สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ทหารผ่านศึกและกลุ่มนักเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์เข้าพบผู้นำสูงสุด

ประชาชาติที่ยืนหยัดบนสนามแห่งชัยชนะในการต่อสู้ที่อยุติธรรม

บรรดาทหารผ่านศึกและกลุ่มนักเคลื่อนไหวในด้านต่างๆเกี่ยวกับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ หลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำกล่าวอธิบายถึงมิติต่างๆของความยิ่งใหญ่ในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และความสำเร็จของประชาชาติอิหร่านที่ยืนหยัดอยู่บนเวทีแห่งชัยชนะจากการเผชิญหน้าที่แสนยากลำบาก การรักษาบูรณภาพดินแดน การเปิดเผยขีดความสามารถและศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่าน การขยายขอบเขตที่ไม่ใช่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศ ตลอดจนการเติบโตและความแข็งแกร่งของแนวคิดและวัฒนธรรมแห่งการยืนหยัดต่อสู้ทั้งภายในและภายนอกและในโลก อันเป็นผลมาจากการป้องกันโดยทั่วไปของชาวอิหร่านต่อแนวหน้าของเหล่าอันธพาลโลกและซัดดัม ผู้ชั่วร้าย โดยท่านเน้นย้ำว่า “ความเจริญรุ่งเรืองของขีดความสามารถและการเกิดขึ้นของพลังและความคิดสร้างสรรในนวัตกรรมของบรรดาเยาวชนของประเทศในช่วงสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ แสดงให้เห็นว่า พวกเขานั้นมีความสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของประเทศด้วยตนเองมาโดยตลอด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีความโดดเด่นในหน้าประวัติศาสตร์ของอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “หากมีการเสนอถึงแง่มุมที่หลากหลายและมีความหมายของช่วงเวลานั้นและปัจจัยต่างๆแห่งชัยชนะของประชาชาติในสงครามที่ถูกบังคับ ให้กับเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นต่อ ๆ ไป ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของประเทศก็จะดำเนินต่อไป ซึ่งในบริบทนี้ถือว่า มีภารกิจที่มากมาย แต่สำหรับการอธิบายในรายละเอียดปลีกย่อยและรายละเอียดอันน่าอัศจรรย์ของการป้องกันศักดิ์สิทธิ์ ควรที่จะเพิ่มภารกิจให้เป็นร้อยเท่าด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอธิบายถึงส่วนสำคัญของความยิ่งใหญ่ในช่วงสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยออกแบ่งเป็นสี่มุมมองขั้นพื้นฐาน ดังนี้ อะไรคือสิ่งที่ได้รับมาจากการปกป้องในสงคราม ใครคือผู้ที่ถูกปกป้อง ใครคือผู้พิทักษ์ และผลลัพธ์และความสำเร็จของการป้องกันครั้งนี้คืออะไร

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกำจัดและการทำลายล้างการปฏิวัติอิสลามและสาธารณรัฐอิสลามและการแยกออกส่วนๆของประเทศ ล้วนเป็นเป้าหมายหลักของศัตรูในสงครามที่ถูกบังคับ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติอิสลามครั้งใหญ่ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใด เพราะว่า ตราบจนเวลานั้นของการปฏิวัติ ยังไม่มีรัฐบาลที่มีทั้งศาสนาและประชาธิปไตยในโลก และเหล่าพวกอันธพาลโลกต้องการทำลายคำพูดใหม่นี้ กล่าวคือ คำว่า สาธารณรัฐอิสลาม และประชาธิปไตยทางศาสนา ซึ่งจนกระทั่งถึงปัจจุบัน พวกเหล่านี้ก็ยังคงดำเนินตามเป้าหมายนี้ต่อไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สงครามทางชายแดนโดยมีเป้าหมายที่จะแบ่งแยกส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศ นั้นเป็นเรื่องปกติ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ตรงกันข้ามกับสงครามอื่นๆ โดยจุดประสงค์ในการก่อสงครามที่ถูกบังคับนั้น คือ การทำลายการดำรงอยู่ของประเทศ อัตลักษณ์ของประชาชาติ และความสำเร็จของการเสียสละของพวกเขา ซึ่งจากมุมมองนี้ จะทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของช่วงสมัยการป้องกันศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจกับแก่นแท้ของเหล่าผู้รุกรานอิหร่าน เพื่อที่จะเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านกล่าวว่า “เหล่ามหาอำนาจทั้งหมดของโลกในวันนั้น กลายเป็นแนวหน้าเดียวกันและให้การสนับสนุนการโจมตีของซัดดัมต่อประชาชาติอิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงการช่วยเหลือของชาติมหาอำนาจต่อซัดดัม โดยอธิบายเกี่ยวกับรายงานของชาวอเมริกัน ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจหลักของซัดดัมในการโจมตีต่ออิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “นอกเหนือจากความช่วยเหลือทางด้านข่าวกรองอย่างต่อเนื่องแล้ว ชาวอเมริกันยังสอนวิธีการต่อสู้ทางยุทธวิธีแก่เหล่าผู้รุกรานให้อีกด้วย และฝรั่งเศสยังจัดหาอุปกรณ์ทางอากาศที่ทันสมัยที่สุดให้ซัดดัมด้วยเช่นกัน ทั้งเยอรมันก็จัดเตรียมการผลิตอาวุธเคมีในการทำลายล้างให้กับเขา ขณะที่กลุ่มชาติตะวันออกโดยการนำของอดีตสหภาพโซเวียตก็จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งทางบกและทางอากาศให้กับซัดดัมตามที่เขานั้นต้องการ และชาวอาหรับในภูมิภาคก็มอบเงินจำนวนนับไม่ถ้วนให้กับซัดดัมอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความเดียวดายของสาธารณรัฐอิสลามและประชาชาติอิหร่านในการต่อสู้กับแนวรบของเหล่ามหาอำนาจ และซัดดัมกับประเทศชาติอาหรับในภูมิภาค โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชาติที่ยืนอยู่บนเวทีแห่งชัยชนะในการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมนี้ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ และความรุ่งโรจน์ของพวกเขา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวถึงมุมมองที่สามของการอธิบายความยิ่งใหญ่ในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยชี้ให้เห็นว่า ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างเข้าร่วมในการสร้างวีรกรรม อันไม่เสมอเหมือนผู้ใดนี้ โดยท่านกล่าวว่า “ภายนอกของปัญหานี้ ก็คือ ไม่ว่าในสถานที่ใดในโลก ที่กองทัพบกของอิหร่าน รวมถึงกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC )กองทัพ และกองกำลังบะซีญี( Basiji) ทำการป้องกันในการรุกราน แต่ทว่าการป้องกันภายในนั้นถือว่า มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสงครามอื่นๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การบัญชาการของท่านอิมามโคมัยนี ที่มีกลุ่มผู้พิทักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยบุคลิกแห่งพระเจ้า ความรู้ ความคิด วุฒิภาวะ และความบริสุทธิ์ใจทางจิตวิญญาณของท่าน ท่ามกลางความแตกต่างเหล่านี้ โดยท่านกล่าวว่า “อิทธิพลของถ้อยคำที่เกิดขึ้นจากจิตวิญญาณและลมหายใจอันอบอุ่นของท่านอิมามในช่วงเวลาต่างๆ รวมถึง การปลดปล่อยเมืองปาเวห์และการทำลายการปิดล้อมเมืองอาบาดันนั้น ได้ส่งผลอย่างมากต่อแนวรบต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สีสันทางศาสนาของเหล่าผู้พิทักษ์ เป็นความแตกต่างอีกประการหนึ่ง ระหว่างการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และสงครามอื่นๆ โดยท่านกล่าวว่า “การให้ความสนใจต่อพระผู้เป็นเจ้าและจิตวิญญาณในแนวรบต่างๆ การสนับสนุนโดยทั่วไปของประชาชนที่มีต่อเหล่านักรบ และความแน่วแน่ของมารดา บิดาและภรรยาของบรรดาชะฮีด ผู้พลีชีพ ได้เปลี่ยนการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และแนวหน้าให้เป็นสถานที่ในการเคารพภักดีต่อพระเจ้า (มิฮ์รอบ)”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีส่วนร่วมของทุกชนชั้นทางสังคม และการเปลี่ยนมัสยิด  มหาวิทยาลัย และโรงเรียนให้เป็นสถานที่แห่งการลุกขึ้นและการจัดส่งกองกำลังไปยังแนวรบ เป็นอีกประการหนึ่งของการแสดงออกถึงการมีสีสันทางศาสนาในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในภาคส่วนเหล่านี้ มีงานศิลปะที่น่าดึงดูดใจหลายร้อยชิ้น ที่สามารถจะผลิตออกมาได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอธิบายในภาคส่วนที่สี่เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของประชาชาติและประเทศชาติอันไม่เสมอเหมือนผู้ใดและมีจำนวนมากอีกด้วย

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนและการไม่แบ่งออกเป็นส่วนๆ แม้แต่คืบเดียวของดินแดนของอิหร่าน อันเป็นที่เคารพรัก คือ หนึ่งในความสำเร็จเหล่านี้ โดยท่านกล่าวว่า “การเปิดเผยถึงขีดความสามารถอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติ ถือเป็นผลงานที่สำคัญอย่างมากในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในความจริงแล้วคือ การที่ประชาชาติได้ค้นพบและมีความเชื่อมั่นในความยิ่งใหญ่และศักยภาพในกระจกเงาแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตรงกันข้ามกับการโฆษณาชวนเชื่อ และการชักจูงที่น่าอับอายของเหล่าผู้ที่ยึดติดกับชาติมหาอำนาจ เช่น ราชวงศ์กอญอร และปาห์ลาวี เพราะว่า เหล่าศัตรูทั้งหมดนั้นต่างสมคบคิดกันในการต่อต้านพวกเขามานานนับแปดปี แต่ทว่าพวกเหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะกระทำอะไรที่ผิดพลาดได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเจริญรุ่งเรืองของขีดความสามารถของบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวหลายแสนคน เป็นหนึ่งในข้อเท็จจริงที่น่าตื่นเต้นอีกประการหนึ่งของช่วงสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านกล่าวว่า “จากปัญหาเหล่านี้ เรานั้นเชื่อมั่นโดยย้ำว่า บรรดาเยาวชนของประเทศสามารถที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้”

การสร้างภูมิคุ้มกันความปลอดภัยให้กับอิหร่าน เป็นอีกผลลัพท์หนึ่งของสงครามที่ถูกบังคับในช่วงเวลาแปดปี ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นพร้อมทั้งกล่าวว่า “ประเทศที่ได้สร้างภูมิคุ้มกันความปลอดภัย ด้วยการป้องกันโดยทั่วไปจากการโจมตีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ ดังที่เราเห็นว่า พวกเขาพูดออกมาหลายครั้งเกี่ยวกับตัวเลือกทางทหารอยู่บนโต๊ะเจรจา แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถขยับตัวออกจากโต๊ะได้ เพราะว่า ประชาชาติอิหร่านนั้นต่างรู้จักในสงครามอย่างดีและพวกเขาก็ทราบดีว่า พวกเขาอาจจะเป็นผู้เริ่มการเคลื่อนไหว แต่ทว่า ประชาชาติของเราจะทำให้มันจบสิ้นลงอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของอำนาจ ขีดความสามารถในวงกว้าง ความฉลาดหลักแหลม ความคิดริเริ่มสร้างสรร การมีนวัตกรรม และศักยภาพในการเอาชนะเหนืออันธพาลโลกในช่วงแปดปีของสงคราม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เมื่อขีดความสามารถเหล่านี้ของชาติ ถูกเปิดเผยออกมา ก็จะช่วยเพิ่มความหวังและความมีชีวิตชีวา เพื่อได้รับชัยชนะและความก้าวหน้าในเวทีด้านต่างๆ”

การขยายขอบเขตนอกกรอบทางภูมิศาสตร์ของอิหร่าน รวมถึงขอบเขตทางปัญญาและความรู้ ความเข้าใจ ถือเป็นความสำเร็จอีกประการหนึ่งที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ชี้พร้อมทั้งกล่าวว่า “ผลจากความสำเร็จที่สำคัญอย่างมากนี้ ได้เกิดขึ้นจากความหมายสากลของคำว่า การยืนหยัดต่อสู้ในปาเลสไตน์ ซีเรีย อิรักและประเทศอื่นๆ และภารกิจของประชาชาติอิหร่าน ในภูมิภาคต่างๆในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา คือ อีกแบบอย่างหนึ่งของประชาชาติทั้งหลาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเกิดขึ้นและการรวมตัวของวัฒนธรรมแห่งความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นปาฏิหาริย์ของการปกป้องอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านกล่าวว่า “เหล่าพวกอันธพาลโลกมีความปรารถนายังภูมิภาคที่สำคัญของเรา ด้วยเหตุผลต่างๆหลายประการ และด้วยเหตุผลนี้ที่ว่า การเข้าร่วมทางจิตวิญญาณของสาธารณรัฐอิหร่าน และการเพิ่มขึ้นขั้นสูงสุดของวัฒนธรรมในการยืนหยัดต่อสู้ ทำให้เกิดเสียงร้องของอเมริกา และบางคนของพวกเขา แล้วทำไมการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชาติทั้งหลาย จึงเป็นอุปสรรคขัดขวางความเห็นแก่ตัวของพวกเขาด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเติบโตและความแข็งแกร่งของแนวความคิดในการยืนหยัดต่อสู้ภายในประเทศ อันเป็นผลมาจากปีต่างๆแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในช่วงสามสิบกว่าปี นับตั้งแต่สงคราม เรานั้นมีการโจมตีและการก่อวิกฤตความรุนแรงมาหลายครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ได้พบกับความล้มเหลวทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลที่ว่ามีการสร้างสถาบันวัฒนธรรมแห่งการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวสรุปในการปราศรัยของท่านเกี่ยวกับมิติต่างๆของความยิ่งใหญ่ในช่วงสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านกล่าวว่า “จากการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ได้ให้สิทธิในการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศของพวกเรา แต่บางคนกำลังจะทำร้ายมันและสร้างความคลุมเครือ และตั้งคำถามด้วยการบิดเบือนหรือโกหกอย่างเปิดเผยในความยิ่งใหญ่ของมัน ซึ่งเหล่าผู้อธิบายควรที่จะอธิบายและนำเสนอถึงข้อเท็จจริงของสงครามที่ถูกบังคับนี้อย่างดีทีเดียว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ศักยภาพและองค์ประกอบของมนุษยธรรม เป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการเพิ่มของผลงานทางด้านศิลปะที่น่าดึงดูดใจ รวมถึงภาพยนตร์ที่ดี หนังสือ และนวนิยายที่เกี่ยวกับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านกล่าวว่า “เราจะต้องระมัดระวังที่จะไม่ละสายตาออกจากเป้าหมายในภารกิจต่างๆเหล่านี้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม”

ในส่วนสุดท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามโดยท่านกล่าวถึงประเด็นบางประการที่เกี่ยวกับกองทัพบก

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กองทัพบก เป็นหนึ่งในเกียรติยศที่สำคัญของทุกสังคม โดยท่านกล่าวว่า “ประเด็นหนึ่งที่ศัตรูพุ่งเป้าหมาย ก็คือ การก่อความเสียหายต่อคุณค่า เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของกองทัพบก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้เกียรติต่อกองทัพบก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความมั่นคง คือ ทุกสิ่งทุกอย่างของสังคมและประเทศชาติ หากมิได้เป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจก็จะไม่มีความมั่นคงด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง กองทัพบกควรได้รับการดูแลในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งการเข้าร่วม และความพยายามของพวกเขา ล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำให้ว่า ตรรกะของอำนาจในอิสลามนั้นมีความแตกต่างจากตะวันตก ไม่ได้หมายถึง การแสวงหาความเหนือกว่าและทำให้ผู้อื่นต้องพบกับความอับอาย โดยท่านกล่าวกับกองทัพบกว่า “การมีอำนาจไม่ได้ขัดแย้งกับพฤติกรรมที่เมตตาและการใช้ภาษาที่ไพเราะ และเมื่อใดก็ตามที่อำนาจและขีดความสามารถตามธรรมชาติและทางกฎหมายของพวกท่านเพิ่มมากขึ้น พวกท่านก็จะต้องมีความนบน้อมถ่อมตัวและมีการยืดหยุ่นต่อประชาชน ทั้งพวกท่านจะต้องให้ความสนใจต่อพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพมากขึ้นอีกด้วย”

ในช่วงท้าย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเน้นย้ำถึงพันธสัญญาที่มีต่อความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า ในสภาพที่มีเจตนาดีต่อพระองค์ในภารกิจต่างๆ โดยท่านผู้นำยังตั้งข้อสังเกตว่า “ตราบใดที่เราปฏิบัติงานตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อพระองค์ ไม่ว่า เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม พระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือพวกเรา อย่างที่ไม่มีข้อคลางแคลงใดๆ”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม บรรดานักเคลื่อนไหวและนักวิจัย จำนวน 6 คนในสาขาต่างๆที่เกี่ยวกับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีดังต่อไปนี้  ดร. ซะฮ์รอ บัรเซกัร ดร. มัยษัม ซอลีฮี ดร. ซุมัยเยะห์ บุรูญิรดี ดร.ซาอีด อะลามียอน ดร.ฟะรองก์ ญัมชีดี และดร.ฮามิด พอรซอ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการได้รับประโยชน์จากต้นแบบของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ในการแก้ปัญหาทั้งหลายของประเทศ การส่งเสริมด้านวัฒนธรรมแห่งการเสียสละและวิถีแห่งผู้เสียสละชีพ การปกป้องวิถีชีวิตแบบอิหร่าน-อิสลาม การอธิบายถึงคุณค่าให้กับคนรุ่นใหม่อย่างมีศิลปะ และนอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการพัฒนาตามแบบแผนทางวิทยาศาสตร์ที่ครอบคลุมสำหรับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

นายพล บะฮ์มัน คอริกัร ประธานมูลนิธิเพื่อการอนุรักษ์ผลงานและคุณค่าของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ กล่าวรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการและโครงการต่างๆของมูลนิธินี้ รวมถึงในด้านการเทอดเกียรติต่อบรรดาทหารผ่านศึกของช่วงการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และการแสดงต้นแบบของเส้นทางแห่งนูร ไปสู่เส้นทางแห่งความก้าวหน้า

700 /