สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ทหารผ่านศึกสงครามป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

" พิธีการเทอดเกียรติต่อทหารผ่านศึกในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์"

ท่านผูนำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวปราศรัยในพิธีการเทอดเกียรติต่อบรรดาทหารผ่านศึกในช่วงสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ณ ฮุซัยนียะฮ์อิมามโคมัยนี โดยท่านผู้นำ ถือว่า สงครามภาคบังคับที่เกิดขึ้น อันเป็นผลที่ได้รับมาจากนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ของระบบจักรวรรดินิยมของชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ ซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสาธารณรัฐอิสลามและประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แม้ว่าจะมีการสนับสนุนอย่างรอบด้านของชาติมหาอำนาจโลกต่อซัดดัม ผู้ทะเยอทะยานและผู้คลั่งไคล้อำนาจ สงครามนั้นด้วยกับองค์ประกอบทั้งสามประการ กล่าวคือ พลังอำนาจแห่งการปฏิวัติอิสลาม ความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพของท่านอิมามโคมัยนี(ร.ฮ.) และคุณลักษณะอันสูงส่งและเด่นชัดของประชาชาติอิหร่าน ได้ทำให้ภัยคุกคามที่แน่นอนและใหญ่หลวงกลายเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติ ซึ่งจะเป็นหลักประกันให้กับบรรดาเยาวชนและยุวชนทั้งหลาย เพื่อสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของการปฏิวัติอิสลาม ด้วยการรายงานที่ถูกต้องและมีความละเอียดถี่ถ้วนในบริบทที่น่าตื่นเต้นและน่าสะพรึงใจในหน้าประวัติศาสตร์อิหร่าน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ถือว่า การป้องกันศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น ที่เต็มไปด้วยความหมาย และมีประโยชน์สำหรับวันนี้และในอนาคตของประเทศ โดยท่านได้แสดงความเคารพและการให้เกียรติกับบรรดาทหารผ่านศึกในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บรรดาทหารผ่านศึกนั้นตระหนักดีถึงความต้องการที่สำคัญของช่วงเวลานั้นที่เร็วกว่าบุคคลอื่นและเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการนี้ในภาคสนามที่เต็มไปด้วยกับสงครามและการญิฮาด ทั้งการเสียสละ ด้วยเหตุนี้เอง การยกย่องและการแสดงความเคารพต่อพวกเขานั้น จึงถือเป็นหน้าที่ๆสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสาธารณชน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่าด้วยกับช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น มีมิติต่างๆและข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทั้งหลาย เช่น ในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะต้องความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการปฏิบัติเพื่อที่จะทำความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะที่เป็นช่วงเวลาที่มีความรุ่งโรจน์และมีประสิทธิภาพโดยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและคนรุ่นปัจจุบันก็จะต้องทำความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงและความเป็นจริงของช่วงเวลานั้น ซึ่งถือเป็นความพยายามที่คาดหวังอย่างจริงจังต่อบรรดาทหารผ่านศึกในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และบรรดาผู้ที่รับผิดชอบในประเด็นต่างๆเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงพวกชาติตะวันตกได้เผยแพร่เอกสารและหลักฐานจากสงครามภาคบังคับ โดยท่านกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “คำสารภาพเหล่านี้ล้วน ได้พิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงในคำพูดของพวกเราที่เป็นข้ออ้างและมีการจินตนาการ”

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ถือว่า สงครามภาคบังคับที่มีต่ออิหร่าน เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบรูปแบบธรรมชาติของชาติมหาอำนาจโลกที่มีผลต่อชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การปฏิวัติอิสลามของประชาชาติอิหร่าน มิได้เป็นเพียงความล้มเหลวของระบอบที่ต้องพึ่งพาและการทุจริตและสร้างความเสียหายให้กับพวกสหรัฐและชาติมหาอำนาจ จอมอหังการเท่านั้น แต่ทว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบอบจักรวรรดินิยม และเหล่าพวกชาติมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออกต่างก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงภัยคุกคามนี้ และได้ส่งเสริมและยุยงให้ซัดดาม ฮุสเซน ก่อสงครามกับประชาชาติอิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของสงครามภาคบังคับ เพื่อเป็นการป้องกันในการส่งสารและถ้อยคำใหม่ของประชาชาติอิหร่านไปถึงยังประชาชาติอื่นๆ รวมถึงความไม่หวาดกลัวต่อสหรัฐฯ ทั้งในการยืนหยัดและการต่อต้านการกดขี่และการเลือกปฏิบัติของโลก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปรากฏของระบอบการเมืองที่เป็นอิสระและสร้างแรงบันดาลใจในประเทศ ซึ่งเป็นความหวัง การพึ่งพา และความละโมบโลภมากของพวกอเมริกาและเหล่ามหาอำนาจนั้น ถือว่า พวกเหล่านั้นไม่สามารถอดทนไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ล้มเหลว เช่น การก่อรัฐประหาร การโจมตีทางอากาศเข้าใส่เมืองทาบัส และการยุยงกลุ่มชาติพันธุ์ ฉะนั้น พวกเหล่านั้นจึงต้องก่อสงครามอย่างเต็มรูปแบบกับประชาชาติอิหร่าน”

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าการโจมตีทั่วประเทศนี้ ไม่ได้คาดคิดมาก่อนในสายตาของนักการปฏิวัติอิสลาม แต่ทว่าถือว่าเป็นประสบการณ์ให้กับกองกำลังของกองทัพบก และเป็นเรื่องที่ไม่คาดหวังสำหรับบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นอิสรภาพของโลก”

ในบริบทนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของอดีตประธานาธิบดีประเทศกินี นายอาหมัด เซกู ตูเร ในการพบปะกันแบบส่วนตัวกับท่านผู้นำ โดยท่านกล่าวว่า “นายเซกูตูเร เชื่อมั่นว่า การเกิดขึ้นของสงครามภาคบังคับนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากลัทธิจักรวรรดินิยมไม่สามารถที่จะทำให้การปฎิวัติอิสลามต้องพบกับความอ่อนแอหรือมีการจัดการให้สิ้นซาก แน่นอนว่า จะต้องก่อสงครามอย่างหนักหน่วงต่อพวกเขา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อคำพูดของบุคคลที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ว่าอิหร่านจะต้องรับผิดชอบในสงครามภาคบังคับและบอกด้วยว่าการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ จะต้องสิ้นสุดหลังจากที่เมืองโครรัมชาห์ได้รับการปลดปล่อย โดยท่านกล่าวว่า “เหตุการณ์การสิ้นสุดของสงคราม คือ การโจมตีและการรุกคืบของซัดดาม หลังจากที่อิหร่านได้ยอมรับมติที่ 598 และหลังจากนั้นก็มีการปฏิบัติการณ์เมรซอด แสดงให้เห็นว่า หากว่าในช่วงเวลานั้น เมื่อเมืองโครรัมชาห์ได้รับการปลดปล่อย การป้องกันประเทศก็จะสิ้นสุดลง ซึ่งแน่นอนว่าซัดดามก็จะรุกคืบอีกต่อไป แม้ว่าบางส่วนของอิหร่านจะอยู่ในการยึดครองของเหล่าผู้รุกรานก็ตาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การแบ่งแยกอิหร่านและการแยกออกของจังหวัดคูซิสสถาน เป็นส่วนสำคัญของประเทศ การทำให้ประชาชาติต้องยอมจำนน การล้มล้างสาธารณรัฐอิสลาม และการเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของประชาชาติอิหร่าน ทั้งหมดเหล่านี้นั้น ล้วนเป็นเป้าหมายหลักของจักรวรรดินิยมของพวกมหาอำนาจที่มีต่อสงครามภาคบังคับกับอิหร่าน และท่านกล่าวว่า “อย่าได้ลืมเลือนต่อข้อเท็จจริงอันชัดเจนเหล่านี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สงครามแปดปีได้ทำให้ภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงกลายเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ นี้คือ ข้อเท็จจริงประการที่สอง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความร้อนระอุของการปฏิวัติอิสลาม ความเป็นผู้นำของท่านอิมามโคมัยนี และคุณลักษณะของประชาชาติอิหร่านอันโดดเด่นและสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ ถือเป็น 3 องค์ประกอบหลักและปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความจริงที่น่าตื่นเต้นนี้ และจะต้องมีการอธิบายอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการใช้โอกาสจากภัยคุกคามของสงครามอันเลวร้าย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักสำหรับส่วนมากของประชาชน”

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ถือว่า การให้บทเรียนและข้อเตือนใจแก่ประชาชาติอื่นๆ คือ หนึ่งในเป้าหมายของกลุ่มผู้ที่เรียกร้องอย่างมากมายของโลกในการเปิดสงครามภาคบังคับ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกเหล่านั้นต่างมีความต้องการที่จะปิดประตูแห่งการยืนหยัดต่อสู้ด้วยการปราบปรามประชาชาติอิหร่าน แต่ประชาชาติกลับได้ทำลายเป้าหมายทั้งหมดของฝ่ายชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เหล่าศัตรูคาดคิดจากการยกตัวเองให้สูงส่งและการสร้างโอกาสอย่างมากมาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในความสำเร็จของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ คือ การยืนหยัดของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวคูซิสถานและกลุ่มชาวอาหรับ ทั้งในการไม่แยแสต่อศัตรูที่ล่อลวงให้มีการแบ่งแยกประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ถือเป็นการปูทางพื้นฐานสำหรับการเกิดขึ้นของความเชื่อทางศาสนาและมาตรฐานทางศีลธรรมอันสูงสุดของประชาชาติอิหร่าน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งการเสียสละและความเชื่อทางศาสนาในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ได้เกิดขึ้นในบรรดาครอบครัวทหารนักต่อสู้และบรรดาชะฮีดโดยจำเพาะโดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งประเทศนั้นได้กลายเป็นแนวรบจากการป้องกันอย่างลึกซึ้ง และเมือง หมู่บ้าน มัสยิดและกลุ่มชนต่างๆ สถาบันศาสนาและมหาวิทยาลัย ล้วนถูกนำมาใช้ในการป้องกันและการปฏิวัติอิสลามทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเป็นเอกภาพและความสามัคคีของประชาชาติ เป็นหนึ่งในความสำเร็จอีกประการหนึ่งในช่วงยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ ในช่วงปีแรกๆของการปฏิวัติอิสลาม เนื่องจากความแตกต่างทางการเมืองในระดับสูงของประเทศและการดำเนินการเพื่อการสร้างความแตกแยกของกลุ่มต่างๆ ได้ทำให้ประชาชนต้องแยกออกเป็นกลุ่มๆ แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนทั้งหมดก็ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความสำเร็จอีกประการหนึ่งของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการปูทางพื้นฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงจากภัยคุกคามให้กลายเป็นโอกาส คือ ประเด็นของการมีอำนาจทางทหารของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ในช่วงเริ่มต้นของสงครามภาคบังคับ สถานการณ์ของประเทศทั้งในแง่ทางทหารนั้นไม่ได้ดีนัก แต่ทว่าอีกด้านหนึ่ง การป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ได้กลายเป็นบททดสอบของความจงรักภักดีของกองทัพที่มีต่อระบอบอันศักดิ์สิทธิ์ของสาธารณรัฐอิสลาม และอีกด้านหนึ่งเป็นการปูทางให้กับกองทัพซิพอฮ์ได้สำแดงถึงความเป็นจริงที่ส่องแสงสว่างไสว”

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ได้เน้นย้ำให้เห็นว่าการมีอำนาจของกองทัพบกนั้น เป็นเหตุให้ประชาชนมีความรักต่อพวกเขาและสร้างความรู้สึกถึงการมีความมั่นคงให้ประเทศชาติ พร้อมทั้งท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าประเด็นนี้ บรรดาผู้บัญชาการกองทัพและกองทัพซิพอฮ์ ควรที่จะต้องให้ความใส่ใจว่าการมีความรักและอำนาจ จะเกิดขึ้นตราบจนเวลาที่มีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของกองทัพบกด้วยกับความเร็วเท่าเดิมอย่างต่อเนื่อง ทั้งไม่มีการหยุดนิ่งหรือการหันหลังกลับเป็นอันขาด เพราะว่าการหยุดนิ่งในทุกรูปแบบ ตรงกันข้ามกับการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของศัตรู นั่นหมายถึง การหันหลังกลับ ฉะนั้น ด้วยเหตุนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ทางทหารและประเทศ จะต้องถือว่าการสนับสนุนต่อกองทัพบกนั้นเป็นภารกิจที่จำเป็นอย่างยิ่งของตนเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า วันนี้ทั้งในแง่ของการป้องกันประเทศ อิหร่านนั้นได้ก้าวเข้ามาสู่ขั้นตอนของการป้องกันประเทศได้อย่างสมบูรณ์ และไม่มีความกังวลในภัยคุกคามจากภายนอกแต่อย่างใด อีกทั้ง เหล่าศัตรูต่างก็ทราบดีถึงประเด็นนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่สำคัญ พร้อมทั้งกล่าวว่า  “บางครั้งในกรณีการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีการใช้คำว่า เช่น การใช้ประโยชน์จากคลื่นมหาชน ในขณะที่แกนหลักของการขับเคลื่อนและการดำเนินการ ทั้งการปฏิบัติการณ์ในช่วง 8 ปีของสงคราม คือ มีการบริหารจัดการที่ดีและการใช้เหตุผลและตรรกะ ตลอดจนวิธีการและแนวทางต่างๆที่เป็นนวัตกรรมในการปฏิบัติการณ์มากมาย ซึ่งสามารถที่จะนำมาใช้เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยทหารได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า หนึ่งในความสำเร็จของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ คือ การพิสูจน์หลักการที่สำคัญประการหนึ่งสำหรับประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “ในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การปกป้องประเทศและการป้องกันในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามของศัตรูนั้น มีวิธีการเดียวก็คือ การยืนหยัดในการต่อสู้ มิใช่การยอมจำนน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม มีกลุ่มผู้คนจำนวนหนึ่งที่เชื่อว่าจะต้องมีการยอมจำนน แม้ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้โดยตรงก็ตาม แต่ทว่าท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้ยืนหยัดอย่างมั่นคง และในท้ายที่สุด ท่านอิมามก็ได้พิสูจน์ให้ประชาชาติอิหร่านเห็นว่า การปฏิวัติอิสลามนั้นได้รับชัยชนะ มีความก้าวหน้าและการปกป้องประเทศด้วยกับการยืนหยัด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการใช้หลักการของการยืนหยัดในประเด็นต่างๆทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การยืนหยัดอย่างชาญฉลาดนี้ ประการแรก จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในตนเองของบรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมืองและวัฒนธรรม ประการที่สอง จะสอนให้ศัตรูในการคิดคำนวณของตนเองให้คำนึงถึงอำนาจภายในของอิหร่านอยู่เสมอ เพราะด้วยกับจิตวิญญาณนี้ เราจึงสามารถเอาชนะศัตรูได้หลายกรณี เช่น ในการสร้างแรงกดดันอย่างสูงสุด หรือแผนการณ์ ตะวันออกกลางใหม่ หรือการโจมตีทางอากาศเข้าใส่เขตพรมแดนและการโจมตีทางทะเล ได้แก่ การยิงโดรนไร้คนขับของศัตรู ผู้รุกรานหรือการยึดเรือบรรทุกที่กระทำความผิด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการรายงานอย่างถูกต้อง โดยท่านกล่าวว่า “การดำเนินการทั้งหมดที่มีการปฏิบัติในประเด็นนี้นั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่ทว่าทั้งหมดนี้ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานและจะต้องเห็นถึงผลลัพท์ในการงานต่างๆอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “เวลาที่พวกท่านทั้งหลายสามารถที่จะเห็นถึงผลลัพท์ของการงานของตนเองจากการรายงานที่เกี่ยวกับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านจะรู้สึกพอใจว่าบรรดายุวชนและเยาวชนจะมองมายังปัญหาต่างๆด้วยกับสายตาเหมือนดั่งที่พวกท่านได้มองมายังการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และมีความเข้าใจเช่นเดียวกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำให้เห็นว่าหากสิ่งที่สำคัญนี้เกิดขึ้น ย่อมที่จะบรรลุสู่ความสำเร็จในด้านต่างๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเข้าร่วมของบรรดาเยาวชน ซึ่งพวกเขาได้เข้าร่วมในการป้องกันฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ จนบางคนนั้นได้รับตำแหน่งการเป็นชะฮีด เนื่องจากผลอันมีประสิทธิภาพของการรายงานที่ถูกต้อง เพราะว่าบรรดาเยาวชนเหล่านี้ พวกเขาไม่เคยเห็นในช่วงสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์เลย”

ท่านผู้บัญชาการสูงสุดทุกเหล่าทัพ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของศัตรูที่จะปฏิเสธจุดสูงสุดของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และการพูดเกินความจริง ถือเป็นจุดอ่อนที่คาดว่า มีความเป็นไปได้ โดยพวกเหล่านี้ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการสร้างภาพจอมปลอมที่หลอกลวงของมหาอำนาจ จอมอหังการ ด้วยกับการขับเคลื่อนการงานทางด้านวัฒนธรรม การโฆษณาชวนเชื่อ และการสื่อสาร ทั้งได้ปกปิดความขมขื่นและความมืดบอดของตัวเอง ซึ่งในทางตรงกันข้าม การปกปิดจุดแข็งและความสำเร็จต่างๆของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ การปูทางเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนในการมีอำนาจ และการเปิดภาพลักษณ์ภายนอกแบบผิวเผินของมหาอำนาจ จอมอหังการ ซึ่งผลที่จะได้รับคือ ความหวาดกลัวต่อศัตรูในสนามทางการเมืองและการรู้สึกถึงความต่ำต้อยของตนเองในการเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามทางด้านวัฒนธรรม”

ในช่วงท้ายสุด ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตอบคำถามต่อการรายงานเท็จและการบิดเบือนที่เกี่ยวกับการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกสหรัฐและรัฐเถื่อนไซออนิสต์กำลังสาละวนอยู่กับการเขียนหนังสือและการผลิตภาพยนตร์ในประเด็นนี้ ซึ่งเราจะต้องใช้ประโยชน์จากปัญญาชนและศิลปินในการเผชิญหน้ากับความพยายามของพวกเหล่านี้ ทั้งยังต้องมีการดำเนินการอย่างเหมาะสมอีกด้วย”

ในการพบปะกันครั้งนี้ นายพลโมฮัมหมัด บาเกรี เสนาธิการทั่วไปของกองทัพบกได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับพิธีการเทอดเกียรติบรรดาทหารผ่านศึกทั้ง 1 ล้านคนทั่วประเทศในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สาม โดยนายพลบาเกรี ยังได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับรูปแบบแผนและการดำเนินกิจกรรมต่างๆในด้านการรักษาและการส่งเสริมวัฒนธรรมและการรู้จักคุณค่าของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์

ในช่วงต้นของพิธีการนี้ ได้มีการติดต่อสื่อสารโดยผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับศูนย์กลางทั้ง 31 จังหวัด โดยมีนายซอดิก ออฮังกะรอน เป็นผู้ขับลำนำในการนี้อีกด้วย

 

                                         

 

 

700 /