ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในการรวมตัวครั้งใหญ่ของประชาชนจำนวนมากมายที่มีความจงรักภักดีและรู้จักคุณค่า ณ ฮะรัมของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)เนื่องในวโรกาสครบรอบปีที่ 34 แห่งการอสัญกรรมของท่าน โดยท่านผู้นำถือว่า อิมาม ผู้ล่วงลับ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกประวัติศาสตร์ของอิหร่าน และด้วยการอธิบายถึง 3 ประการของความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งอิมามโคมัยนีได้นำมาสู่ในระดับประเทศ ประชาชาติอิสลาม และในระดับโลก โดยท่านกล่าวว่า “ความศรัทธาและความหวังของท่านอิมาม เป็นปัจจัยด้านซอฟต์แวร์(ชุดคำสั่ง) และเป็นปัจจัยที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่เหล่านี้ และบุคคลใดและกลุ่มใดก็ตามและกระแสใดก็ตามที่มีความสนใจต่ออิหร่าน ผลประโยชน์ของชาติ การปรับปรุงสถานภาพทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าของประเทศและเกียรติยศของชาติ จะต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อการเสริมสร้างความศรัทธาและความหวังของประชาชนและสังคมให้แข็งแกร่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นผู้ถือธงชัยแห่งสาส์นของพระเจ้าในยุคแห่งความอวิชชาทางอาวุธยุทโธปกรณ์ในศตวรรษที่ผ่านมา และท่านผู้นำสูงสุดยังได้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการของบรรดาเจ้าหน้าที่และประชาชนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาเยาวชน ที่จะต้องรู้จักถึงมิติต่างๆของบุคลิกภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมาม ไม่ได้เป็นเพียงแต่ผู้บุกเบิกในกาลสมัยของเราเท่านั้น แต่ท่านยังเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกประวัติศาสตร์ของอิหร่านอีกด้วย ซึ่งไม่มีผู้ใดและไม่ว่ากระแสใดก็ตามที่จะสามารถลบเขาออกไปจากความทรงจำของประวัติศาสตร์ได้หรือการบิดเบือนเกี่ยวกับเขา ที่มีผล มีความยาวนาน และมีตลอดไป เพราะว่า ดวงอาทิตย์นั้นไม่สามารถที่จะหลบซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงมิติต่างๆที่น่าสะพรึงใจของบุคลิกภาพของอิมามโคมัยนีทางด้านความรู้ ทางศาสนา ความศรัทธาและความยำเกรง (ตักวา) ความมั่นคงทางบุคลิกภาพและความแข็งแกร่งและการมีเจตจำนงค์ การต่อสู้เพื่อพระเจ้าและการเมืองในการปฏิวัติอิสลาม และการสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครองของมนุษย์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “มิติต่างๆทั้งหมดเหล่านี้ ยังไม่สามารถเห็นได้จากบรรดาผู้บุกเบิกคนใดในประวัติศาสตร์ของอิหร่าน ด้วยเหตุผลนี้ ท่านอิมามจึงมีเพียงหนึ่งเดียว ที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปและมีการแนะนำภาพลักษณ์อันสดใสของท่านด้วยเสียงอันเด่นชัดให้กับทั้งหมดทุกคนได้รับทราบ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอิมามโคมัยนีได้สร้างมันขึ้นมาให้แก่ประชาชาติอิสลามและโลก โดยท่านกล่าวว่า “ท่านอิมามได้สร้างการปฏิวัติอิสลามและการได้รับชัยชนะของมันด้วยมือของประชาชน โครงสร้างทางการเมืองของระบอบกษัตริย์เป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลหุ่นเชิดและต่ำต้อยเป็นรัฐบาลที่เป็นอิสรภาพและพึ่งพายังเกียรติยศของชาติ ระบอบการปกครองที่ต่อต้านศาสนาเป็นระบอบการปกครองรัฐอิสลาม ระบอบทรราชไปสู่เสรีภาพ และความไร้อัตลักษณ์ได้กลายเป็นอัตลักษณ์ของชาติ และประชาชาติหนึ่งที่ถูกบดบังด้วยพวกต่างชาติด้วยพลังอันมหัศจรรย์ที่ว่า เราทำได้ ที่จะแก้ไขทุกปัญหาในปัจจุบันและในอนาคต”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวอธิบายถึงมิติต่างๆของการเปลี่ยนแปลงของอิมามโคมัยนีในระดับของประชาชาติ โดยชี้ให้เห็นว่า มีการเกิดขึ้นของความตื่นตัวของอิสลาม การเคลื่อนไหวและการเตรียมความพร้อมที่เกี่ยวข้องกับประชาชาติอิสลาม และการเปลี่ยนจากปัญหาปาเลสไตน์เป็นปัญหาแรกของโลกอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “ท่านอิมามได้ให้ชีวิตแก่ร่างกายที่เศร้าหมองของประชาชาติปาเลสไตน์อีกครั้ง และในปัจจุบันนี้ วันอัลกุดส์สากลได้กลายเป็นเวทีแห่งการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่ถูกกดขี่ มิใช่เพียงในอิหร่านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในเมืองหลวงของประเทศที่ไม่ใช่อิสลามอีกด้วย”
การถอยออกจากความเฉยเมยในการเผชิญหน้ากับพวกวัตถุนิยมและการดึงดูดความสนใจของประชาชาติต่างๆ ให้เข้ามาสู่จิตวิญญาณ เป็นแกนหลักของการเปลี่ยนแปลงของอิมามโคมัยนีในระดับโลก ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ให้เห็นพร้อมทั้งกล่าวว่า “ผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ฟื้นฟูสีสันทางจิตวิญญาณในโลก ซึ่งศูนย์กลางทางการเมืองและสื่อต่างๆของเหล่าผู้ยึดครองได้ทำการโจมตีอย่างรุนแรง และประเด็นทางจิตวิญญาณและความพยายามที่หยาบคายของพวกเขาในการส่งเสริมพวกวัตถุนิยม เป็นปฏิกิริยาที่ต่อต้านในการเปลี่ยนแปลงนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากมาย ณ ฮะรัมอันบริสุทธิ์ของอิมามโคมัยนี ด้วยการวิเคราะห์ถึงปัจจัยต่างๆทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เป็นตัวช่วยให้อิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง มีความต่อเนื่องในกระบวนการของการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า หน้ากระดาษและเทปคาสเซ็ทที่บันทึกเสียง เป็นปัจจัยด้านฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียวของอิมามโคมัยนีในการส่งสารและคำพูดของเขาไปยังผู้คน โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “สิ่งที่ทำให้ท่านอิมาม มีความสามารถในการขับเคลื่อนต่างๆอย่างน่ามหัศจรรย์ได้ ก็คือ ปัจจัยทางด้านซอฟต์แวร์อันสำคัญสองประการ นั่นหมายถึง ความศรัทธาและความหวัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงคำพูดของชะฮีดมุเฏาะฮะรี หลังจากที่เขาพบปะกับอิมามโคมัยนีในกรุงปารีส โดยท่านกล่าวเสริมว่า “มุเฏาะฮะรี ซึ่งเขานั้นเป็นดั่งภูเขาแห่งศรัทธา เขาได้เห็นถึงศรัทธาสี่ประการในตัวของท่านอิมามโคมัยนี กล่าวคือ ศรัทธาในเป้าหมาย ศรัทธาในแนวทาง และศรัทธาในประชาชน และศรัทธาที่สูงกว่าทั้งหมดก็คือ ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความศรัทธาในพระเจ้าตามแนวทางของอิมามโคมัยนี หมายถึง การต่อสู้กับเหล่าศัตรูของพระเจ้า กล่าวคือ การมีความศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อพันธสัญญาของพระองค์ และท่านผู้นำยังได้ยกหลักฐานจากโองการต่างๆ ของอัลกุรอาน อันทรงเกียรติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงให้สัญญาไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ช่วยเหลือพระองค์ เขาก็จะได้รับชัยชนะ และพระองค์ทรงสัญญาอีกว่า จะทำให้ย่างก้าวของบรรดาผู้ศรัทธา มีความมั่นคงและแข็งแกร่ง จะเป็นผู้ที่ปกป้องบรรดาผู้ศรัทธา และสัจธรรมและทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน จะมีอยู่อย่างถาวร และยังทรงทำให้ความเท็จต้องมลายและหายไปเหมือนดั่งฟองที่บนน้ำ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเกิดระยะห่างระหว่างอิสลามที่อิมามโคมัยนี มีศรัทธากับอิสลามแห่งทุนนิยมและอิสลามในรูปแบบผสมผสานของเหล่านักคิดสมัยใหม่ที่ไม่ใฝ่รู้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามนั้น มีศรัทธาต่ออิสลาม พระคัมภีร์และซุนนะฮ์ พร้อมด้วยการอิจญ์ติฮาดที่มั่นคงและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และท่านอิมามได้ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ต่อการตีความของเหล่านักคิดสมัยใหม่ที่อ้างถึงแต่ทว่าไม่มีความรู้ ดังเช่นที่ ท่านอิมามได้ต่อต้านอิสลามของพวกที่สร้างความยากลำบาก จากการปฏิเสธการตีความข้อกฎหมายทางการเมือง การปกครอง และสังคมของอิสลามแบบผิวเผินและการส่งเสริมไม่ให้มีความรับผิดชอบ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงอีกมิติอีกประการหนึ่งของความศรัทธาของอิมามโคมัยนี หมายถึง การมีศรัทธาในประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “ท่านอิมามนั้นมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในโองการต่างๆ ของพระเจ้า และมีความเชื่อมั่นและมีศรัทธาอย่างลึกซึ้งในแรงจูงใจและการกระทำของประชาชน รวมถึงการลงคะแนนเสียงของพวกเขา และในทางตรงกันข้ามกับบางคนที่เปิดเผยการแสดงออกถึงความกังวลใจ โดยที่พูดว่า ข้าพเจ้านั้นรู้จักประชาชนดีกว่าและมากกว่าพวกคุณเสียอีก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความจงรักภักดีของประชาชาติต่อแนวทางของอิมามโคมัยนี ความอดทนและความศรัทธาของครอบครัวบรรดาชะฮีด ความพยายามของเหล่าเยาวชนและการรวมตัวกันครั้งใหญ่ของประชาชนในการรำลึกเรื่องราวของศาสนาและประเด็นทางศาสนาและการปฏิวัติอิสลาม แสดงให้เห็นถึงความถูกต้องและความลึกซึ้งของความเข้าใจของท่านอิมามที่มีต่อประชาชาติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเรียกว่า สาธารณรัฐ ในนามของระบอบการปกครอง นั่นหมายถึง สาธารณรัฐอิสลาม อันเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากการมีความเชื่อมั่นและความศรัทธาของท่านอิมาม ผู้สูงส่งที่มีต่อประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวอธิบายถึงตัวอย่างของความลึกซึ้งของความคิดขั้นพื้นฐานของอิมามโคมัยนีที่มีต่อสาธารณรัฐ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ท่านอิมาม (ร.ฎ.) ดังเช่นในช่วงบั้นปลายของชีวิต เปิดเผยว่า ท่านไม่ได้ลงคะแนนเสียงให้กับประธานาธิบดีคนแรก แต่ทว่า เนื่องจากประชาชนนั้นมีความเชื่อมั่นต่อเขา ท่านจึงดำเนินการรับรองประธานาธิบดีคนนั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการอธิบายถึงความหวัง ซึ่งถือเป็นปัจจัยทางด้านซอฟต์แวร์ประการที่สองในรอบหลายทศวรรษของการขับเคลื่อนที่สร้างการเปลี่ยนแปลงของอิมามโคมัยนี โดยท่านกล่าวว่า “ความหวัง ถือเป็นองค์ประกอบและกลไกของการขับเคลื่อนของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ โดยในช่วงทศวรรษที่ 20 ที่มีการกล่าวถึงการต่อสู้เพื่อพระเจ้า และในช่วงทศวรรษที่ 40 ก็มีการนำเข้ามาสู่ภาคสนาม และในช่วงทศวรรษที่ 60 ก็ไม่มีการก้มหัวให้กับผู้ใด ซึ่งอยู่ท่ามกลางพายุอันน่าหวาดกลัวทางการทหาร ความมั่นคงและการเมือง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความหวังอันคงที่ตลอดไปของอิมามโคมัยนี และการหลีกเลี่ยงออกจากความสิ้นหวัง อันเป็นผลมาจากการพึ่งพายังศรัทธาของบุคลิกภาพอันนิรันดร์ของเขา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ดังที่ท่านอิมามได้กล่าวเองว่า ไม่มีวันที่จะสิ้นหวังเป็นอันขาดและท่านยังเชื่อมั่นว่าเมื่อประชาชาตินั้นที่ต้องการสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงอย่างแน่นอน และท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามยังชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลที่มีร่วมกันและการเพิ่มมากขึ้นของความศรัทธาที่ชัดเจนและความหวังที่แท้จริงที่มีต่อกันและกัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความหวังนั้นมาพร้อมกับการขับเคลื่อนและไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความเกียจคร้าน และเหล่าผู้ใดก็ตามที่ไม่มีการขับเคลื่อนและนิ่งเฉย เพื่อที่จะไปถึงยังจุดหมายปลายทาง ขณะที่ในฮะดีษต่างๆได้กล่าวว่า เขาผู้นั้นจะถูกประณามอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม หลังจากที่ได้กล่าวอธิบายถึงมิติต่างๆของศรัทธาและความหวังของอิมามโคมัยนีแล้ว ก็ได้เชิญชวนประชาชาติทั้งหมดทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาว ที่เต็มไปด้วยกำลังใจและความพยายามอย่างหนัก ให้ปฏิบัติตามบทเรียนต่างๆของอิมามโคมัยนี สำหรับการเดินทางที่ยาวไกลและการปฏิบัติภารกิจต่างๆที่ยิ่งใหญ่ซึ่งอยู่เบื้องหน้า โดยท่านกล่าวว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บทเรียนและคำแนะนำที่สำคัญที่สุดของท่านอิมามสำหรับเรา คือ การดำเนินตามแนวทางของท่าน การปกป้องมรดกอันล้ำค่าของท่าน และการติดตามการเปลี่ยนแปลงทั้งสามประการในระดับประเทศ ประชาชาติและในระดับโลก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ถือว่า ข้อกำหนดและเครื่องมือต่างๆที่จำเป็นในการปฏิบัติตามแนวทางและเป้าหมายของอิมามโคมัยนี มีความแตกต่างจากวิธีการที่นำมาใช้เมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา และในขณะเดียวกัน ท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า การจัดแนวรบไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง และปัจจุบันนี้ ก็เหมือนเช่นเดียวกันกับในอดีตที่ผ่านมา แนวรบของชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ แนวรบของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และแนวรบของเหล่าผู้ฉ้อฉล ผู้ละเมิด ที่กำลังจัดแถวเพื่อเผชิญหน้ากับประชาชาติอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ความแตกต่างระหว่างแนวรบในวันนี้กับเมื่อวาน ก็คือ ประชาชาติอิหร่านนั้นมีความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นและพวกเหล่านั้นกลับมีความอ่อนแอลง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเตือนว่า การลืมว่าแนวรบนี้เป็นดั่งหุบเขาที่มีอันตรายอยู่เบื้องหน้าของประชาชาติ และท่านได้เน้นย้ำให้เห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่เราลืมแนวรบนี้ เราก็จะถูกโจมตี โดยท่านกล่าวว่า “การสร้างการเปลี่ยนแปลงของท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ คือ การทำให้เหล่าศัตรูที่ดื้อรั้น เต็มไปด้วยกับความโกรธแค้นและความอาฆาตมาดร้าย เป็นอาชญากรและผู้ละเมิด ซึ่งประชาชาติอิหร่าน จะต้องใช้ซอฟต์แวร์แบบเดียวกันกับท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ กล่าวคือ ความศรัทธาและความหวังในการเผชิญหน้ากับพวกเหล่านั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวกับประชาชน บรรดาเยาวชน กลุ่มชนชั้นนำทางปัญญา กลุ่มต่างๆของการปฏิวัติอิสลาม และกลุ่มทางการเมือง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่มีความรักต่ออิหร่านและผลประโยชน์ของชาติและการปรับปรุงสภาพทางเศรษฐกิจ และต้องการที่จะแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่สร้างความเจ็บปวดและปัญหาค่าครองชีพ และต้องการที่จะเห็นอิหร่านอยู่ในสถานภาพที่สูงส่งด้วยเกียรติยศ ในระเบียบโลก จะต้องมีความพยายามในการส่งเสริมและการรักษาความศรัทธาและความหวังให้คงอยู่ในประเทศตลอดไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ตรงกันข้ามกับความเข้าใจผิดของบางคน ที่ว่า ความเป็นปฏิปักษ์ของชาติมหาอำนาจ จอมอหังการและพวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์สากล ที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน จะไม่จืดจางหรือหายไป เนื่องจากการล่าถอยของเราในบางจุดยืน โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในหลายกรณี การล่าถอยของเรา เป็นเหตุให้พวกเหล่านั้นเข้ามาล้ำหน้าและมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะว่า เป้าหมายหลักของพวกเหล่านั้น คือ การทำให้อิหร่านกลับไปสู่ยุคสมัยก่อนการปฏิวัติอิสลาม หมายถึง ยุคที่จะต้องพึ่งพาและไร้อัตลักษณ์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมในบริบทนี้ว่า “บางรัฐบาลในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ มีผู้คนที่เชื่อในการล่าถอยและการยอมอ่อนข้อให้ แต่ทว่าหนึ่งในรัฐบาลเหล่านี้ ก็คือ ประเทศเดียวกันกับที่เราได้ล่าถอย กลับออกคำฟ้องร้องประธานาธิบดีของเราและเรียกร้องให้มีการลงโทษเขาและมีการขึ้นศาลโดยไม่ปรากฏตัวของเขา หรือในรัฐบาลอื่นๆ ซึ่งช่างน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่พวกเหล่านี้ได้ช่วยเหลือชาวสหรัฐฯและเรียกอิหร่านว่า เป็นแกนหลักของความชั่วร้าย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายหลักของความพยายามของเหล่าศัตรู คือ การทำให้ศรัทธาของประชาชนมีความอ่อนแอลงและการดับไฟแห่งความหวังที่มีอยู่ในหัวใจทั้งหลาย โดยท่านกล่าวว่า “การรักษาเอกราช เกียรติและศักดิ์ศรี และผลประโยชน์ของชาตินั้น ขึ้นอยู่กับการรักษาศรัทธาและความหวัง และในหลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ หน่วยงานและองค์กรต่างๆของชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ และหน่วยงานความมั่นคง การเมืองและการเงินของพวกเหล่านั้นต่างกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถกระทำได้สำหรับการทำให้ความศรัทธาและความหวัง มีความอ่อนแอ ซึ่งหลายกรณีที่พวกเหล่านั้นมีความก้าวหน้า แต่ทว่า ส่วนมากของกรณีเหล่านี้ ด้วยความสำเร็จของพระเจ้า ได้ทำให้พวกเหล่านั้นได้รับความพ่ายแพ้และความปราชัยต่อประชาชาติอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การก่อจลาจลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นชุดความพยายามครั้งล่าสุดของเหล่าศัตรู ซึ่งแน่นอนว่าจนถึงปัจจุบันนี้ และท่านผู้นำสูงสุดยังได้กล่าวอธิบายถึงองค์ประกอบที่ก่อตัวขึ้น โดยท่านกล่าวว่า “การวางแผนอย่างครอบคลุมของการก่อจลาจลเหล่านี้ได้ดำเนินการในคลังสมองของประเทศชาติตะวันตกและดำเนินการโดยการสนับสนุนทางการเงิน อาวุธ และสื่ออย่างกว้างขวางจากหน่วยงานต่างๆ ด้านความมั่นคงของชาติตะวันตกและองค์ประกอบที่ทรยศและทหารรับจ้างที่หันหลังให้กับมาตภูมิและปัจจัยต่างๆของนโยบายที่เป็นศัตรูกับอิหร่าน ซึ่งแน่นอนว่า การผสมผสานกันระหว่างผู้คนจำนวนน้อยที่มีอคติและคนจำนวนมากที่เพิกเฉยที่มีความรู้สึกอ่อนไหวและตื้นเขิน กับกลุ่มอันธพาลจำนวนหนึ่ง ถือเป็นทหารราบของการเคลื่อนไหวนี้ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงการดำเนินการบางประการที่เป็นปฏิปักษ์อย่างลึกซึ้งของชาติตะวันตกในเหตุการณ์ก่อความไม่สงบเหล่านี้ เช่น การสอนให้รู้จักถึงวิธีการทำระเบิดมือในสื่อต่างประเทศอย่างชัดเจน การส่งเสริมสโลแกนในการแบ่งแยกดินแดนและการเคลื่อนไหวด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ การถ่ายภาพที่ระลึกของนักการเมืองอาวุโสของรัฐบาลชาติตะวันตกบางแห่งพร้อมกับดูเหมือนว่าเป็นทหารรับจ้างของชาวอิหร่านและการทุบตีนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักศึกษาศาสนาและเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารบะซีจญ์ อีกทั้งการทำให้พวกเขาเป็นชะฮีด ล้วนเป็นการกระทำของทหารราบของศัตรูทั้งสิ้น โดยท่านกล่าวว่า “พวกเหล่านั้นต่างคิดว่า ภารกิจของสาธารณรัฐอิสลามได้สิ้นสุดลงแล้วและพวกเขายังสามารถใช้ประชาชาติอิหร่านเพื่อที่จะบรรลุสู่เป้าหมายของพวกเขาได้ แต่ทว่า พวกโง่เขลาเหล่านี้ต่างกระทำผิดพลาดอีกครั้งและไม่รู้จักประชาชาติอิหร่านอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความเฉลียวฉลาดของประชาชนในการไม่ใส่ใจต่อเสียงเรียกร้องของเหล่าผู้ที่ประสงค์ร้ายต่ออิหร่าน และการแสดงบทบาทของบรรดาเยาวชนที่มีความรับผิดชอบตามท้องถนนและมหาวิทยาลัย เป็นการรู้จักหน้าที่ของอาสาสมัครนักศึกษาและบะซีจญี(กองทหารอาสาสมัครภาคประชาชน)ทั้งหมด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ศัตรูพบกับความล้มเหลว และในขณะเดียวกัน ท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “แผนร้ายของศัตรูเป็นโมฆะ แต่ทว่าคำเตือนนี้ ได้มีให้กับทุกคนว่า พวกท่านทั้งหลายจะต้องไม่เพิกเฉยต่อกลอุบายของศัตรูเป็นอันขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวอธิบายถึงกลยุทธ์ของแนวรบที่ตรงกันข้ามสำหรับการทำให้บรรดาเยาวชนต้องพบกับความสิ้นหวัง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความพยายามของพวกเหล่านั้น คือ การทำให้เยาวชนชาวอิหร่านต้องพบกับความสิ้นหวัง ด้วยการทำให้เกิดปัญหาต่างๆที่เกี่ยวกับค่าครองชีพ เงินเฟ้อ และสินค้าราคาแพง ในขณะที่ ในประการแรก ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ และด้วยความสำเร็จของพระเจ้า ปัญหาเหล่านี้จะได้รับการแก้ไข และประการที่สอง การพบปัญหาเหล่านี้ควรที่จะเพิ่มแรงจูงใจในการแสวงหาวิธีการแก้ไขและการช่วยเหลือต่อผู้ที่มีความพยายามในแก้ไขปัญหาในภาคสนาม และประการที่สาม นอกจากปัญหาเหล่านี้แล้ว ยังมีปรากฏการณ์ต่างๆอย่างมากมายที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งเหล่าผู้ที่ประสงค์ร้ายต่างไม่ต้องการที่จะเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความก้าวหน้าของประเทศ ในเวทีทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงสร้างต่างๆ ที่มีความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม และการคมนาคม การอบรมทรัพยากรมนุษย์ การขับเคลื่อนในการก่อสร้างในพื้นที่ของกลุ่มชนที่ด้อยโอกาสและอยู่ห่างไกลของประเทศ ความก้าวหน้าทางการเมืองระหว่างประเทศ เกียรติยศของชาติและการมีอำนาจทางการทหารและการป้องกันประเทศ เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นความหวังและเป็นข่าวดีสำหรับอนาคตอันสดใส โดยท่านกล่าวว่า “ศัตรูต้องการให้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ถูกลืมเลือนและเยาวชนชาวอิหร่านจะได้ไม่รับรู้ถึงประเด็นเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงบางคนด้วยเหตุผลที่ว่ามีการบ่อนทำลายความหวังและการให้ความหวัง และกล่าวหาว่าผู้อื่นนั้นไม่รู้ถึงข้อเท็จจริง โดยท่านกล่าวว่า “พวกเหล่านั้นบอกว่าพวกท่านนั้นไม่รู้ถึงข้อเท็จจริง ในขณะที่ความจริงที่พวกเหล่านั้นกำลังพูดถึงก็คือ ปัญหาต่างๆทางด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพ ซึ่งทั้งหมดสามารถรับรู้ได้และพวกเขากำลังเดือดร้อนอยู่”
การดำเนินการของบางคนที่อ้างถึงการดำรงอยู่ของผู้คนที่ไม่ยึดมั่นในศาสนาและการปฏิวัติอิสลามในระดับชั้นของสังคมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เป็นการบ่อนทำลายความหวังในหัวใจทั้งหลาย ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ให้เห็นพร้อมทั้งกล่าวว่า “ประเด็นนี้ ไม่ได้เฉพาะกับปัจจุบันนี้ และแม้แต่ในทศวรรษที่ 60 ก็มีแนวรบที่เต็มไปด้วยบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวที่มีศรัทธา ขณะที่ผู้คนในกรุงเตหะรานและเมืองใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่มีความสนใจและไม่มีความรับผิดชอบเท่านั้น แต่ทว่า พวกเขายังเย้ยหยันต่อประเทศ ซึ่งจากการอธิบายชีวประวัติของบรรดานักรบและรายงานถึงความรู้สึกของพวกเขา ในขณะที่พวกเขากลับสู่เมืองใหญ่ ก็ด้วยกับสาเหตุนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ ก็มีผู้คนที่ไม่ยึดมั่นในอิสลามและการปฏิวัติอิสลาม แม้แต่พันธสัญญาของชาวอิหร่าน แต่ทว่าพวกเขานั้นไม่ใช่ประชาชาติอิหร่าน เช่นเดียวกับในมะดีนะตุลนะบี ได้กลุ่มชนหนึ่ง ซึ่งในอัลกุรอานเรียกพวกเขาว่า พวกมุนาฟิกีน(เหล่าผู้กลับกลอก) หรือ พวกมุรญิฟูน หมายถึง เหล่าผู้คนที่กุข่าวลือ ได้สร้างความหวาดกลัวและแพร่กระจายความสงสัย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การขยายวงกว้างของแกนของการยืนหยัดต่อสู้หลายพันแกนในมัสญิดและคณะต่างๆทั่วประเทศ และการเกิดขึ้นของเหล่าเยาวชนที่ป้องกันฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์และความปลอดภัยจากพวกเขา การมีอยู่ของบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยและนักศึกษาศาสนาด้วยการมีบะศีเราะฮ์(การรู้แจ้งเห็นจริง) และความมั่นคง กลุ่มนักเคลื่อนไหวแบบญิฮาดตับยีน (การต่อสู้เชิงการอธิบาย) และกลุ่มต่างๆที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เป็นจุดต่างๆที่สร้างความหวังในการขับเคลื่อนอันน่าภาคภูมิใจของประชาชาติ และบรรดาเยาวชน แม้จะมีความผิดพลาดก็ตาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บรรดานักขับเคลื่อนทางศาสนาและมหาวิทยาลัย และผู้ที่มีสถานภาพทางสังคม และผู้ที่เป็นที่สนใจของประชาชนต่างพยายามที่จะเสริมสร้างความศรัทธและความหวังของประชาชนให้แข็งแกร่ง ด้วยการขจัดความคลุมเครือ และการทำให้วิธีการของผู้ประสงค์ร้าย สำหรับการทำให้บรรดาเยาวชนมองในแง่ร้ายต่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ต่อการขับเคลื่อนทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งการทำให้ผู้คนมองกันในแง่ร้ายหมดสิ้นไป”
“การทำให้ประชาชนมองถึงการเลือกตั้งในแง่ร้าย” เป็นอีกวิธีหนึ่งในการสร้างความสิ้นหวังของศัตรู ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ให้เห็นพร้อมทั้งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงประเด็นการเลือกตั้งในอนาคตต่อไป แต่ทว่า การเลือกตั้งในปีนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งศัตรูต่างพยายามที่จะทำลายมันด้วยการปฏิบัติการครั้งใหญ่ ในขณะที่เรานั้นอยู่ห่างจากการเลือกตั้งเพียง 9 เดือนเท่านั้น”
ในช่วงเริ่มต้นของงานดังกล่าว ฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดฮะซัน โคมัยนี ผู้ดูแลฮะรัมอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้กล่าวอธิบายถึงการปฏิวัติอิสลาม ถือเป็นการปฏิวัติที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างมากที่สุดในโลก และระบอบสาธารณรัฐอิสลาม เป็นมรดกอันยิ่งใหญ่ของอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) และการพึ่งพาประชาชนโดยผ่านการเลือกตั้ง อีกทั้ง การทำให้เป้าหมายของอิสลามได้รับความก้าวหน้าด้วยหลักนิติศาสตร์อิสลามและการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของชาติในรูปแบบของความเป็นอิสระทางการเมือง ล้วนเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่สำคัญมากที่สุดของรัฐอิสลาม