำคัญ เป็นหนึ่งในกลอุบายของศัตรูในการเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากภาคสนาม โดยท่านกล่าวว่า “การล้อเลียนการเดินขบวนอัรบาอีน การทำให้เกิดข้อสงสัยในความเคารพของประชาชนต่อนายพล ผู้ที่ยิ่งใหญ่ของอิหร่านและภูมิภาค(ตะวันออกกลาง) และยังสร้างความสงสัยเกี่ยวกับการเข้าร่วมที่ความยิ่งใหญ่ของประชาชน ในเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองทางศาสนา เช่น วันนิศฟูชะอ์บาน ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของนโยบายเชิงกลยุทธ์ของศัตรูที่จะนำผู้คนออกจากภาคสนาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “สาเหตุของความเป็นศัตรูกัน ก็คือ พวกเขาเข้าใจปัจจัยของความก้าวหน้าและการได้รับเกียรติของอิหร่าน และการผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจที่สำคัญในภูมิภาค และการสร้างเชิงลึกทางยุทธศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับรัฐอิสลาม กล่าวคือ กองกำลังต่อต้านทั่วทั้งภูมิภาคและความพ่ายแพ้ของแผนการสมรู้ร่วมคิดทั้งหมดจากการรัฐประหารและสงครามภาคบังคับ จนถึงแผนการสมรู้ร่วมคิดทางด้านความมั่นคง คือ การเข้าร่วมของประชาชนชาวอิหร่านในภาคสนาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ในสถานที่ซึ่งผู้คนถูกขัดขวางไม่ให้เข้าร่วมในภาคสนาม ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ศัตรูก็ยินดีที่ภาคเศรษฐกิจหลายๆ ภาคส่วนก็เช่นเดียวกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ในบรรดากลเม็ดอื่นๆสำหรับการทำให้ประชาชนออกจากภาคสนาม คือ ความพยายามของสื่อต่างชาติในการทำให้ผู้คนหมดหวัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวจากอนาคตของพวกเขา โดยท่านกล่าวว่า การทำให้ใหญ่หรือพูดเกินจริงในประเด็นเชิงลบ การส่งเสริมการไร้ประโยชน์ในการเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองและการเลือกตั้ง และการโอ้อวดข้อบกพร่องและความยากลำบากทางเศรษฐกิจ เป็นหนึ่งในกิจกรรมในการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า แน่นอนว่า เรานั้นมีปัญหาทางเศรษฐกิจและมีจุดอ่อนต่างๆ อยู่และยังคงมีอยู่ต่อไป และหากทำการวิจัยด้วยความระมัดระวัง จุดอ่อนเหล่านี้ส่วนใหญ่นั้นเกิดขึ้นจากการไม่เข้าร่วมของประชาชน และในเวทีการเข้าร่วมของประชาชนยังมีจุดอ่อนที่น้อยลง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การข่มขู่อำนาจต่างๆและจากอเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เป็นกลอุบายอีกอย่างหนึ่งในการขับไล่ประชาชนออกจากภาคสนาม โดยท่านกล่าวว่า “หากประชาชาติอิหร่านต้องหวาดกลัวอำนาจบางอย่าง สาธารณรัฐอิสลามก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป ในขณะที่ ในวันนี้ มหาอำนาจจำนวนมากที่อ้างสิทธิ์ในการครอบงำและเป็นพระเจ้าเหนือภูมิภาค พวกเขาเหล่าต่างก็เกรงกลัวประชาชาติอิหร่านทั้งสิ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อีกเครื่องมือหนึ่งของพวกต่างชาติในการทำให้ประชาชนออกจากภาคสนาม คือ การทำให้ผู้คนไม่เชื่อในปัจจัยต่างๆของการเข้าร่วม ความกล้าหาญ และการมีอำนาจ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความศรัทธาทางศาสนาและการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติ เป็นปัจจัยอันดับต้น ๆ ในการสร้างอำนาจ ขณะที่ความพยายามของศัตรู และการโฆษณาชวนเชื่อของศัตรูนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้ปัจจัยเหล่านี้อ่อนแอลง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ในประเด็นฮิญาบและประเด็นที่คล้ายกัน เราควรให้ความสนใจและดำเนินการ โดยมองว่าปัญหาไม่ใช่แค่ความไม่รู้ของบางคนเกี่ยวกับประเด็นของฮิญาบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีแรงจูงใจที่จะต่อต้านและคัดค้านการงานเหล่านี้”

การสร้างความแตกต่างและการแบ่งเป็นสองขั้วของประชาชน ในลักษณะที่เป็นประเด็นที่นอกเหนือไปจากความแตกต่างที่เป็นมิตรและนำไปสู่การประณามในทุกคำพูด แม้จะดีกับฝ่ายตรงข้ามก็ตาม อีกกลเม็ดหนึ่งสำหรับการทำให้สนามว่างเปล่าจากการเข้าร่วมของประชาชน ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม หลังจากที่อธิบายได้กล่าวว่า “แนวทางในการเผชิญหน้ากับแผนการเหล่านี้ คือ  การเข้าร่วมของผู้คนในประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ การเลือกตั้ง และแม้แต่ประเด็นความมั่นคง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า ในประเด็นด้านความมั่นคง ประชาชนสามารถช่วยเหลือหน่วยงานด้านความมั่นคงได้โดยระบุถึงปัจจัยต่างๆของศัตรู ดังที่ในปัจจุบันนี้ ปัญหาด้านความมั่นคงจำนวนมากได้รับการแก้ไขด้วยความช่วยเหลือของประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ได้ติดตามเพื่อป้องกันการเกิดโศกนาฏกรรมที่คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเครมาน ซึ่งสามารถเรียกได้ว่า เป็นอัตราการขัดขวางแผนการสมรู้ร่วมคิดหลายสิบเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การส่งเสริมการเข้าร่วมและการแสดงบทบาทของประชาชนในฐานะที่เป็นเสาหลักสำคัญของการบริหารประเทศอย่างถูกต้อง และเป็นข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับการปฏิวัติอิสลามเพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมาย เป็นคำตักเตือนด้วยสัจธรรมและเป็นหน้าที่ของทุกกระบอกเสียงและธรรมาสน์ โดยท่านกล่าวเสริม “นักวิชาการทางศาสนา มัรญิอ์ตักลีด นักการศาสนา อาจารย์มหาวิทยาลัย ศิลปิน ผู้บริหาร นักการเมือง เจ้าหน้าที่วิทยุและโทรทัศน์ และทุกคนที่มีหน้าที่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามาร่วมยืนหยัดในภาคสนาม แน่นอนว่า หน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐฯจะหนักยิ่งกว่า เพราะว่าประชาชนพร้อมและจะต้องเตรียมการปูทางให้กับการเข้าร่วมของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรวมตัวของประชาชนจำนวนมากในวันครบรอบสี่ปีของการเป็นชะฮีดของนายพลกอเซ็ม สุไลมานี การเข้าร่วมของประชาชนในการเดินขบวนในวันที่ 22 บะห์มัน และวันกุดส์ และการรวมตัวในวันแห่งพระเจ้า เหมือนดั่งวันครบรอบวันที่ เดย์ ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของประชาชนที่พร้อมจะเข้าร่วมสู่ภาคสนาม โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชนรู้สึกภาคภูมิใจในวันครบรอบการเป็นชะฮีดของนายพล โดยพวกเขามาจากแดนไกลเพื่อมาเยี่ยมเยียนเครมาน และถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้น ในวันรุ่งขึ้น กลุ่มผู้คนเดียวกันได้รวมตัวต่อไปด้วยความเข้มข้น ความเข้มแข็ง และแรงจูงใจ นี้หมายความว่า ประชาชนพร้อมแล้ว และเรานั้น ในฐานะเจ้าหน้าที่จะต้องเตรียมการปูทางสำหรับการเข้าร่วมของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกรณีที่น่าเศร้าใจของเมืองเครมาน โดยท่านกล่าวว่า “โศกนาฏกรรมครั้งนี้ สร้างความโศกเศร้าให้กับประชาชาติของเราอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเราไม่ยืนกรานที่จะกล่าวหาเรื่องนี้และเรื่องนั้น แต่เรายืนกรานที่จะระบุถึงปัจจัยที่แท้จริงและเบื้องหลังของปัญหาและปราบปรามพวกเหล่านั้น ซึ่งหากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ผู้มีเกียรติยิ่ง จะต้องทำงานอย่างจริงจังเพื่อสามารถลงโทษปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมนี้และอยู่เบื้องหลังนี้ได้”

ในช่วงสุดท้ายของการกล่าวสุนทรพจน์ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้ความสนใจไปยังประเด็นฉนวนกาซ่า โดยชี้ให้เห็นถึงการเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการคาดการณ์ของผู้มีวิสัยทัศน์ที่แจ่มแจ้งเกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “มีการคาดการณ์ว่า ผู้ที่ได้รับชัยชนะในสนามนี้ จะเป็นฝ่ายกลุ่มมุกอวะมะฮ์ปาเลสไตน์ และผู้ที่จะพ่ายแพ้ ก็คือ ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ผู้ชั่วร้ายและถูกสาปแช่ง ซึ่งปัจจุบันนี้ การคาดการณ์นี้กำลังเป็นจริง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สามเดือนของอาชญากรรมและการสังหารเด็กโดยพวกไซออนิสต์ เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถลืมเลือนในประวัติศาสตร์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าหลังจากรัฐเถื่อนจะถูกทำลายล้างและการลบล้างออกจากพื้นที่โลก อาชญากรรมเหล่านี้จะไม่ถูกลืมเลือนเป็นอันขาด และในประวัติศาสตร์จะบันทึกว่า วันหนึ่ง มีกลุ่มหนึ่งขึ้นสู่อำนาจในภูมิภาคนี้โดยการสังหารเด็กหลายพันคน เป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่ด้วยความอดทนของประชาชนและการยืนหยัดต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ ทำให้พวกเขาต้องล่าถอยออกไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการอธิบายถึงสัญญาณของความพ่ายแพ้และความล้มเหลวของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ หลังจากการก่ออาชญากรรมประมาณ 100 วัน โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “พวกเขาบอกว่า เราจะทำลายกลุ่มฮามาสและขบวนการต่อต้าน และเคลื่อนย้ายผู้คนในฉนวนกาซ่า ซึ่งพวกเขาไม่สามารถกระทำได้ และปัจจุบันนี้ การต่อต้านยังมีชีวิตอยู่และดีและมีความพร้อม ในขณะที่ระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์กำลังเหนื่อยล้า อับอาย และเสียใจ และความเร่าร้อนของการโกหกของอาชญากรก็จะกระทบกับหน้าผากของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความสำเร็จเหล่านี้ เป็นข้อเตือนใจ โดยท่านกล่าวว่า “ข้อเตือนใจนี้ แสดงให้เห็นว่า ควรปฏิบัติตามแนวทางของการยืนหยัดต่อต้านการกดขี่ การใช้ความรุนแรง ความอหังการ และการแย่งชิง ขณะที่การต่อต้านควรทันเหตุการณ์และเตรียมความพร้อม ทั้งจะไม่เพิกเฉยต่อกลอุบายของศัตรู และด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าสถานที่ใดก็ตามจึงสามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “หากพระเจ้าทรงประสงค์ สักวันหนึ่งจะมาถึง เมื่อประชาชาติอิหร่านและประชาชาติมุสลิม จะได้เห็นถึงชัยชนะแห่งความอดทน การยืนหยัด และการมอบความวางใจต่อพระองค์เหนือศัตรูและเหล่ามารร้ายของโลก”

 

700 /