สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

สมาชิกกองกำลังบะซีจญ์(อาสาสมัคร) หลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

“การสร้างเรื่องโกหกเป็นวิธีสำคัญที่สุดของผู้หวังร้ายต่ออิหร่าน”

สมาชิกกองกำลังบะซีจญ์ (อาสาสมัคร) หลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า การจัดตั้งกองกำลังบะซีจญ์ เป็นนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดและมีความยิ่งใหญ่ที่สุดของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) และท่านผู้นำยังเน้นย้ำให้เห็นถึงการเข้าร่วมของบรรดาบะซีจญ์ในภาคสนามต่างๆ ในช่วงสี่สิบปี ที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า “บะซีจญ์นั้นมีสถานภาพที่สูงส่งยิ่งกว่าสถาบันทหาร ซึ่งในความจริงแล้ว บะซีจญ์ยังเป็นแรงขับเคลื่อนของประเทศ ที่มีศักยภาพทางวัฒนธรรม แนวคิด และการเสวนา เพื่อนำประชาชาติไปสู่ความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้วิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสถานภาพของบะซีจญ์ทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกอิสลามและความล้มเหลวของแบบแผนทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯที่มีต่อประชาชาติอิหร่านและความจําเป็นในการทําความเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนของบะซีจญ์ จากการเผชิญหน้าแบบวงกว้างของอิหร่านกับสหรัฐอเมริกา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ วิธีการที่สําคัญที่สุดของเหล่าผู้ที่ไม่หวังดีต่ออิหร่าน คือ การกุเรื่องโกหก เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายด้วยการครอบงํามันสมองต่างๆ”

การพบปะกันครั้งนี้ ซึ่งได้มีการถ่ายทอดสด จากการรวมตัวครั้งใหญ่ของบรรดาบะซีจญ์ทั่วทั้งประเทศ เนื่องในวโรกาสวันบาซิจญ์(วันอาสาสมัครแห่งชาติ) โดยท่านผู้นําสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเปลี่ยนภัยคุกคามให้กลายเป็นโอกาส คือ การดลใจที่พระเจ้าทรงมอบให้กับท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) หลังจากที่มีการยึดรังสายลับ (การยึดสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน) ในเดือนอาซัร ปี 1358 (ปฏิทินอิหร่าน) และหลังจากนั้น พวกสหรัฐฯได้ก่อภัยคุกคามอิหร่าน แทนที่ ท่านอิมามจะมีความหวาดกลัว เหมือนดังเช่น เหล่าผู้นำส่วนมากของประเทศต่างๆ แต่ท่านอิมามได้เน้นย้ำว่า เรานั้นมีบะซีจญ์ในประเทศทั้งสิ้น 20 ล้านคน และก็จะต้องมีการระดมพลให้ประชาชาติเข้าสู่ภาคสนาม ด้วยการเป็นหนึ่งเดียวกับบะซีจญ์อีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงแถลงการณ์อันสูงส่งของท่านอิมามโคมัยนี ในเดือนอาซัร ปี 1367 กล่าวคือ 9 ปี หลังจากการจัดตั้งองค์กรบะซีจญ์ และการที่ท่านอิมามได้ใช้วาทกรรมอันน่ามหัศจรรย์และถ้อยคำที่สูงส่งจากการยกย่องบะซีจญ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บะซีจญ์ได้มีการปฏิบัติการ ในขณะที่ท่านอิมามโคมัยนีได้ระบุในแถลงการณ์ของท่าน เหมือนดั่งเป็นบิดาที่มีความรักต่อบุตรหลานของตนเอง โดยถือว่า บะซีจญ์ คือ โรงเรียนแห่งความรักและเป็นสำนักคิดของบรรดาชะฮีดนิรนาม แม้ว่าจะสร้างความยิ่งใหญ่ในโลกนี้ก็ตาม ด้วยการทำให้ประวัติศาสตร์ต้องสั่นคลอน และยังถือว่า ความเป็นบะซีจญ์ (อาสาสมัคร) เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับท่านอิมามและท่านอิมามยังกล่าวว่า ฉันจะจูบมือของบะซีจญ์ทุกๆคน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บรรดาผู้ซึ่งท่านอิมามได้กล่าวถึงในแถลงการณ์นี้ คือ ผู้ที่ท่านอิมาม นั้น เต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาที่ดีต่อบรรดาบะซีจญ์ทั้งในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ได้ประกาศในแถลงการณ์นี้ว่า บะซีจญ์ เป็นทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัยและนักเรียนศาสนา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในมุมมองของท่านอิมามนั้น บะซีจญ์ไม่ได้เฉพาะกับสนามทางการทหารเท่านั้น แต่ทว่า บะซีจญ์จะต้องเข้าร่วมในทุกภาคสนาม เช่น ในเวทีทางวิทยาศาสตร์ การศาสนาและความรู้เชิงวัตถุ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเข้าร่วมของบะซีจญ์ ในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเข้าร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งส่องประกายแสงสว่าง จากการผ่านบททดสอบอันยิ่งใหญ่ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แม้ว่า สถานภาพของบะซีจญ์ จะมีความสูงส่งกว่าสถาบันทหาร แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว บะซีจญ์นั้นคือ วัฒนธรรมหนึ่ง และการเสวนา รวมทั้งเป็นแนวความคิดอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงคุณลักษณะของวัฒนธรรมของบะซีจญ์ กล่าวคือ การให้บริการสังคมและประเทศชาติอย่างที่ไม่หยุดหย่อน โดยท่านกล่าวว่า “บะซีจญ์จะเข้าสู่ภาคสนาม โดยที่ไม่มีการคาดหวังและการขอบคุณแต่อย่างใด และยังมีความเสียสละตนเอง เพื่อป้องกันภัยอันตรายต่างๆ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอธิบายถึงตัวอย่างของการให้บริการของบะซีจญ์ ด้วยความพยายามอย่างมากในเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ เช่น กรณีน้ำท่วม การเสียสละของพวกเขาในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า การช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อให้รอดพ้นจากความตาย และการเข้าร่วมอย่างที่ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อยด้วยการมีนวัตกรรมของความช่วยเหลือต่างๆที่กว้างขวางพร้อมทั้งศรัทธามั่น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดาเยาวชนที่มีวัฒนธรรมแห่งบะซีจญ์ ในสภาพแวดล้อมต่างๆทางวิชาการและความรู้ ได้สร้างความภาคภูมิใจอย่างมาก ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ บรรดาชะฮีดนิวเคลียร์และมัรฮูม กาเซมี อัชติยานี ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์รูยาน”

ท่านผู้นําสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมอย่างกล้าหาญของบะซีจญ์และด้วยขีดความสามารถทั้งหมดในการเผชิญหน้ากับศัตรู เป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งของวัฒนธรรมและการมีแนวความคิดของบะซีจญ์ โดยท่านกล่าวว่า “วัฒนธรรมของบะซีจญ์ ถือเป็นวัฒนธรรมของบรรดานักต่อสู้นิรนาม  ผู้ซึ่งไม่มีความหวาดกลัวใดๆและมีความกล้าเสี่ยง ทั้งชีวิตของพวกเขา เพื่อรับใช้ประเทศชาติและปลดปล่อยผู้อื่นที่ถูกกดขี่ข่มเหง เช่น ในเหตุการณ์ครั้งล่าสุด บรรดาบะซีจญ์ต้องยอมถูกกดขี่เพื่อไม่ให้ประชาชาติแสดงให้เห็นว่า พวกเขากำลังถูกกดขี่ ในการเผชิญหน้ากับการก่อจลาจล  ความวุ่นวายและองค์ประกอบที่เพิกเฉยหรือทหารรับจ้าง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การหลีกเลี่ยงจากความสิ้นหวังโดยสิ้นเชิงในทุกสถานการณ์ เป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่สำคัญทางวัฒนธรรมของบะซีจญ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ตรงกันข้ามกับคำพูดของปัญญาชนบางคนที่ว่า จะไม่มีช่องว่างระหว่างรุ่นในบะซีจญ์ แม้ว่าบรรดาบะซีจญ์รุ่นยุวชนและเยาวชนในปัจจุบันนี้ ไม่เคยสัมผัสช่วงในยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม แต่พวกเขาก็เข้าสู่ภาคสนามด้วยการมีกำลังใจ จิตวิญญาณและความอุตสาหะพยายาม เหมือนดั่งเช่น บรรดาเยาวชนรุ่นที่ 6 ทศวรรษที่ผ่านมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเทศนั้นมีศักยภาพสำหรับการอบรมสั่งสอนบ่มเพาะบะซีจญ์และการเจริญเติบโตของชนรุ่นใหม่ และยังมีศักยภาพของบะซีจญ์สำหรับการพัฒนาและความก้าวหน้าของประเทศ คือ ความจริงทั้งสองประการที่โดดเด่น และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้ถึงจิตวิญญาณของบะซีจญ์ ความกล้าหาญและการไม่หวาดกลัวที่จะเข้าสู่ภาคสนามในรุ่นก่อนของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “ในยุคฏอฆูต(ทรราช) การมีจิตวิญญาณนี้ ได้ถูกทำลายด้วยมือของเหล่าต่างชาติและรัฐบาลที่ทุจริต”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ตามความหมายที่แท้จริงของคำว่า บะซีจญ์ บุคคลเฉก เช่น เชมุฮัมมัด คิยาบานี ,มุฮัมมัดตะกี พะซิยาน, มีรซา คูแชกคาน ญังกะลีย์ ,ออกอนะญะฟีย์ และฮัจญี ออกอ นูรุลลอฮ์ ,ออซัยยิด อับดุลฮุเซน ลารีย์และระอีซอะลี เดลวารีย์ ก็ถือว่า พวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นบะซีจญ์ด้วยเช่นเดียวกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม เป็นสาเหตุทำให้จิตวิญญาณและวัฒนธรรมของบะซีจญ์ มีความเป็นอิสระ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ด้วยการมีความหวังในการปฏิวัติอิสลาม ทำให้ประชาชาติมีความเป็นอิสระจากการต่อต้านเหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการและการต่อต้านเผด็จการ และจากการปรากฏตัวของท่านอิมามโคมัยนี ทำให้ประชาชาตินั้นมีจิตวิญญาณและมีกำลังใจ จนเป็นเหตุทำให้ศักยภาพทางด้านวัฒนธรรมและแนวความคิดของบาซีจญ์รุ่งเรืองยิ่งขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนังสือและชีวประวัติของบรรดาบะซีจญ์ ผู้เป็นชะฮีด ในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์นั้น มีเนื้อหาและสาระที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความยิ่งใหญ่ของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นในสนามรบ ขณะที่พวกเขานั้นเป็นเพียงบะซีจญ์ธรรมดา ซึ่งได้ทำให้มนุษย์มีความประหลาดใจ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การขยายตัวของบะซีจญ์ ในโลกอิสลาม เป็นหนึ่งในเกียรติของบะซีจญ์ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า ความทรงจำอันนี้ของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ซึ่งได้ปรากฏขึ้นในประเทศและในโลกอิสลามของปัจจุบันนี้ และจะคงอยู่ต่อไปในอนาคต ซึ่งผลของมันก็จะปรากฏให้เห็นอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำพูดของท่านอิมามโคมัยนีที่เกี่ยวกับบะซีจญ์ ตามการอ้างอิงจากโองการอัลกุรอาน เป็นดั่ง ชะญะเราะฮ์ ฏอยยิบะฮ์ (ต้นไม้ที่ดีงาม) และมีผลไม้ที่หอมหวานในทุกช่วงเวลา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยการมีเกียรติของการทำงานแบบญิฮาดี อย่างที่ไม่คาดหวัง จึงทำให้ประเทศมีความความก้าวหน้า แสดงให้เห็นว่า การปฏิวัติอิสลามได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่และมีชีวิตชีวา ทั้งมีความโดดเด่นขององค์ประกอบทางจิตวิญญาณในทุกการขับเคลื่อนด้วยจิตวิญญาณของบะซีจญ์ทั้งสิ้น และการมีอุดมคติที่ควบคู่กับการปฏิบัติ ก็คือ หนึ่งในเกียรติทางจิตวิญญาณของบะซีจญ์ ซึ่งจะต้องมีการักษาจิตวิญญาณนี้ และจะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากความหยิ่งทรนงอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  ยังได้วิเคราะห์ถึงสถานภาพของบะซีจญ์ในภูมิรัฐศาสตร์ของโลกอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “สถานภาพของบะซีจญ์ จะต้องอยู่เหนือปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันและมีการเผชิญหน้ากับการก่อจลาจล และความวุ่นวายล่าสุด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวอธิบายถึงวิธีการของการล่าอาณานิคมในภูมิภาคเอเชียตะวันตก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกนักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก ซึ่งในช่วงแรกนั้น เป็นตัวแทนของพวกยุโรปและหลังจากนั้นก็ อเมริกา ซึ่งได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับภูมิภาคของเรา เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันตกนั้น เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางด้านน้ำมัน พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ และยังเป็นเส้นทางสี่หลักของการคมนาคมระหว่างตะวันออกและตะวันตก และด้วยเหตุนี้เอง จึงมีการจัดตั้งระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จอมปลอมและผู้ยึดครอง ในภูมิภาคนี้ เพื่อที่จะทำให้ตะวันตกนั้นมีฐานที่มั่นในภูมิภาคเอเชียตะวันตก สำหรับการปล้นสะดมทรัพยากรและการก่อสงครามกลางเมืองและการสร้างความแตกแยก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า อิหร่าน คือ ยุทธศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันตกที่มีจุดสำคัญและมีความอ่อนไหวมากที่สุดในภูมิภาคนี้  โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ตามหลักการนี้ ในช่วงแรก อังกฤษ และหลังจากนั้น อเมริกา ที่ได้มีการลงทุนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับฝึกฝนทหารรับจ้างในอิหร่าน เพื่อจะได้เข้าครอบครองอิหร่านได้อย่างสมบูรณ์”

 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงการเข้ามามีอำนาจและการสร้างแรงกดดันของพวกสหรัฐฯที่มีต่ออิหร่านและเหล่าผู้ปกครอง ก่อนการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “แรงกดดันเหล่านี้ ได้ถูกบันทึกโดยผู้นำทางการเมืองในยุคปาห์เลวี แม้แต่ตัวของมูฮัมหมัด เรซา ปาห์เลวี เองก็ยังบ่นต่อข้อเรียกร้องที่มากเกินของพวกอเมริกา แต่เขาไม่กล้าที่จะพูดออกมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม ได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการมีอำนาจของนักล่าอาณานิคมตะวันตกในภูมิภาคเอเชียตะวันตก โดยท่านกล่าวว่า “การปฏิวัติอิสลามได้เกิดขึ้น ถือเป็นการทำลายการหลับใหลของเหล่านักล่าอาณานิคมในทันทีทันใด และทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรงยิ่งนัก การสร้างความสับสนและการเพิกเฉยต่อนโยบายของการล่าอาณานิคมบนเกาะที่ปลอดภัยของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า การปฏิวัติอิสลาม ถือเป็นปราการที่มั่นคงในการเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของสหรัฐฯและชาติตะวันตก ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และยังเป็นการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้เกิดขึ้นอีกด้วย โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การปฏิวัติอิสลาม ได้เปลี่ยนอัตลักษณ์ที่ต้องพึ่งพาให้กลายเป็นอัตลักษณ์ที่เป็นอิสระ มีความมั่นคงและมีการยืนหยัดด้วยตนเอง ทั้งมีความกล้าหาญในการแสดงจุดยืนและการไม่หวาดกลัว ซึ่งแนวความคิดนี้ ไม่ได้จำเพาะกับอิหร่าน แต่จะส่งผลต่อภูมิภาคด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้เห็นถึง ประเด็นที่เกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในช่วงแรกของชัยชนะแห่งการปฏิวัติ โดยท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวในช่วงปีแรกของการปฏิวัติอิสลามในพิธีการนมาซวันศุกร์ ว่า การปฏิวัติอิสลามนั้น เป็นดั่งกลิ่นหอมของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งส่งกลิ่นหอมไปทั่วและทุกคนก็สามารถที่จะดมกลิ่นหอมนี้ได้ และไม่มีผู้ใดที่จะขัดขวางมันได้ ด้วยเหตุผลนี้ การปฏิวัติอิสลามจึงได้ทำให้ประชาชนในภูมิภาคมีความเปลี่ยนแปลงและมีการตื่นตัว ฉะนั้น พวกตะวันตกจึงมีความพยายามเสาะหาแนวคิด เพื่อที่จะทำลายมัน เพราะว่า ต้นกล้าของการปฏิวัติอิสลามได้ทำลายอำนาจในการครอบงำของพวกเหล่านั้น และทำให้ภูมิภาคได้พบกับความสั่นคลอน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ปัญหาที่สำคัญที่สุดของชาติตะวันตกในการเผชิญหน้ากับรัฐอิสลาม ในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม  คือ การเข้าร่วมของประชาชนและกองกำลังแห่งการปฏิวัติอิสลามในเวทีต่างๆ ซึ่งผลที่ประจักษ์อย่างเห็นได้ชัดคือ ความล้มเหลวของซัดดัมและเหล่าผู้สนับสนุนชาวตะวันตกในช่วงแปดปีของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงแผนการร้ายของพวกสหรัฐฯ ซึ่งได้ถูกเปิดเผยประมาณ 15 ปีที่แล้ว โดยบุคคลสำคัญของประเทศนี้ โดยท่านกล่าวว่า “พวกเหล่านี้ได้วางแผนการเพื่อโค่นล้มทั้ง 6 ประเทศ ได้แก่ อิรัก ซีเรีย เลบานอน ลิเบีย ซูดานและโซมาเลีย ดังนั้น ในท้ายที่สุด เพื่อที่จะทำลายการขยายแผนทางยุทธศาสตร์ของอิหร่านในภูมิภาค และด้วยการสร้างความอ่อนแอในประเทศ และจะทำให้ระบอบสาธารณรัฐอิสลามต้องถูกโค่นล้มลงในที่สุด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “แต่แนวความคิดและการขยายตัวของการปฏิวัติอิสลาม ได้ส่งผลสะท้อนใน 3 ประเทศ ได้แก่ อิรัก ซีเรีย และเลบานอน แต่การงานที่ยิ่งใหญ่และที่สำคัญ คือ ความล้มเหลวของอเมริกาใน 3 ประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึง แผนการที่ล้มเหลวของสหรัฐฯ เพื่อการบ่อนทำลายฮิซบุลลอฮ์ และพรรคอะมัลในเลบานอน และเช่นกัน ความล้มเหลวในอิรักและซีเรีย ด้วยค่าใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์และการใช้เวลาหลายพันชั่วโมงในห้องปฏิบัติการทางความคิด ด้วยการใช้นักคิดหลายร้อยคน โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “แผนการนี้และแผนการสมรู้ร่วมคิดในภูมิภาค ได้ถูกทำลายลงโดยกองกำลังอันยิ่งใหญ่และมีประสิทธิภาพของสาธารณรัฐอิสลาม ขณะที่ผู้ที่ชูธงชัยของกองกำลังอันยิ่งใหญ่ คือ ท่านนายพลกอเซ็ม สุไลมานี ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่ชัดเจนว่า เพราะเหตุใด นามของนายพลกอเซ็มจึงเป็นที่เคารพรักของประชาชนชาวอิหร่านและไม่เป็นที่พอใจสำหรับเหล่าศัตรู”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้คำแนะนำต่อบรรดาบะซีจญ์ ให้มีความเข้าใจและการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมจากแคมเปญในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูและการหลีกเลี่ยงจากการจำกัดมุมมองของตนในการปะทะกันของหลายองค์ประกอบที่ต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมนี้ สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าอะไร คือ เหตุผลของการยืนกรานของศัตรู ในข้อตกลงนิวเคลียร์ JCPOA ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ซึ่งในขณะที่มีบางคนในประเทศมีการพูดจาซ้ำๆในประเด็นนี้ เนื่องจากความประมาทเลินเล่อ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “ข้อตกลงนิวเคลียร์ครั้งที่ 2 หมายความว่า อิหร่านได้ละทิ้งจากการเข้าร่วมในภูมิภาคของตนอย่างสมบูรณ์ และข้อตกลงนิวเคลียร์ครั้งที่ 3 หมายความว่า  อิหร่านต้องให้สัญญามั่นว่า จะไม่มีการผลิตอาวุธเชิงกลยุทธ์และสำคัญ เช่น ขีปนาวุธและโดรน อากาศยานไร้คนขับ และมีการต่อสู้ด้วยมือเปล่า จากการโจมตีของศัตรู”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเข้าร่วมของบะซีจญ์ทั่วทั้งประเทศ เป็นดั่งเกราะป้องกันในการเผชิญหน้ากับแผนการสมรู้ร่วมคิดครั้งใหญ่และท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “พวกท่านบะซีจญ์ทั้งหลาย ได้ปกป้องฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์และทำการต่อสู้กับกลุ่มไอซิส (ดาอิช) ที่สร้างโดยอเมริกา และอย่างไรก็ตาม พวกท่านก็ยังสามารถช่วยเหลือบรรดานักต่อสู้ชาวเลบานอนและชาวปาเลสไตน์และเราก็จะให้การช่วยเหลือต่อพวกเขาอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า สนามของการต่อสู้ของบะซีจญ์ เป็นสนามที่กว้างขวางอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่การต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อจลาจลตามท้องถนนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ แน่นอนว่า นี่ไม่ได้หมายความว่า บะซีจญ์จะละทิ้งการต่อสู้กับผู้ก่อการจลาจล เพราะประเด็นดังกล่าวต้องได้รับการแก้ไขเช่นกัน และผู้ก่อการจลาจลทุกคนและผู้ก่อการร้าย จะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ แต่ทว่า บะซีจญ์ควรรู้จักคุณค่าของตัวเองและจะไม่ถูกจำกัดเฉพาะในเรื่องเล็กๆน้อยๆ และจงรู้ไว้ด้วยว่า ผู้ก่อการจลาจล เป็นนิ้วหัวแม่มือของมือที่มีแผนการใหญ่ที่ต้องพบกับความล้มเหลวและจึงเข้ามาสู่ภาคสนาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “บะซีจญ์ไม่ควรที่จะลืมเลือนว่าการต่อสู้และการปะทะหลักนั้นเกิดขึ้นมาจากมหาอำนาจโลก จอมอหังการ ทั้งสิ้น และหลายคนที่เพิกเฉยหรือไม่รับรู้และมีการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดหรือเป็นทหารรับจ้าง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้แสดงความเสียใจต่อการวิเคราะห์ที่อ่อนแอและไร้จุดหมายของบางคน โดยท่านกล่าวว่า “บุคคลเหล่านี้บางคนได้พูดผ่านหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อสังคมออนไลน์ว่า พวกคุณควรแก้ไขปัญหาของคุณกับอเมริกาและฟังเสียงของประชาชนเพื่อที่จะยุติการก่อจราจล”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตั้งคำถามที่ว่า เราจะแก้ไขปัญหาของอเมริกากับอิหร่านได้อย่างไร? โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นี่เป็นคำถามที่จริงจังและเป็นความจริง ขณะที่เรานั้นไม่ต้องการที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน และเราจะแก้ไขปัญหาด้วยการนั่งโต๊ะเจรจาและการรับคำสัญญามั่นจากอเมริกาใช่หรือไม่?

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวรำลึกถึงการเจรจาของแอลจีเรียกับพวกอเมริกาในปี 1359 (ปฏิทินอิหร่าน)  เกี่ยวกับการปล่อยตัวประกัน และอเมริกาได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะมีการปลดปล่อยความมั่งคั่งของอิหร่านและหลีกเลี่ยงออกการแทรกแซงกิจการภายในของเรา โดยท่านกล่าวว่า “เราได้ปล่อยตัวประกันทั้งหมด แต่อเมริกาไม่ได้ปฏิบัติตามพันธสัญญาของตน รวมทั้งการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรและการปลดปล่อยความมั่งคั่งที่ถูกแช่แข็งของประเทศชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การไม่รักษาคำมั่นสัญญาในประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์ JCPOA กล่าวคือ การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อการลดการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความไม่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหากับสหรัฐฯ โดยผ่านการเจรจา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเจรจา ไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาของเรากับอเมริกา ใช่แล้ว  การยอมจ่ายภาษีตามข้อเรียกร้องของอเมริกา จะแก้ไขปัญหาได้ แต่ทว่าไม่ใช่เพียงครั้งเดียว แต่จะต้องมีการจ่ายในทุกครั้งอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “ประการแรก พวกเขาบอกว่าให้ยุติการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม 20% หลังจากที่ได้เพิ่มขึ้นอีก 5% หลังจากนั้นให้ยกเลิกอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ทั้งหมด จากนั้น พวกเขาได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ จากนั้นให้มีการกักบริเวณที่เขตพรมแดน และปล่อยให้อิหร่านมีมือเปล่าและการยกเลิกอุตสาหกรรมในการป้องกันประเทศ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า เป็นไปได้ว่า คนๆหนึ่งอาจจะไม่ยอมรับสาธารณรัฐอิสลาม แต่ไม่มีชาวอิหร่านคนใดที่มีความกระดากอาย จะยอมจ่ายภาษีตามข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้เอง  การเจรจากับอเมริกา จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และจะต้องยอมจ่ายภาษีตามข้อเรียกร้องในประเด็นพื้นฐานทั้งหมดเพียงเท่านั้นและการก้าวข้ามเส้นสีแดงทั้งหมด ซึ่งอเมริกานั้นจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเทศอีกต่อไป เช่น ในยุคของปาห์ลาวี แต่ทว่าประชาชนนั้นได้ทำการปฏิวัติด้วยวิธีการนี้หรือและเป็นชะฮีดทั้งหมดใช่หรือไม่?

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตที่ตรงกันข้ามกับข้อเสนอแนะของผู้ที่อ้างสิทธิบางคนบอกว่าให้ฟังเสียงของประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “ในปีนี้ เสียงอันกึกก้องของประชาชาติได้ดังขึ้นเมื่อวันที่ 13 เดือนอาบาน แล้วพวกคุณได้ยินเสียงใช่ไหม? พวกคุณได้ยินเสียงของประชาชน จำนวนมากกว่า 10 ล้านคนในพิธีการตัชยิอ์ (การแห่ศพ) ของชะฮีดท่านพลกอเซ็ม สุไลมานี หรือไม่ นี่คือเสียงของประชาชน และในปัจจุบันนี้ การตัชยิอ์ของบรรดาชะฮีดในเมืองต่างๆและคำสโลแกนของประชาชนในการต่อต้านการก่อการร้ายและการก่อจลาจล ก็คือ เสียงของประชาชน พวกคุณได้ยินเสียงของประชาชนแล้วใช่หรือไม่?

ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้ให้คำแนะนำหลายประการแก่บรรดาบะซีจญ์ โดยท่านกล่าวว่า “พวกท่าน จงอยู่ในสภาพของความเป็นบาซีจญ์และการรักษาจิตวิญญาณและความศรัทธาของบาซีจญ์ไว้ในตัวของพวกท่าน จงรู้จักคุณค่าของพวกท่าน แน่นอนว่า คุณลักษณะของบาซีจญ์ ไม่ใช่การโอ้อวด แต่จงรู้จักคุณค่าของความสำเร็จนี้ที่พระเจ้าทรงประทานให้ การรู้จักศัตรู ทั้งการรู้จักถึงจุดอ่อนของศัตรูและแผนการต่างๆของศัตรูและจงมีความฉลาดหลักแหลมในการเผชิญหน้ากับความเป็นปฏิปักษ์ที่ทำให้ตัวเองดูมีความยิ่งใหญ่และมีความแข็งแกร่ง ด้วยการเพิกเฉยของพวกท่าน จงระมัดระวังในการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณและมาตรฐานตราวัด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวในคำแนะนำประการที่ 5  โดยท่านกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ วิธีการที่สำคัญที่สุดของเหล่าผู้ที่ไม่หวังดี คือ การกุเรื่องโกหก ผ่านโทรทัศน์หรือสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งตรงกันข้ามกับวิธีการนี้ คือ การปฏิบัติตามหน้าที่ในรูปแบบญิฮาด ตับยีน (การต่อสู้ในการอธิบายและการแสดงออก) การเพิ่มพูนความเข้าใจของพวกท่านและอย่าปล่อยให้ความเป็นปฏิปักษ์ที่มากกว่าการครอบครองแผ่นดิน เข้าครอบงำมันสมองต่างๆเพื่อบรรลุยังเป้าหมายนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำในคำแนะนำประการที่ 6 โดยระบุว่า “พวกท่านจงรักษาความพร้อมทางการปฏิบัติและอย่าได้ประหลาดใจ พร้อมทั้งท่านกล่าวว่า “ทุกๆคน โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่ของประเทศ จะต้องมีความระมัดระวังปัญหาต่างๆโดยรอบประเทศ สำหรับเรา ทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันตก ภูมิภาคคอเคซัส และภูมิภาคตะวันออกของประเทศนั้นมีความสำคัญและจะต้องตระหนักด้วยว่าจากทั้งหมดเหล่านี้ ศัตรูนั้นต้องการที่จะกระทำอะไรกันแน่?

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้ถึงการฉวยโอกาสของเหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการจากการแข่งขันฟุตบอลโลกและการเพิกเฉยจากทุกสายตาที่มุ่งเน้นไปยังการกระทำอื่นๆ (ดังเช่นในรอบก่อนๆของการแข่งขันครั้งนี้) โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำถึงการระมัดระวังและความเฉลียวฉลาดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ และท่านกล่าวเสริมว่า "บัดนี้ เมื่อเราได้ยินชื่อของการแข่งขันชิงถ้วยฟุตบอลโลก แล้วเราบอกว่า เมื่อวานนี้ นักเตะทีมชาติของเรา ได้ทำให้ประชาชนนั้น มีความสุขรื่นเริง และหากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ ขอให้พวกเขามีความสุขด้วยเช่นกัน เพราะพวกเขาสามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวในคำแนะนำประการที่ 7 โดยระบุว่า พวกท่านจงมีความระมัดระวังจากการแทรกซึมของบุคคลที่ไร้ศีลธรรมและก่อทุจริตในหมู่บะซีจญ์ด้วยกันและคำแนะนำประการสุดท้าย คือ การปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอัลกุรอานที่ว่า 

وَ لا‌ تَهِنوا وَ لا تَحزَنوا وَ اَنتُمُ الاَعلَونَ اِن کُنتُم مُؤمِنین

 “พวกเจ้า อย่าได้ท้อแท้และอย่าได้เศร้าใจ ขณะที่พวกเจ้านั้นมีความสูงส่งกว่า หากว่า พวกเจ้านั้นเป็นผู้ศรัทธา(ที่แท้จริง) ”

(อัลกุรอาน บทอาลิอิมรอน โองการที่ 139) 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

700 /