ชนชั้นนำทางปัญญา (Elite) และเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ หลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า อัจฉริยบุคคลทั้งหลายของมหาวิทยาลัยในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ได้ทำให้อิหร่านมีเกียรติและศักดิ์ศรี และท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ ทุกคนทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเจ้าหน้าที่และผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประเทศ จะต้องถือว่า บรรดาอัจฉริยบุคคลนั้น เป็นหนึ่งในความมั่งคั่งของประเทศ และจะต้องให้การสนับสนุนพวกเขา อีกทั้งบุคคลเหล่านี้ จะต้องทำให้ศักยภาพและขีดความสามารถพิเศษของตนเอง ได้กลายเป็นแหล่งทุนของความก้าวหน้าในประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศนั้นมีอนาคตอันสดใส โดยท่านได้เน้นย้ำว่า “ได้มีการพูดกันถึงการล่มสลายของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในตลอดสี่สิบสามปีที่ผ่านมา แต่ทว่า การขับเคลื่อนของการปฏิวัติอิสลามนั้นยังมั่นคงและดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การวิเคราะห์นี้ มีความผิดพลาดและไม่ตรงกับความเป็นจริง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากการประชุมที่มีความร่าเริงและมีความหวังให้กับบรรดาอัจฉริยบุคคลอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่การเแพร่ระบาดของโรคร้ายไวรัสโคโรน่าได้คลี่คลายลง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประเด็นทั้งหลายที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดถึงนั้น ถือว่าดีอย่างมากและเป็นข้อเสนอแนะที่ถูกต้อง ซึ่งส่วนมากนั้นสามารถที่จะปฏิบัติได้จริง และแสดงให้เห็นว่า ปัญหาต่างๆมากมายนั้น เป็นปัญหาทางด้านการบริหารจัดการและมีวิธีการแก้ไข”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีที่เข้าร่วมในการพบปะกันครั้งนี้ มีหน้าที่ในการดูแลและการติดตามข้อเสนอต่างๆของบรรดาอัจฉริยบุคคลในที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราจะต้องมีความพยายามอย่างจริงจัง ด้วยการมีพฤติกรรมที่ให้เกียรติกับบรรดาอัจฉริยบุคคล โดยถือว่าพวกเขานั้นเป็นความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่ของชาติและจะต้องมีการดูแลความมั่งคั่งนี้ อีกทั้งมีการเพิ่มพูนอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บรรดาอัจฉริยบุคคลทางวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย เป็นเสาหลักที่สำคัญของความก้าวหน้าของประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ไม่ว่ามหาวิทยาลัยจะปิดทำการมากเพียงใด กระบวนการของการเคลื่อนไหวทางวิทยาศาสตร์ก็จะถูกทำลายลงและพบกับความบกพร่อง ซึ่งจะเป็นผลดีกับศัตรู และไม่ใช่เหตุผลที่ว่าวันนี้หรือเมื่อวานนี้ แต่พวกเหล่านี้นั้นต่างมีความพยายามที่จะปิดมหาวิทยาลัยในช่วงเวลาต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า มหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “มหาอำนาจโลกได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ การหลอกลวง หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์ และความรู้ เพื่อที่จะเข้าครอบงำผู้อื่นและกีดกั้นความก้าวหน้าของประชาชาติทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เอง มหาวิทยาลัยที่มีการยกระดับความรู้ให้กับประเทศชาติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น จะเป็นอุปสรรคให้กับการเข้ามาครอบงำของศัตรู”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความสามารถพิเศษที่เป็นธรรมชาติ ความเฉลียวฉลาด ความอุตสาหะพยายาม ความขยันหมั่นเพียร การชี้นำและความสำเร็จจากพระเจ้า เป็นองค์ประกอบหลักของการเปลี่ยนแปลงจากบุคคลผู้ที่มีความฉลาด เป็นบุคคลที่มีความเป็นอัจฉริยะและเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า การปูพื้นฐานอย่างถูกต้อง จะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการบรรลุผลลัพท์ของกระบวนการนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเตรียมการปูพื้นฐานในการอบรมบรรดาอัจฉริยบุคคล ด้วยชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม เป็นความจริงที่แน่นอนและไม่อาจที่จะสงสัยได้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หลังจากการปฏิวัติอิสลาม ด้วยการพัฒนาของมหาวิทยาลัยในทุกภาคส่วนของประเทศ จำนวนของนักศึกษามหาวิทยาลัยได้เพิ่มมากขึ้นอย่างน่าสนใจ และบรรดาคณาจารย์และการก่อตั้งศูนย์วิจัยและสถาบันคลังสมองจำนวนมาก ถือเป็นการปูพื้นฐานให้มีการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และการอบรมของบรรดาอัจฉริยบุคคล อีกทั้งเป้าหมายของสาธารณรัฐอิสลาม จึงหมายถึง การขยายมหาวิทยาลัยและการยกระดับศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ และความรู้ ด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า บรรรดานักวิชาการของเรานั้นไม่อนุญาตให้ประเทศชาติมีความต้องการที่จะพึ่งพาของชาติตะวันตก โดยท่านกล่าวว่า “บรรดาอัจฉริยบุคคลของมหาวิทยาลัยของเรานั้นเป็นต้นเหตุของการมีศักดิ์ศรีของอิหร่าน โดยปราศจากการพูดที่เกินความจริง และไม่ว่าในแวดวงใดก็ตามที่บรรดานักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมและให้ความสนใจ พวกเขาก็จะได้รับความชื่นชมจากสังคมวิทยาศาสตร์ของโลก ฉะนั้น ผู้อื่นก็ควรที่จะรู้จักคุณค่าของพวกเขาและตัวของพวกท่านเองด้วยเช่นกัน และข้าพเจ้านั้นก็รู้สึกซาบซึ้งที่จะต้องขอบคุณต่อพวกท่านอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงความภาคภูมิใจบางส่วนของบรรดาอัจฉริยบุคคลและนักวิชาการของประเทศ โดยท่านได้ชี้ให้เห็นถึงการวิจัยและความสำเร็จของศูนย์วิจัยรูยานในสาขาต่างๆ อาทิเช่น สเต็มเซลล์และการโคลนนิ่งสัตว์ที่มีชีวิต ความก้าวหน้าทางชีวเคมี การส่งและถ่ายโอนดาวเทียมสู่อวกาศ ความสำเร็จขั้นพื้นฐานในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ การผลิตวัคซีนที่ซับซ้อนและยุ่งยาก เช่น วัคซีนโคโรน่า และการพัฒนาที่น่าสนใจในภาคอุตสาหกรรมจรวดและโดรน เป็นต้น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า มนุษย์ที่ฉลาดได้ใช้ขีดความสามารถและความรู้ของตนเองเพื่อที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมี และอุปกรณ์สอดแนม เขานั้นไม่ใช่อัจฉริยบุคคล โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “อัจฉริยบุคคล คือ มนุษย์ที่มีความสามารถและมีความเพียรพยายามที่ได้รับประโยชน์จากการชี้นำของพระผู้เป็นเจ้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อไปถึงประเด็นความคาดหวังจากบรรดาอัจฉริยบุคคล โดยท่านกล่าวว่า “สิ่งที่คาดหวังจากอัจฉริยบุคคล ก็คือ การที่เขาได้เปลี่ยนจากศักยภาพด้านปัจเจก เป็นศักยภาพของชาติและใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถของตนเพื่อที่จะกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ฟ้องร้องว่า เนื่องจากอัจฉริยบุคคลบางคนเติบโตในอิหร่าน แต่ผลของการเติบโตนี้กลับไปเบ่งบานที่ต่างประเทศ และในบางครั้งพวกเขาได้เป็นผู้เล่นของศัตรูเสียเองและยังนำเอาศักยภาพของตนเองให้กับพวกเหล่านั้นอีกด้วย โดยท่านกล่าวว่า “อัจฉริยบุคคล จะต้องอยู่กับประชาชน ซึ่งแน่นอนว่า การย้ายถิ่นฐานและการศึกษาของอัจฉริยบุคคลในมหาวิทยาลัยชั้นนำนั้น ถือว่าไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น แต่ทว่าหลังจากการสำเร็จการศึกษา ควรที่จะกลับมายังประเทศของเขา และใช้ขีดความสามารถของตนเพื่อที่จะทำให้ประเทศมีความก้าวหน้า”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า อัจฉริยบุคคลทั้งหลายของเรา จะต้องแก้ไขปัญหานี้ต่อมโนธรรมของพวกเขาและ ณ พระผู้เป็นเจ้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความคาดหวังอื่นๆจากบรรดาอัจฉริยบุคคล จะต้องไม่เป็นสาเหตุให้มีการเพิกเฉย โดยท่านกล่าวว่า “บรรดาอัจฉริยบุคคล จะต้องไม่มีการเพิกเฉยต่อขีดความสามรถของตนเอง เพื่อที่จะทำให้ความพยายามและการขับเคลื่อนของพวกเขานั้นไม่สูญเปล่า และพวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็นเชลยของความบันเทิงที่อันตรายเช่นนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การไม่ละเลยในศักยภาพที่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางของประเทศ คือ หนึ่งในข้อกำหนดอีกประการหนึ่งของความเป็นอัจฉริยบุคคล โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ช่างน่าเสียดายอย่างยิ่งที่ส่วนมากของบรรดาอัจฉริยบุคคลนั้น ไม่ทราบเกี่ยวกับศักยภาพอันกว้างขวางของประเทศ และหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของรองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์ คือ การทำความเข้าใจของบรรดาเยาวชน อัจฉริยบุคคล เกี่ยวกับศักยภาพและภารกิจที่ใหญ่หลวงที่กำลังรอคอยการดำเนินการ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บางคนถึงกับปฏิเสธการมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ และต้องการที่จะรวบรวมศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ และพูดจาโกหกว่า โลกในวันนี้ได้หันหลังให้กับอุตสาหกรรมพลังงานและนิวเคลียร์แล้ว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “หากว่าเราไม่เริ่มต้นอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ ในช่วงเวลาที่เราได้เริ่มต้น เราก็จะต้องเข้าสู่ประเด็นนี้ในอีก 10ปี ต่อมา และหลังจาก 30 ปี เราจึงจะได้รับผลลัพท์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเพิกเฉยต่อศัตรู เป็นหนึ่งในอันตรายที่บรรดาอัจฉริยบุคคลต้องเผชิญ โดยท่านกล่าวว่า “ตามข้อมูลที่เชื่อถือได้ การใช้หน่วยสอดแนมของศัตรู เพื่อที่จะหลอกลวงและมีการดึงดูดบรรดาอัจฉริยบุคคล หรือการทำลายจิตใจของพวกเขา ด้วยการเชิญชวนบรรดาอัจฉริยบุคคล ภายใต้หน้ากากของศูนย์วิทยาศาสตร์และพวกเหล่านั้นแสดงตนออกมาด้วยความสุภาพและชาญฉลาด เพื่อที่จะทำให้แผนการของตนนั้นลุล่วงไปข้างหน้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงความคาดหวังของหน่วยงานของเจ้าหน้าที่ๆรับผิดชอบที่มีต่อบรรดาอัจฉริยบุคคล โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “อีกนัยยะหนึ่ง ความคาดหวังหลักจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ การสนับสนุนบรรดาอัจฉริยบุคคล ด้วยความเฉลียวฉลาด และมีการสนใจในแง่มุมต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “หนึ่งในกรณีที่ต้องสนับสนุนก็คือ บรรดาอัจฉริยบุคคลที่กำลังศึกษาอยู่ในประเทศหรือมาจากต่างประเทศ สามารถที่จะหางานที่เหมาะสมทำได้ที่นี่ตามความรู้และความสามารถของพวกเขา ตลอดจนความเป็นไปได้ของการวิจัยและการสื่อสารกับศูนย์วิทยาศาสตร์ของโลก ซึ่งสิ่งนี้นั้นไม่มากเกินไปที่จะคาดหวัง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการย้ายถิ่นฐานของบรรดาอัจฉริยบุคคลบางคนที่กลับมาจากต่างประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวถึงเจ้าหน้าที่ทั้งหลายว่า “เราอย่าได้ปล่อยให้บรรดาอัจฉริยบุคคล เนื่องจากเกิดการกีดกันหรือมีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมจากมหาวิทยาลัยและหมดหวังจากการอาศัยในประเทศต่อไป และอย่างไรก็ดี เรานั้นได้จ่ายค่าใช้จ่ายมากน้อยเพียงใด ก็ไม่ถือเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถือเป็นการลงทุน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปดัชนีของการประเมินผลอาจารย์และบรรดาอัจฉริยบุคคล โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “บัดนี้ ดัชนีการประเมินผลอาจารย์และบรรดาอัจฉริยบุคคล คือ จำนวนบทความ ขณะที่ประเด็นการยกระดับของดัชนี จะต้องเป็นหัวข้อในการแก้ปัญหา”
ในช่วงท้ายของการกล่าวสุนทรพจน์ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงประเด็นพื้นฐานเกี่ยวกับการวิเคราะห์ถึงปัญหาที่ถูกต้อง การแก้ไขขอบเขตของวิสัยทัศน์และการเคลื่อนไหวตามพื้นฐานนี้
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า การโฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่องของพวกชาติตะวันตก นับตั้งแต่ช่วงแรกในการได้รับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามจนกระทั่งถึงวันนี้ บนพื้นฐานที่ว่าสาธารณรัฐอิสลามกำลังพบกับการล่มสลาย โดยท่านกล่าวว่า “พวกเหล่านี้ได้กำหนดเวลาสำหรับข้ออ้างนี้และทุกครั้งที่พวกเหล่านี้พูดว่าอีกหนึ่งเดือน อีกหนึ่งปี หรืออีกห้าปี ภารกิจของสาธารณรัฐอิสลามก็จะจบลงและบางคนก็ส่งเสริมการเรียกร้องเหล่านี้ เนื่องจากการเพิกเฉยหรือความปรารถนาที่ไม่ดีต่อข้ออ้างนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในช่วงการมีชีวิตของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) บนพื้นฐานที่ว่า รัฐอิสลามกำลังจะล่มสลาย และคำตอบที่เด็ดขาดของท่านอิมามก็คือ พวกคุณเองต่างหากที่กำลังจะล่มสลาย แต่รัฐอิสลามกำลังยืนหยัดอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “หลังจากการอสัญกรรมของท่านอิมามในปี 1369 (ปฏิทินอิหร่าน) บางคนที่อยู่ในหมู่พวกเหล่านี้ที่มีความเข้าใจและมีประสบการณ์ได้ประกาศว่า รัฐอิสลามกำลังอยู่ข้างขอบเหว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “เราไม่เคยยอมแพ้และเราได้ยืนหยัด และหากพระองค์ทรงประสงค์ เราก็จะยืนหยัดอีกต่อไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นว่า มีสองวิธีการจากวิเคราะห์ในประเด็นนี้ โดยท่านกล่าวว่า “วิธีการแรกที่เชื่อว่า การปฏิบัติการและการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับบรรทัดฐานสากลและอำนาจที่เกิดขึ้นจากบรรทัดฐานนี้ เช่น สหรัฐอเมริกา นั้นไม่มีประโยชน์ใดและจะต้องถูกทำลายลง ซึ่งคนเหล่านี้ก็เช่นกันที่มีการวิเคราะห์อื่นๆจากความเป็นจริงและโลก ด้วยการมีความคิดที่หลอกลวง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “แต่การวิเคราะห์ที่สองและตามความเป็นจริงนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่า ความเป็นจริงทั้งหมด ไม่เพียงแต่มีข้อเท็จจริงที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อเท็จจริงที่ไม่ดีด้วยและมีการเคลื่อนไหวตามพื้นฐานนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “เรานั้นไม่เคยปฏิเสธจุดอ่อนของพวกเราและเราได้กล่าวย้ำกันในการประชุมเดือนรอมฎอนของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯและในการประชุมแบบส่วนตัว และเรายังได้กล่าวหลายครั้งมาแล้วว่า เรานั้นกำลังล้าหลัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แต่ในความเป็นจริงที่น่าสนใจ ก็คือ สาธารณรัฐอิสลามได้ดำเนินการขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องโดยที่เริ่มต้นจากจุดสิ้นสุดของขบวนและวันนี้ได้มาถึงด้านหน้าของขบวนแล้ว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าอันยอดเยี่ยมของประเทศทางด้านความรู้และการบริหารจัดการที่หลากหลาย โดยท่านกล่าวว่า “เรายังมีจุดอ่อนอีกมากมาย ขณะที่เจ้าหน้าที่บางคนและรัฐบาลต่างเคยกระทำความผิดพลาด แต่ทว่าการขับเคลื่อนทั่วไปกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความก้าวหน้า”
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “พวกท่านทั้งหลาย จงมองดูสิว่าสาธารณรัฐอิสลามเมื่อ40 ปีหรือ 20 ปีที่แล้วอยู่นั้นที่ไหน และวันนี้กำลังอยู่ที่ไหน ด้วยการเปรียบเทียบนี้ พวกท่านสามารถเข้าใจได้ว่าการวิเคราะห์ใดหรือที่ตรงกับความเป็นจริง จะเป็นการวิเคราะห์ของชาติตะวันตกหรือการวิเคราะห์ของการปฏิวัติอิสลาม?”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บรรดาเยาวชน คนหนุ่มสาว และบรรดาอัจฉริยบุคคล ด้วยการมีแรงบันดาลใจ เป็นหนึ่งในสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดของการขับเคลื่อนที่มั่นคงและมุ่งหน้าสู่ความก้าวหน้าของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หลังจากที่ผ่านมาถึง 4 ทศวรรษของการปฏิวัติอิสลาม และความเป็นปฏิปักษ์ที่มากมาย ทั้งการโฆษณาชวนเชื่อทางด้านลบ ขณะที่การดำรงอยู่ของบรรดาอัจฉริยบุคคลจำนวนมากที่เชื่อมั่นว่า เส้นทางนี้กำลังขับเคลื่อนไปทางการปฏิบัติอย่างจริงจังและด้วยความพยายาม และนี่คือ เหตุผลที่ดีที่สุดสำหรับการวิเคราะห์โลกอย่างถูกต้องของการปฏิวัติอิสลามและวิถีที่ถูกต้องของความก้าวหน้า”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ บรรดาเยาวชน อัจฉริยบุคคล จำนวน 7 คนได้กล่าวแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ โดยมีทั้งสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ดังนี้
-อะมีร มุฮัมมัดซาเดห์ ลาญะวัรดี นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาโปรแกรมซอฟต์แวร์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชะรีฟ
-ฮะมีเดห์ มัจญ์ด ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากโครงการชะฮีด อะห์มะดี รูชัน ของมูลนิธิอัจฉริยบุคคลแห่งชาติและการเคลื่อนไหวด้านเหมืองแร่
-ญะวาด ชัมซุดดีนี อันดับที่ 65 ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย สาขาวิชาแพทยศาสตร์และเป็นสมาชิกของมูลนิธิอัจฉริยบุคคลแห่งชาติ
- มุฮัมมัด ตะมันนาอี ปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมการขนส่งของมหาวิทยาลัยครู
- ซะฮ์รอ เอฮ์ติชาม ผู้ได้รับการคัดเลือกจากโครงการชะฮีด อะห์มะดี รูชัน และนักศึกษาดีเด่นที่มีความสามารถพิเศษ
-ซัยยิด มุฮัมมัด นะวีด กุร็อยชี ปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมการบินและอวกาศ ของมหาวิทยาลัยเตหะราน
- วะฮีด ซัรฆอมี ปริญญาเอก นาโนเทคโนโลยี ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชะรีฟ
ประเด็นต่างๆเหล่านี้ที่มีการนำเสนอ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
- ความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างพื้นฐานของการสำรวจการขุดเจาะและการแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
- การลดอัตราภาษีการนำเข้าเครื่องจักรที่หนักหน่วงของภาคการผลิต ซึ่งไม่มีการผลิตในประเทศ
-ความจำเป็นในการส่งเสริมความยุติธรรมทางการศึกษาและการจัดทำแผนโครงการพิเศษเพื่อสนับสนุนการศึกษาในพื้นที่ด้อยโอกาส
- การวิจารณ์จากการเพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วนของศักยภาพในการดึงดูดนักศึกษาแพทย์โดยที่ไม่มีการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
- การแนะนำการสร้างเครือข่ายของการขนส่งเชิงกลยุทธ์และการคมนาคม เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งสมบูรณ์และทำให้อิหร่านกลายเป็นศูนย์กลางของการคมนาคมในภูมิภาค
- ความจำเป็นในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาของการยกระดับอุดมศึกษาและการแก้ปัญหาของประเทศ
- ความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงในโครงการอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสนับสนุนทางการเงินในระดับชาติและการเสริมสร้างความเข้มแข็งของความร่วมมือระหว่างประเทศ
- ความจำเป็นในการจัดทำนโยบายเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัทฐานความรู้ในภาคส่วนที่มีความต้องการและการตลาดและการสร้างความน่าดึงดูดใจสำหรับการลงทุนภาครัฐที่มีกำไร
ในการพบปะกันครั้งนี้ ดร. เดห์กอนี ฟีรูซอาบาดี รักษาการรองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์ ถือว่า การขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ เป็นผลที่ได้รับมาจากการเสวนาวิชาการและการติดตามอย่างจริงจังของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเขายังได้ชี้ให้เห็นว่า มีความจำเป็นในการเติบโตของอุตสาหกรรมฐานความรู้ เพื่อที่จะเสริมสร้างห่วงโซ่ในการมีคุณค่า โดยเขากล่าวว่า “การเกิดขึ้นและการฟื้นฟูอุตสาหกรรมฐานความรู้บนพื้นฐานของข้อกฏหมายแบบก้าวกระโดดจากการผลิต ความร่วมมือกับเครือข่ายของฐานความรู้ การสนับสนุนการผลิตเทคโนโลยีในประเทศ และการป้องกันการนำเข้าที่ไม่จำเป็น ถือเป็นวาระของรัฐบาล”