สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประชาชนแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออกหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

สาส์นของประชาชาติในวันที่22 บะห์มัน คือการยืนหยัดและการสนับสนุนการปฏิวัติ

บรรดาประชาชนจากแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออกหลายพันคน ได้เข้าพบปะท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในฐานะผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำถือว่า ประชาชนชาวอาเซอร์ไบจาน เป็นผู้ถือธงชัยแห่งเอกภาพและเสรีภาพของอิหร่าน และท่านยังได้แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่านในการสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งในวันที่ 22 เดือนบะห์มัน  โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “การสร้างวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่นี้ อันเป็นผลมาจากการไม่เบี่ยงเบนและการยืนหยัดของประชาชาติบนแนวทางของการปฏิวัติอิสลาม และเส้นทางนี้ เป็นเส้นทางแห่งความก้าวหน้าและการมีอำนาจด้วยเอกภาพของชาติและการมีวิสัยทัศน์ต่อการปฏิวัติอิสลาม ไม่ใช่การมีมุมมองแบบล้าหลังในการแก้ไขปัญหาต่างๆ หมายถึง การพึ่งพายังความสำเร็จต่างๆ  ทั้งการขับเคลื่อนในรูปแบบญิฮาดี ทั้งยามกลางวันและกลางคืนของบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหมดทุกคน เพื่อทำให้เศรษฐกิจมีความเจริญเติบโตและปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาค่าเงินเฟ้อ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงมิติต่างๆในการขับเคลื่อนอันทรงคุณค่าของประชาชาติใน วันที่ 22 เดือนบะห์มัน โดยท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่าศัตรู แม้ว่าจะมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นกับประชาชนก็ตาม ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บหรือปัจจัยอื่นๆ โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชน ผู้ศรัทธาและผู้มีวิสัยทัศน์ที่แท้จริง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเหล่านี้แต่อย่างใด ขณะที่ประชาชนทั้งหมด ไม่ว่าจะมาจากตะวันออกจนถึงตะวันตก และจากเหนือจรดใต้ โดยพวกเขาได้เข้าร่วมในภาคสนาม และส่งเสียงอันดังของตนเองเพื่อให้ทั้งหมดทุกคนได้ยินเสียงนั้น ซึ่ง เฉพาะพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ที่ควรค่าต่อการขอบคุณจากการขับเคลื่อนที่แท้จริงนี้ของประชาชาติที่ยิ่งใหญ่”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันเสาร์แห่งการสร้างประวัติศาสตร์ของประชาชาติ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการยืนหยัดของชาติมาอย่างต่อเนื่อง และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นถึงการเบี่ยงเบนทีละน้อยบนแนวทางหลักของการขับเคลื่อนในการปฏิวัติต่างๆ โดยท่านกล่าวว่า “ในการปฏิวัติอิสลาม ขณะที่บางคนได้หันเหออกจากเส้นที่เที่ยงตรงของการปฏิวัติอิสลาม และการกระทำของพวกเขาได้ต่อต้านหลักการและอุดมการณ์ของการปฏิวัติอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ตรงกันข้ามกับองค์ประกอบเหล่านี้ ประชาชาตินั้นยังคงดำเนินต่อไปบนเส้นทางที่เที่ยงตรงโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง และปราศจากความหวาดกลัวต่อการโจมตี การคุกคามและการโจมตีของศัตรู ด้วยการรักษาเอกลักษณ์ บุคลิกภาพและความยิ่งใหญ่ของตน และบนเส้นทางเดียวกันในวันที่ 22 เดือนบะห์มันของปีนี้ พวกเขาได้ออกมาตามท้องถนนทั่วประเทศและด้วยแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดอย่างเต็มความหมายและการต่อสู้กับศัตรูที่ดื้อรั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเตือนถึงความพยายามของศัตรูและองค์ประกอบบางอย่างภายในที่จะทำให้เจตจำนงค์มุ่งมั่นของประชาชาติ ต้องพบกับความอ่อนแอและการลืมเลือนแนวทางของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของการก่อจลาจลในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คือ การทำให้ประชาชนลืมเลือนวันที่ 22 ของเดือนบะห์มัน โดยที่ว่าบางคนอ้างเหตุผลที่อ่อนแอและคำพูดที่ผิดพลาดบนเส้นทางนี้บนหน้าหนังสือพิมพ์และในพื้นที่ทางสื่อไซเบอร์ แต่แน่นอนว่า ประชาชนได้ทำให้แผนการเหล่านี้พบกับความล้มเหลว”

การเข้าร่วมของประชาชนด้วยการวิเคราะห์ เป็นลักษณะพิเศษประการหนึ่งจากการเดินขบวนอันรุ่งโรจน์ของวันที่ 22 เดือนบะห์มัน ซึ่งถือเป็นประเด็นหนึ่งที่ได้รับการยกย่องจากท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “จากการให้สัมภาษณ์ของประชาชน เป็นที่ชัดเจนว่า พวกเขาได้เข้าร่วมในการเดินขบวนด้วยการวิเคราะห์ และพวกเขาต่างเข้าใจว่าอเมริกานั้นมีความหวาดกลัวต่อการเข้าร่วมของพวกเขา โดยที่พวกเขาเข้าร่วมด้วยความกระตือรือร้นและมีความสุข ด้วยการมีกำลังใจและมีแรงจูงใจ และด้วยสโลแกนที่มีความหมาย การกำหนดทิศทางหลักของตน ซึ่งหมายถึง การแสดงให้เห็นว่ามีการสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการปฏิวัติอิสลามและระบอบสาธารณรัฐอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “อาณาจักรการสื่อสารของพวกอเมริกาและไซออนิสต์ กำลังพยายามป้องกันเพื่อไม่ให้เสียงนี้เข้าไปถึงหูของประชาชาติอื่นๆ แต่ทว่าพวกเขาควรที่จะได้ยิน หมายถึง  หน่วยงานต่างๆที่กำหนดนโยบายของอเมริกาและอังกฤษ และหน่วยสอดแนมของศัตรู จะต้องได้ยินเสียงนี้อย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงการโฆษณาชวนเชื่อที่โกลาหลในโลกไซเบอร์และการสื่อสารของศัตรูในหลายวันก่อนวันที่ 22 เดือนบะห์มัน โดยท่านกล่าวว่า “ยังมีเสียงที่คัดค้านและต่อต้าน ซึ่งสื่อเหล่านี้พยายามที่จะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่เสียงและการตะโกนของประชาชาตินั้นมีชัยชนะเหนือเสียงอื่นๆ”

การอธิบายเรื่องโกหกและจุดด้อยจากข้ออ้างของศัตรูที่เกี่ยวกับสาธารณรัฐอิสลาม เป็นอีกประเด็นหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “บางครั้งพวกเหล่านั้นพูดจาโกหกอย่างโจ่งแจ้งว่า รัฐกำลังจะถดถอย ในขณะที่ประเทศนั้นมีความแตกต่างจากเมื่อสองสามทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีปัญหาต่างๆก็ตาม และได้มาไกลเป็นอย่างมากแล้ว บางครั้งพวกเหล่านั้นต่างพูดว่าสาธารณรัฐอิสลามกำลังจะถึงทางตันแล้ว หากว่าคำกล่าวอ้างนี้เป็นความจริง ผู้ที่จะมาถึงทางตันแล้ว เขาก็จะต้องล้มลงกองไปกับพื้นดิน แล้วทำไมพวกคุณถึงใช้จ่ายอย่างมากมาย เพื่อที่จะทำให้รัฐต้องล้มลงด้วย?

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการโจมตีและการสร้างความคลุมเครือหลายครั้งของศัตรูที่เกี่ยวกับความจำเป็นที่ว่า อิหร่านนั้นไร้ความสามารถทางการทหาร โดยท่านกล่าวว่า “ประการแรก ประเทศที่มีศัตรูเป็นจำนวนมาก จะต้องคิดถึงตัวเองและประชาชาติของตนก่อน เช่นเดียวกับในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลาม ขณะที่ข้าพเจ้าเข้าใจว่า มีบางคนต้องการที่ขายเครื่องบิน F-14 แล้วข้าพเจ้าก็เร่งรีบที่จะให้สัมภาษณ์และได้เปิดโปง อีกทั้งยังทำให้การเคลื่อนไหวนี้ได้พบกับความล้มเหลว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นย้ำว่า “ด้วยหลักเหตุผลและหลักศาสนบัญญัติ เรานั้นได้ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ในด้านการป้องกัน และตามกฏของอัลกุรอาน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราจะพยายามอย่างดีที่สุดในด้านนี้ในอนาคต”

ในบริบทเดียวกันนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ประเทศได้มีการทำงานและการลงทุนในด้านอื่นๆ รวมถึงอุตสาหกรรม กิจการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างถนนและการสร้างเขื่อน และด้านอื่นๆ และกิจการการป้องกันประเทศในหลายเท่า แต่ทว่าศัตรูซึ่งเห็นได้ชัดว่า มีความหวาดกลัวต่อการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับโดรนของอิหร่าน และการปฏิเสธความก้าวหน้าอื่นๆ อีกทั้งการทำให้ประเด็นของการป้องกันมีความโดดเด่น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวสรุปส่วนนี้ในการปราศรัยของท่าน โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ประชาชาตินั้นไม่ได้ใส่ใจและจะไม่ใส่ใจต่อการกระซิบกระซาบของผู้ที่ประสงค์ร้าย และพึงทราบด้วยว่าความก้าวหน้าและการขับเคลื่อนใดๆ ที่ทำให้อิหร่านมีความแข็งแกร่ง จะทำให้เหล่าศัตรูมีความโกรธแค้น ตามโองการอันจำเริญที่ได้กล่าวว่า จะต้องบอกกับพวกเหล่านั้นว่า  พวกเจ้าจงตายด้วยความโกรธนี้”

อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความก้าวหน้าของประเทศชาติ เป็นข้อเท็จจริงหนึ่งที่น่าให้กำลังใจและน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แน่นอนว่า เรานั้นมีความอ่อนแอในด้านการโฆษณาและการสื่อสาร และเราไม่มีทักษะที่จำเป็นในการแสดงความก้าวหน้าเหล่านี้ แต่ทว่า บรรดาผู้ที่เข้าชมนิทรรศการต่างๆหรือความสำเร็จของอิหร่าน ได้แสดงถึงความประหลาดใจต่อการบรรลุขั้นตอนต่างๆของความก้าวหน้าเหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์ของการคว่ำบาตร ดังเช่นที่ผู้บัญชาการด้านขีปนาวุธของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้พูดเมื่อหลายปีที่แล้วว่า ผมเป็นศัตรูกับอิหร่าน แต่ทว่าผมกลับโดนหลอกต่อหน้าต่อตาในการผลิตขีปนาวุธขั้นสูงโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่าน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ไม่ได้ถือว่า การเน้นย้ำถึงความก้าวหน้า หมายถึง การปฏิเสธจุดอ่อน โดยท่านกล่าวว่า “ในประเทศ ยังมีจุดด้อยและข้อบกพร่องต่างๆมากมายด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน ซึ่งบางประการก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของประชาชน เช่น สินค้าราคาแพง ปัญหาเงินเฟ้อ และการลดค่าสกุลเงินของชาติ และยังมีจุดอ่อนในภาคส่วนอื่นๆ เช่น ภาคของการบริหารจัดการ ก็มีจุดด้อยเหล่านี้ ในทางตรงกันข้ามกับจุดด้อยเหล่านี้ เรามีมุมมอง 2 ประเภทด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “มุมมองแรก คือ การมองไปยังความสำเร็จ เราจะต้องเข้าใจว่าเรานั้นมีความสามารถ ซึ่งด้วยความอุตสาหะเช่นนี้ ทำให้เราบรรลุสู่ความก้าวหน้าเหล่านี้ได้ และยังมีความเป็นไปได้ที่จะขจัดจุดด้อยเหล่านี้ ด้วยการมีมุมมองแบบการปฏิวัติอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การอธิบายมุมมองอีกประเภทหนึ่ง คือ การมีมุมมองแบบล้าหลัง โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยการมีมุมมองแบบล้าหลังต่อจุดด้อยต่างๆ จึงสรุปได้ว่าไม่มีประโยชน์ใดๆและไม่สามารถกระทำการงานใดได้ ดังนั้น เราควรวางมือบนมือของเราหรือตะโกนด้วยเสียงดังเกี่ยวกับจุดด้อยต่างๆและแม้ว่าจะเหมือนบางคนก็ตามที่เขาปฏิเสธหลักการปฏิวัติอิสลามและสาธารณรัฐอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตั้งคำถามว่า หากประชาชาติใดมีความอ่อนแอ ควรที่จะปฏิเสธความสำเร็จของพวกเขาด้วยหรือไม่? แล้วประชาชาติใดหรือที่ไม่มีความอ่อนแอ? และท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนที่สำคัญของประเทศที่ใหญ่และมีก้าวหน้าของโลก เช่น อเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส รวมถึงในด้านความยากจน โรคภัยไข้เจ็บ การเลือกการปฏิบัติ และการขาดความยุติธรรมทางสังคมของประเทศเหล่านี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในประเทศต่างๆเหล่านี้ ยังมีจุดอ่อนที่มากกว่าอิหร่านเป็นหลายเท่า แต่วิธีการแก้ไขเพื่อขจัดจุดอ่อนเหล่านี้ ไม่ใช่การทำลายหลักการและรากเหง้า แต่แนวทางที่ถูกต้อง คือ การขจัดจุดอ่อนในมุมมองของนักปฏิวัติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าอันน่าเหลือเชื่อของประเทศชาติ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในช่วงปีแรกๆ ของการปฏิวัติอิสลาม การบรรลุสู่ความก้าวหน้า เช่น การผลิตเหล็กหลายสิบล้านตัน ที่ไม่เคยมีผู้ใดคิดมาก่อน แต่ความสำเร็จดังกล่าวนั้นได้เกิดขึ้น ด้วยความพยายามของประชาชน บรรดาเยาวชน และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ดีของเรา และในวันนี้ เราก็ยังมีความพยายามเหล่านี้อีกด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เป็นภารกิจที่สำคัญอย่างมากที่สุด โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำให้เห็นว่าทุกคน โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่ต่างมีภารกิจในการขับเคลื่อนแบบญิฮาดี และการทำงาน ทั้งการติดตามในยามกลางวันและกลางคืน โดยท่านกล่าวว่า “ภารกิจทางด้านเศรษฐกิจ เป็นภารกิจที่สำคัญอย่างมากที่สุดในปัจจุบันนี้ เพราะว่าหากไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ การงานของประเทศก็จะไม่มีความก้าวหน้า การมีเสถียรภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น และการควบคุมอัตราเงินเฟ้อและการมีเสถียรภาพของราคาต่างๆ ปัญหาเงินเฟ้อยังสามารถที่จะเยียวยาได้ และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในภาคส่วนต่างๆก็จะต้องมีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า นอกเหนือจากบรรดาเจ้าหน้าที่แล้ว ยังรวมถึงกลุ่มผู้คนกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มนักศึกษา อาจารย์ นักการศาสนา แรงงาน นักธุรกิจ และกลุ่มปศุสัตว์ สามารถที่จะแสดงบทบาทในด้านต่างๆ ได้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดานักขับเคลื่อนทางการเมือง ยังสามารถที่จะแสดงบทบาทได้ แน่นอนว่า การขับเคลื่อนทางการเมือง ไม่ใช่เพียงการนั่ง และการค้นหาจุดด้อยของรัฐบาลหรือหน่วยงานอื่นๆ และการล้อเล่น ทั้งการทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในสื่อไซเบอร์ แต่ทว่า การขับเคลื่อนทางการเมือง นั้นหมายถึง การอธิบายสภาพแวดล้อมทางการเมืองของโลกและภูมิภาคและการอธิบายถึงเป้าหมายต่างๆของเหล่าศัตรูและการกำหนดทิศทางของมวลหมู่มิตร”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การขับเคลื่อนทางสังคมและการรับใช้ เป็นอีกเวทีหนึ่งของการแสดงบทบาทที่มีประสิทธิภาพของประชาชน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เราสามารถที่จะเอาชนะเหนือจุดด้อยต่างๆได้หลายครั้งโดยผ่านประชาชน ซึ่งตัวอย่างในประเด็นนี้ กล่าวคือ กรณีของการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า และการแสดงบทบาทของประชาชน ด้วยการช่วยเหลืออย่างศรัทธามั่น และเช่นเดียวกันนี้ การมีความกระตือรือร้นของประชาชนและการมีส่วนร่วมในการยกระดับการขับเคลื่อนทางสังคม จึงเป็นเหตุให้เกิดการสนับสนุนและเป็นหลักประกันความก้าวหน้าของประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า  เอกภาพของชาติ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความเข้มแข็งของประเทศ โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “แน่นอนว่า ความคิดเห็นนั้นมีความแตกต่างกันได้ แต่ไม่ควรมีความขัดแย้งในประเด็นเชิงปลีกย่อย ทั้งการเสวนาทางวิชาการ และการโต้เถียงกันในสถาบันศาสนาและมหาวิทยาลัย และในสื่อสาธารณะ พร้อมทั้ง การรักษามารยาทและเกียรติของบุคคลอื่นเป็นอย่างดี แต่การโต้แย้งกันและการเป็นศัตรู อีกทั้งคำพูดที่ไม่ดีนั้น ถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า แนวโน้มทั่วไปของประชาชาติอิหร่าน เป็นแนวโน้มของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บางคนในประเทศที่มีความคิดเห็นในประเด็นทางการเมืองบางประการที่มีความขัดแย้งกับความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปและบรรดาเจ้าหน้าที่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ตรงกันข้ามกับประชาชาติอิหร่าน แต่ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับประชาชาติอิหร่าน คือ เหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ และทุกคนควรที่จะต้องระมัดระวัง อย่าได้ช่วยเหลือพวกเหล่านี้และจะไม่ตกเป็นเครื่องมือในการต่อต้านอิสลามและอิหร่านอันทรงเกียรติ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อนาคตยังมีความสดใสมาโดยตลอด ดั่งเช่นในอดีตที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่เส้นขอบฟ้ายังชัดเจนอยู่ข้างหน้าของประเทศ หลังจากนั้นไม่นานนัก เราก็จะประสบความสำเร็จ เพราะว่าขีดความสามารถของประชาชาติและศักยภาพของประชาชาตินั้นมีอย่างมากมาย ด้วยเหตุนี้เอง ประชาชาตินี้ ก็จะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกด้วยเช่นกัน”

ในการพบปะกันครั้งนี้ อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ยกย่องต่อความศรัทธา ความกระดากอาย และความบริสุทธิ์ใจของประชาชนชาวเมืองทาบรีซ และอาเซอร์ไบจาน โดยท่านผู้นำถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ในวันที่ 29 เดือนบะห์มัน ของชาวเมืองทาบรีซ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญและเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์อิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “หากว่า ประชาชนชาวเมืองทาบรีซ ไม่ลุกขึ้นต่อสู้ในช่วง 40 วันจากการลุกขึ้นของชาวเมืองกุม การลุกขึ้นต่อสู้นั้นก็จะถูกลืมเลือน แต่ชาวทาบรีซได้เปลี่ยนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองกุม เป็นการลุกขึ้นต่อสู้และการขับเคลื่อนแห่งชาติ และหลังจากนั้น ก็นำไปสู่การโค่นล้มระบอบเผด็จการที่พึ่งพาในเวลาที่น้อยกว่าหนึ่งปี ขณะที่พวกเขาได้ถือธงชัยแห่งเสรีภาพของอิหร่านไว้ในมือและยังสร้างช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การกระทำของรัฐบาลเผด็จการ ด้วยการนำรถถังไปตามท้องถนนของเมืองทาบรีซ  เพื่อปราบปรามประชาชนและนักการศาสนา เป็นสัญญาณของความล้มสลายของระบอบเผด็จการนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชนที่มีความกระดากอายนั้นไม่มีความหวาดกลัวรถถัง พวกเขาได้ยืนหยัด การเสียสละเลือดและชีวิต จนกระทั่งเกิดการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของอาเซอร์ไบจาน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การขับเคลื่อนของชาวอาเซอร์ไบจาน รวมทั้งชาวเมืองทาบรีซและอัรดาบิล ในช่วงต้นของยุคซาฟาวิด เป็นพื้นฐานในการทำให้อิหร่านรอดพ้นจากความแตกแยกและการปกครองระบอบกษัตริย์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์นั้น ทำให้อิหร่านมีความเป็นเอกภาพและมีอิสรภาพในการปกครองและเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เอง ธงชัยแห่งเอกภาพของอิหร่าน ยังอยู่ในกำมือของชาวอาเซอร์ไบจาน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การรายงานประวัติศาสตร์ของอาเซอร์ไบจานที่ถูกต้องและการรายงานส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์อิหร่าน เป็นภารกิจของนักวิชาการทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในกรณีของยาสูบและรัฐธรรมนูญ ประชาชนในภูมิภาคนี้ได้แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งศรัทธาและการยืนหยัด และเช่นเดียวกัน ในชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์ต่างๆในหลายทศวรรษต่อมา และกรณีล่าสุดเหล่านี้ พวกเขาได้เข้ามาอยู่ในภาคสนามด้วยการมีบะศีเราะฮ์(การรู้แจ้งเห็นจริง)และการยืนหยัด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อาเซอร์ไบจานในแง่ด้านวัฒนธรรมนั้น เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมและวัฒนธรรมทางตะวันตกของประเทศ และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นถึงผู้ที่มีชื่อเสียงทางวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้ โดยท่านกล่าวว่า “การรับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของนามเหล่านี้ที่มีต่อวรรณกรรมและวัฒนธรรมของประชาชาตินั้น ไม่สามารถที่จะคำนวณนับได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองทาบรีซ ในวันที่ 29 เดือนบะห์มัน ปี 1356 (ปฏิทินอิหร่าน) เป็นเหตุการณ์ที่สร้างเอกลักษณ์ ซึ่งจะต้องเป็นบทเรียนให้กับผู้ที่จะเดินตามเส้นทางที่มีอนาคตอันสดใสนี้”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน อาลิฮาชิม ตัวแทนของผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามประจำแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออก ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพและความต่อเนื่องกับบรรดานักอัจฉริยบุคคล เยาวชนทั้งหลาย เพื่อที่จะติดตามการแก้ไขปัญหาต่างๆของการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ การเข้าร่วมโดยตรงของประชาชน และการเผชิญหน้ากันทางวัฒนธรรมและการเมืองกับกระแสของการต่อต้านศาสนาและการแบ่งแยกดินแดน ทั้งหมดเหล่านี้คือ การดำเนินการต่างๆของสำนักงานตัวแทนของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามประจำแคว้นนี้

 

700 /