ประชาชนชาวจังหวัดซีสตานและบาลูชิสตานและแคว้นโครอซานใต้ หลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งในมิตรภาพที่ยืนยาวและต่อเนื่องของประชาชนที่มีศรัทธา และบรรดานักวิชาการชีอะฮ์และอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ในพื้นที่ต่างๆเหล่านี้ การดูแลและการเฝ้าระวังของประชาชาติทั้งหลาย และเหล่าเจ้าหน้าที่ของประเทศทั้งหลาย ถือว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกและท่านยังชี้ให้เห็นถึงแผนการของศัตรูที่เป็นจุดชนวนก่อให้เกิดวิกฤติในอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การทำลายความสามัคคีของชาติและการทำให้ความมั่นคงของชาติมีความอ่อนแอลง เป็นเป้าหมายพื้นฐานและจริงจังทั้งสองประการของพวกเหล่านี้ แต่เราก็จริงจังกับการเผชิญหน้ากับศัตรูด้วยเช่นกัน และเรามั่นใจว่าเหล่าศัตรูของอิหร่านนั้นไม่สามารถที่กระทำความผิดพลาดใดๆโดยมีเงื่อนไขที่ว่า ประชาชาติและบรรดาเจ้าหน้าที่ จะต้องมีความระมัดระวัง การตื่นตัวและมีความฉลาดหลักแหลมอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวในประเด็นหลักของตนจากการพบปะกันครั้งนี้ โดยท่านกล่าวถึงความจำเป็นในการดูแลประชาชาติทั้งหลายและเหล่าเจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆอย่างเต็มที่ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การครอบงำของนักล่าอาณานิคมอังกฤษในศตวรรษที่ 18 ที่มีต่อพื้นที่ๆสำคัญของภูมิภาคเอเชีย รวมทั้ง อนุทวีปอินเดีย และการครอบงำของพวกตะวันตกที่มีต่อพื้นที่ขนาดใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันตก หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อันเป็นผลมาจากการหลับใหลและการเพิกเฉยของประชาชาติทั้งหลายและรัฐบาลต่างๆของภูมิภาคเหล่านี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติต่างๆของภูมิภาคดังกล่าว หลังจากเวลาต่อมา พวกเขาก็ได้รับความเดือดร้อนอย่างมากมาย จนกว่า จะได้รับการปลดปล่อยจากการครอบงำของเหล่านักล่าอาณานิคม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า โลกทุกวันนี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงและจากบางมุมก็กำลังอยู่ในการเปลี่ยนแปลง และท่านผู้นำยังถือว่า การอ่อนแอลงของอำนาจของนักล่าอาณานิคมและการผงาดขึ้นของมหาอำนาจใหม่ๆ ในระดับภูมิภาคและระดับโลก ถือเป็นคุณลักษณะสองประการของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหล่านี้
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อ้างถึงคำพูดของแหล่งข่าวตะวันตกบางแห่ง ที่บอกว่าตัวชี้วัดอำนาจของอเมริกา รวมถึงในด้านเศรษฐกิจกำลังลดลง โดยท่านกล่าวว่า “อำนาจของอเมริกาในการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลต่างๆก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเช่นกัน”
ในบริบทเดียวกันนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ในกาลเวลาหนึ่ง อเมริกาได้ก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 28 เดือนมุรดาด โดยมีการส่งตัวแทนพร้อมด้วยกระเป๋าบรรจุเงินไปยังอิหร่าน แต่ปัจจุบันนี้ ไม่มีประเทศใดเลยที่จะแสดงอำนาจนี้และด้วยเหตุผลนี้เอง สงครามตัวแทนจึงเกิดขึ้น แต่ทว่าแนวทางนี้ก็พบกับความล้มเหลวด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความล้มเหลวในซีเรียและการหลบหนีอย่างน่าอัปยศอดสูออกจากอัฟกานิสถาน ก็เป็นสองตัวอย่างที่ชัดเจนของการลดลงของอำนาจของอเมริกา โดยท่านกล่าวว่า “เหล่ามหาอำนาจ จอมอหังการที่เหลืออยู่ ก็ประสบกับกระบวนการนี้ด้วยเช่นกัน ดังเช่นในทุกวันนี้ ประเทศต่างๆ ในแอฟริกาก็มีการลุกฮือต่อต้านฝรั่งเศส ในฐานะที่เป็นผู้ล่าอาณานิคมมายาวนานของทวีปนี้ และผู้คนก็ได้รับการสนับสนุนจากการลุกฮือเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “แน่นอนว่า เรากล่าวว่า ศัตรูกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแอลง ไม่ได้หมายความว่า เขานั้นไม่สามารถที่จะวางแผน วางกลอุบาย และการโจมตีเรา ด้วยเหตุนี้เอง พวกเรา หมายถึง ประชาชนทั้งหมดทุกคนและบรรดาเจ้าหน้าที่ จะต้องมีการตื่นตัวและมีความระมัดระวัง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ไม่ได้ถือว่า แผนการร้ายของอเมริกาด้วยการผูกขาดกับอิหร่านเท่านั้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ อเมริกามีการวางแบบแผนในภูมิภาค (ตะวันออกกลาง) สำหรับอิรัก ซีเรีย เลบานอน เยเมน อัฟกานิสถาน และแม้แต่ประเทศต่างๆในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเป็นมิตรที่เก่าแก่และดั้งเดิมของอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อธิบายถึงแผนการร้ายของอเมริกา โดยท่านกล่าวว่า “ข้อมูลข่าวกรองของเราแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ก่อวิกฤตต่างๆ ขึ้นในประเทศต่างๆ รวมถึงอิหร่าน ซึ่งมีภารกิจในการค้นหาและกระตุ้นจุดที่พวกเหล่านี้คิดว่าสามารถที่ก่อให้เกิดวิกฤตขึ้นได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ในความคิดเห็นของพวกเหล่านี้ ถือว่า มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์และศาสนา รวมถึงประเด็นเรื่องเพศและผู้หญิง ถือเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดวิกฤตในอิหร่าน ซึ่งพวกเหล่านี้ต้องการที่จะปลุกให้พวกเขา(ประชาชน)สร้างความเสียหายกับประเทศอันทรงเกียรติของเรา แต่ทว่า มันเป็นความฝันที่ห่างไกลจากความเป็นจริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงคำพูดของพวกอเมริกาบางคนที่บอกว่า พวกเขาต้องการสร้างสถานการณ์ในอิหร่านให้เกิดขึ้นเหมือนเช่นในซีเรียและเยเมน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเหล่านี้ไม่สามารถที่จะกระทำเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน โดยมีเงื่อนไขที่ว่า เราจะต้องมีความระมัดระวังและมุ่งมั่น ที่จะไม่เลือกเดินบนเส้นทางที่ผิดพลาด และอย่าได้สับสนระหว่างความเท็จกับสัจธรรม รู้จักวิธีการของศัตรู ไม่ช่วยเหลือศัตรูด้วยคำพูด การกระทำ และการเคลื่อนไหวใดๆ และอย่าหลับใหลหรือเพิกเฉย เพราะแม้แต่เด็กก็สามารถที่จะโจมตีพวกท่านได้เมื่อพวกท่านกำลังหลับอยู่ โดยที่ไม่ต้องพูดถึงศัตรูที่ติดอาวุธและมีการเตรียมพร้อม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี อธิบายถึงมาตรวัดของอัลกุรอานสำหรับการกำหนดเส้นทางแห่งสัจธรรมจากความเท็จ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในอัลกุรอานกล่าวว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)และบรรดาบุคคลที่อยู่ร่วมกับเขา กระทำการอย่างรุนแรงต่อเหล่าผู้ปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้เอง หากว่าการดำเนินตามเส้นทางที่เป็นเหตุทำให้เหล่าผู้ปฏิเสธมีความสุข เส้นทางนั้นก็ไม่ใช่เส้นทางที่อยู่ร่วมกับท่านศาสดา แต่หากว่า การดำเนินตามเส้นทางที่เป็นเหตุให้เหล่าชาติมหาอำนาจเกิดความไม่พอใจและมีความโกรธกริ้ว ทั้งอำนาจต่างๆที่ต่อต้านศาสนาและอิสลาม ถือว่าเป็นเส้นทางที่ดีและเป็นการอยู่ร่วมกับท่านศาสดา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเรียกร้องให้ทุกคน ระมัดระวังคำพูดและพฤติกรรมของตนเองอย่างเต็มที่ และหลีกเลี่ยงออกจากการสอดคล้องกับแผนการร้ายของศัตรู โดยท่านเน้นย้ำว่า “เราต้องระมัดระวังคำพูดที่เราพูดออกมา อย่าได้ไปในทิศทางเดียวกับแผนการร้ายของศัตรูและอย่าได้เติมเต็มตารางงานของเขาอีกด้วยเป็นอันขาด เพราะว่าในบางครั้ง เนื่องจากความเพิกเฉย ไม่ว่าจากคำพูดหรือการกระทำของผู้ใดก็ตาม ก็จะทำให้ตารางงานของศัตรูนั้นมีความสมบูรณ์ ซึ่งนี่คือ อันตรายอันใหญ่หลวง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของเหล่าศัตรูในตลอดช่วงสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากประชาชาติปฏิบัติตามแนวทางของท่านอิมามโคมัยนี ซึ่งถือว่า การชี้ทิศทางของท่านอิมาม ผู้สูงส่งนั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนที่ประสบความสำเร็จของประชาชาติอิหร่านอย่างต่อเนื่อง โดยท่านกล่าวว่า “ศัตรูนั้นมีสองประเด็นพื้นฐานหลัก กล่าวคือ เอกภาพของชาติ และความมั่นคงของชาติ โดยพุ่งเป้าไปยังชาวอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เอกภาพ หมายถึง การอยู่ร่วมกันของชาติพันธุ์และศาสนาที่แตกต่างกัน และการละเว้นความแตกต่างทางการเมือง ศาสนา ชาติพันธุ์ และกลุ่มที่ผลประโยชน์ของชาติเป็นเดิมพัน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกท่านอย่าได้ปล่อยให้ศัตรูทำลายเอกภาพของชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความมั่นคงของชาติ เป็นอีกจุดมุ่งหมายหนึ่งของผู้ประสงค์ร้ายต่ออิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “เหล่าผู้ที่คุกคามต่อความมั่นคงของชาตินั้น เป็นศัตรูของประชาชาติและพวกเขาทำงานให้กับศัตรูโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ประชาชาติของเราได้ตื่นตัวแล้ว และข้าพเจ้ามองในแง่ดีและมีความหวังอย่างมากเกี่ยวกับการตื่นตัวครั้งนี้ของประชาชาติ แน่นอนว่า การมองในแง่ดีนี้ไม่ใช่คำขวัญและการป่าวตะโกน แต่ทว่าเป็นเพราะจากประสบการณ์สี่สิบปีกว่าและการมีอยู่ของสัญลักษณ์ที่โดดเด่นและมีความหวัง เช่น ศักยภาพของบรรดาเยาวชนและความรัก ความจงรักภักดี ความบริสุทธิ์ใจ และการเข้าร่วมอย่างดีของประชาชน เช่น ในช่วงอัรบะอีนของปีนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การขับเคลื่อนของประชาชาติอย่างต่อเนื่องบนเส้นทางอันภาคภูมิใจของการปฏิวัติอิสลาม ด้วยศักภาพนี้ แรงบันดาลใจและความศรัทธา เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านเน้นย้ำให้ว่า หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน บรรดาเจ้าหน้าที่ของประเทศใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะกระทำภารกิจใหญ่โตและสำคัญได้ โดยท่านกล่าวว่า “ศัตรูนั้นมีความจริงจังในความเป็นปฏิปักษ์และการวางแผนการร้าย ขณะที่เราก็มีความจริงจังในการเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างมากด้วยเช่นกัน”
ในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ให้เห็นถึงการเข้าร่วมของประชาชาติอย่างดีในมหกรรมวันอัรบาอีน และขอบคุณชาวอิรักอย่างจริงใจสำหรับการต้อนรับแขกอันมีคุณค่าของพวกเขา และสำหรับผู้แสวงบุญอัรบาอีนทั้งหมด 22 ล้านคน และยังขอบคุณต่อรัฐบาลอิรัก และบรรดาเจ้าหน้าที่ชาวอิรักและเจ้าหน้าที่ตำรวจอิรัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองกำลังฮัชดุชชะอ์บี ที่ให้การรักษาความปลอดภัยในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เรายังขอขอบคุณต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจของเราเองอย่างจริงใจ ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่อันทรงคุณค่าและอย่างดีในด้านการขนส่งและชายแดน ด้วยความยุติธรรม ปฏิบัติงานทั้งกลางวันและกลางคืนและเราควรชื่นชมต่อเจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่เสียสละและเรายังเยาวชนที่ดีในภาคส่วนต่างๆอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวในช่วงตอนต้นของการปราศรัย โดยอธิบายถึงความคุ้นเคยตลอด 60 ปีของตนกับประชาชนชาวจังหวัดซีสตานและบาลูชิสตานและพื้นที่ทางใต้ของโคราซาน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การต่อสู้อย่างเปิดเผยของข้าพเจ้ากับระบอบทรราชเริ่มต้นขึ้นในเดือนมุฮัรรอม ปี 1342 (ปฏิทินอิหร่าน) ที่เมืองบิรญันด์ โดยการเข้าร่วมบรรดานักการศาสนาและประชาชนด้วยความรัก และเดือนรอมฏอนของปีนั้น การขับเคลื่อนนี้ได้เกิดขึ้นต่อเนื่องในเมืองซาฮิดาน ด้วยการสนับสนุนของบรรดานักการศาสนาชีอะฮ์และซุนนี รวมทั้งประชาชนผู้ที่มีศรัทธามั่นในพื้นที่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงช่วงการลี้ภัยในเมืองอีรอนชะฮ์ร และความทรงจำอันหอมหวานและมีความหมายด้วยความรักของบรรดานักการศาสนาอะฮ์ลิซซุนนะฮ์และประชาชนชาวซีสตานและบะลูชิสตาน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พื้นที่ต่างๆเหล่านี้ในเหตุการณ์ทั้งหมด เช่น การต่อสู้กับพวกมุนาฟิกีนและการก่อการร้าย การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ การจัดระเบียบความมั่นคงและการสร้างเอกภาพ โดยที่บรรดาชะฮีด ผู้ทรงเกียรติ ไม่ว่า จะเป็นชีอะฮ์หรือซุนนี ได้เสียสละชีวิตของตนเพื่ออิสลาม ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ เป็นประวัติอันโดดเด่นของพื้นที่เหล่านี้อย่างเห็นได้ชัด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สถานการณ์ในปัจจุบันของซีสตานและบาลูชิสตาน ไม่อาจที่จะเปรียบเทียบกับก่อนการปฏิวัติอิสลามได้ แต่ท่านเน้นย้ำว่า “ถึงแม้การงานอย่างมากมายเสร็จแล้วก็ตาม แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ควรที่จะมีความจริงจัง การให้บริการยังพื้นที่ด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งและขยายการก่อสร้างเส้นทางรถไฟภาคเหนือ-ใต้ ในจังหวัด และการมอบสิทธิของประชาชนในการใช้น้ำ ซึ่งถือเป็นภารกิจที่สำคัญประการหนึ่ง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า หากการอนุมัติการเดินทางไปยังซีสตาน และบาลูชิสตาน ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ได้รับการดำเนินการอย่างสมบูรณ์และไม่มีการละเลยและเพิกเฉยแล้วละก็ภาพลักษณ์ของจังหวัดก็จะมีความแตกต่างในวันนี้ และเราหวังว่ารัฐบาลนี้จะลดปัญหาต่างๆจากการมุมานะในการทำงานและความพยายามอย่างจริงจัง”