สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวปาฐกภาพิเศษ เนื่องในงานอสัญกรรมอิมามโคมัยนี ครบรอบปีที่ 33

อิมามโคมัยนีคือผู้นำการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การปฏิวัติ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในการรวมตัวของประชาชนอย่างมากมาย ณ  ฮะรัมของท่านอิมามโคมัยนี เนื่องในวโรกาสครบรอบปีที่ 33 แห่งการอสัญกรรมของท่าน โดยท่านผู้นำถือว่า ท่านอิมามโคมัยนี คือ จิตวิญญาณของสาธารณรัฐอิสลาม บุคคลที่โดดเด่นที่ไม่เสมือนผู้ใดอย่างแท้จริงและเป็นอิมาม(ผู้นำ)ของเมื่อวาน วันนี้และในวันพรุ่งนี้สำหรับประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำยังได้เน้นย้ำว่า “เยาวชนผู้ชาญฉลาดในปัจจุบันนี้นั้นมีความต้องการซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ มีความครอบคลุม ความรวดเร็ว และสร้างความเปลี่ยนแปลง สำหรับการบริหารจัดการประเทศและการนำพาประชาชาติไปสู่จุดสูงสูดอันรุ่งโรจน์ ซึ่งหมายถึง บทเรียน คำพูด และการกระทำของท่านอิมามโคมัยนี(ร.ฮ.)นั่นเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ให้คำแนะนำที่สำคัญแก่ประชาชนและบรรดานักเคลื่อนไหวทางด้านการปฏิวัติอิสลาม วัฒนธรรม การเมือง และทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันการสร้างอัตลักษณ์ในการต่อต้านการปฏิวัติและการบิดเบือนในประเด็นเกี่ยวกับท่านอิมาม การเปิดโปงการโกหก การหลอกลวงและสงครามจิตวิทยาของศัตรู การป้องกันการแทรกซึมของเส้นเลือดของกลุ่มชนที่ล้าหลังและการใช้ชีวิตด้วยกับวิถีชีวิตแบบตะวันตก อีกทั้งท่านผู้นำสูงสุดยังได้กล่าวยกย่องต่อบรรดาเจ้าหน้าที่นักการปฏิวัติอิสลามอีกด้วย

ในพิธีการซึ่งได้มีการจัดขึ้น หลังจากสองปีที่ผ่านมา ด้วยการเข้าร่วมของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ให้เห็นถึงมิติต่างๆทางด้านบุคลิกภาพของท่านอิมามโคมัยนีที่ยังไม่เป็นที่ถูกรู้จัก โดยท่านกล่าวว่า “แม้ว่าจะมีคำพูดและงานเขียนมากมายที่เกี่ยวกับนักปราชญ์ ผู้ชี้นำ ผู้นี้ แต่ก็ยังมีคำพูดอีกมากมายที่ยังไม่ได้กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ การมีอำนาจทางด้านบุคลิกภาพ และความเป็นผู้นำสูงสุดของท่านอิมามโคมัยนี ทั้งบรรดาเยาวชนก็ยังไม่รู้จักท่านอิมามเป็นอย่างดี  เพื่อที่จะบรรลุสู่ความรับผิดชอบของชาติและการปฏิวัติอิสลามและก้าวที่สองแห่งการปฏิวัติอิสลามและการบริหารจัดการที่ดีที่สุดของประเทศ ก็จะต้องเรียนรู้จากบทเรียนทั้งหลายที่เป็นประสบการณ์และเป็นตัวกำหนดของสำนักคิดของท่านอิมามโคมัยนี เพื่อที่จะก้าวไปสู่อนาคตอันสดใสของประเทศชาติได้อย่างมั่นใจ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติต่างๆ และท่านผู้นำยังได้กล่าวเปรียบเทียบกระบวนการทั้งสองของการปฏิวัติร่วมสมัยที่เป็นที่รู้จัก กล่าวคือ การปฏิวัติครั้งใหญ่ของฝรั่งเศส และการปฏิวัติของสหภาพโซเวียต กับการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในการปฏิวัติเหล่านี้ เรื่องราวทางด้านจิตวิญญาณได้ถูกเพิกเฉยและการปฏิวัติทั้งสองหลังจากที่ได้ผ่านไปในช่วงเวลาหนึ่งก็ถูกบิดเบือนและประชาชนที่เป็นเหตุทำให้เกิดชัยชนะ พวกเขาก็ถอยออกห่างและหวนกลับคืนสู่ยุคของอดีตก่อนหน้านี้ แต่ทว่าหลังจากชัยชนะแห่งการปฏิวัติอิสลาม ก็ได้มีการจัดการเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง การพึ่งพาประชาชนมาโดยตลอด และการให้ความสนใจทั้งทางด้านวัตถุและจิตวิญญาณไปพร้อมๆกัน ซึ่งความเป็นจริงเหล่านี้ คือ เหตุผลที่สำคัญที่ทำให้การปฏิวัติอิสลามนั้นเหนือกว่าการปฏิวัติต่างๆทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดและแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของความเป็นผู้นำของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมของประชาชาติ เป็นปัจจัยที่เด็ดขาดในการได้รับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “มืออันทรงพลังนั้น บุคลิกภาพที่แข็งแกร่ง จิตใจที่เชื่อมั่น และภาษาดุจดั่งดาบซุลฟีกอรที่สามารถนำพามหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติเข้ามาสู่ภาคสนามได้ และผู้ที่ทำให้กลายเป็นคลื่นกระจัดกระจายไปตามสถานที่ต่างๆและการเข้าร่วมในภาคสนามโดยปราศจากความสิ้นหวังและเป็นผู้ที่สอนให้พวกเขากำหนดทิศทางในการขับเคลื่อน นั่นคือ ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่และสูงส่งยิ่ง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวอธิบายถึงการสำแดงของความเป็นผู้นำที่เต็มเปี่ยมด้วยมันสมองและเต็มความหมายของท่านอิมามโคมัยนีและการมีอำนาจอันทรงอิทธิพลของท่านในการกำหนดและการสอนให้รู้จักในสนามแห่งการต่อสู้ โดยท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในช่วงของการจัดตั้งขบวนการแห่งการปฏิวัติอิสลามและสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ได้กำหนดสนามแห่งการต่อสู้ จากคำแถลงการณ์ของท่านในช่วงปีสุดท้ายของท่าน และคำสั่งเสียของท่าน แม้ว่าในยุคสมัยหลังจากท่านเองก็ตาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)นั้น เป็นผู้ที่มีลักษณะที่โดดเด่นทั้งในแง่ของลักษณะทางด้านปัจเจกบุคคลของท่าน ด้วยความหมายที่แท้จริง และท่านผู้นำยังได้กล่าวอธิบายถึงคุณลักษณะอันพิเศษบางประการของท่านอิมามอีกด้วย โดยท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า “ความบริสุทธิ์และความยำเกรง สภาวะทางด้านจิตวิญญาณและสถานภาพทางด้านอิรฟาน ความกล้าหาญ ความมีวิทยปัญญาและเหตุผล การคิดคำนวณ เป็นความหวังสำหรับอนาคต มีความซื่อสัตย์ ความตรงต่อเวลาและความเป็นระเบียบ ความมอบหมายกิจการต่อพระเจ้า(ตะวักกุล) และการเชื่อมั่นในพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และการเป็นนักต่อสู้ ซึ่งทั้งหมดเหล่านี้คือ ลักษณะอันโดดเด่นของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ล่วงลับ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี หลังจากที่ได้กล่าวอธิบายถึงคุณลักษณะอันพิเศษบางประการของท่านอิมามแล้ว ยังได้กล่าวอธิบายหลักการและพื้นฐานของสำนักคิดของท่านอิมามโคมัยนี โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “โครงสร้างพื้นฐานของสำนักคิดของท่านอิมามโคมัยนี ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยของการต่อสู้หรือในยุคสมัยแห่งการปฏิวัติอิสลาม ล้วนเป็นการต่อสู้เพื่อพระเจ้าทั้งสิ้น อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ ก็มีพื้นฐานมาจากอัลกุรอานอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพระเจ้าในทุกขั้นตอน คือ การดำรงไว้ซึ่งสัจธรรม ความยุติธรรม และการส่งเสริมจิตวิญญาณ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ท่านอิมามโคมัยนี คือ นักต่อสู้ที่แท้จริงและท่านอิมามยังได้เข้าร่วมในทุกสนามแห่งการต่อสู้เพื่อพระเจ้ามาโดยตลอด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า การขับเคลื่อนของท่านอิมามโคมัยนี ในยุคสมัยของการต่อสู้มีจุดที่สำคัญหลายประการด้วยกัน อาทิเช่น การไม่มีความหวาดกลัวใดๆ การเปิดเผยกับประชาชน ความเชื่อมั่นต่อประชาชน การกล่าวยกย่องต่อการเป็นนักต่อสู้ของประชาชนและการปลูกฝังความหวังในหัวใจทั้งหลาย”

หลังจากนั้น ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงจุดที่สำคัญของการขับเคลื่อนของท่านอิมามโคมัยนีในช่วงของการก่อตั้งสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำสูงสุดได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความกังวลใจและแผนงานที่สำคัญมากที่สุดของท่านอิมามในยุคนี้ คือ การเกิดช่องว่างระหว่างแบบแผนของสาธารณรัฐอิสลามกับวัฒนธรรมและพจนานุกรมของชาติตะวันตก ด้วยกับรากฐานนี้ ท่านอิมามจึงยืนยันได้ว่าสาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่ได้หยิบยืมมาจากสาธารณรัฐและประชาธิปไตยของชาติตะวันตก แต่ทว่าล้วนนำมาจากหลักการของศาสนาอิสลามทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของต้นแบบใหม่ของท่านอิมามโคมัยนี คือ ความร่วมมือกันของทั้งสองฝ่ายที่มองแบบผิวเผินนั้นมีความขัดแย้งกัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในต้นแบบและระบบการเมืองใหม่ที่นำเสนอโดยท่านอิมามโคมัยนี  ทั้งทางด้านจิตวิญญาณและการลงคะแนนเสียงของประชาชน ทั้งการดำเนินการตามหลักการและกฏระเบียบของพระเจ้า ทั้งการระมัดระวังต่อผลประโยชน์ของสาธารณชน ทั้งการยืนหยัดในความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและการให้ความเคารพต่อผู้อ่อนแอ ทั้งการยืนหยัดในการสร้างความมั่งคั่ง ทั้งการปฏิเสธการกดขี่และการปฏิเสธการถูกกดขี่ ทั้งการเสริมความแข็งแกร่งทางด้านวิทยาศาสตร์และเศรษฐกิจและการเสริมสร้างการป้องกันประเทศ ทั้งความปรองดองกันและความสามัคคีของชาติ ทั้งการยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลายและแนวโน้มทางการเมืองที่แตกต่างกัน ทั้งการเน้นย้ำถึงการมีความยำเกรง(ตักวา) และความบริสุทธิ์ของบรรดาเจ้าหน้าที่ อีกทั้งการเน้นย้ำถึงความเชี่ยวชาญและการปฏิบัติจริงของบรรดาเจ้าหน้าที่”

หลังจากนั้นท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้ตั้งคำถามที่สำคัญ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “สำนักคิดและต้นแบบที่ท่านอิมามโคมัยนีได้ออกแบบและก่อตั้ง นับตั้งแต่ในยุคสมัยของท่านอิมามและยุคสมัยหลังจากท่านอิมามนั้น ได้เกิดขึ้นในระดับไหนหรือ?”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “คำตอบของข้าพเจ้า ด้วยการรับรู้ในข้อเท็จจริงของประเทศ คือ" สาธารณรัฐอิสลามได้ประสบความสำเร็จอย่างมากในทุกด้าน เช่น ประชาธิปไตย ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กิจการทางการทูต เศรษฐกิจ และการให้บริการต่อสาธารณชน ซึ่งการปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการไม่มีความยุติธรรม แต่แน่นอนว่า เรายังไม่ประสบความสำเร็จอีกเป็นจำนวนไม่น้อยนัก หมายความว่า เรานั้นมีทั้งความก้าวหน้าและความอ่อนแอ อีกทั้งความล้มเหลว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงสาเหตุของความอ่อนแอและความล้มเหลวต่างๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เพื่อค้นหาถึงสาเหตุ ท่านอิมามโคมัยนีได้แนะนำให้กับพวกเราและกล่าวว่า บัญชีของพวกท่านทั้งหลายนั้นขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามและการต่อสู้ นั่นหมายถึง ไม่ว่าในสถานที่ใดก็ตามที่ประชาชาติและบรรดาเจ้าหน้าที่ได้เข้าสู่ภาคสนามอย่างที่มีเจตจำนงอันเข้มแข็ง ณ สถานที่นั่นก็จะพบกับความก้าวหน้าและไม่ว่า ในสถานที่ใดก็ตามที่มีความอ่อนแอในเจตจำนง ย่อมทำให้เกิดความล้าหลัง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “แน่นอนว่า เรานั้นไม่ควรที่จะละเลยบทบาทของฝ่ายเหล่าศัตรู นับตั้งแต่เริ่มต้นในการได้รับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม จนถึงทุกวันนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “สาธารณรัฐอิสลาม ไม่ได้เป็นผู้สร้างความเป็นปฏิปักษ์นี้ แต่เนื่องจากสาระสำคัญของสาธารณรัฐอิสลาม คือ การต่อต้านการกดขี่ ความเป็นมหาอำนาจ จอมอหังการ ความชั่วร้ายและความเห็นด้วยกับจิตวิญญาณ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว บรรดาผู้กดขี่ ผู้ที่เป็นมหาอำนาจ จอมอหังการ ผู้ที่กระทำความชั่วร้าย และผู้ที่ต่อต้านจิตวิญญาณ ล้วนเป็นปฏิปักษ์กับสาธารณรัฐอิสลามทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นปฏิปักษ์กับสาธารณรัฐอิสลาม คือ การทำให้เกิดช่องว่างที่จริงจังของท่านอิมามโคมัยนีกับพวกชาติตะวันตก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การสนับสนุนปาเลสไตน์และการมอบสถานทูตของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ให้กับประชาชาติชาวปาเลสไตน์ การวิพากษ์วิจารณ์ความโอ้อวดและอาชญากรรมของประเทศชาติยุโรปและอเมริกา เป็นตัวอย่างที่สำคัญของการเกิดช่องว่างของท่านอิมามในระหว่างอารยธรรม แนวคิด และระบอบอิสลามกับอารยธรรม แนวคิดแบบตะวันตก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ลักษณะพิเศษอันยิ่งใหญ่ของท่านอิมามโคมัยนี คือ การทำให้ประชาชนรู้จักความหมายของคำว่า การยืนหยัดในการต่อสู้และการสูบฉีดจิตวิญญาณของการยืนหยัดให้กับประชาชาติ โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยกับบะรอกัต(เกียรติ)ของท่านอิมามโคมัยนี ในวันนี้ ประชาชาติอิหร่านกลายเป็นประชาชาติที่มีการยืนหยัดและมีความมั่นคงอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งการยืนหยัดได้กลายเป็นหนึ่งในคำที่โดดเด่นทางด้านวรรณกรรมทางการเมืองของโลกไปแล้ว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เปิดเผยถึงแผนการสมคบคิดทั้งสองครั้งและการนอนหลับอย่างหวั่นไหวของเหล่าศัตรูที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ส่วนหนึ่งของแผนการนี้ คือ การมีความหวังของศัตรูในการประท้วงต่อต้านของประชาชนเพื่อที่จะสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ โดยผ่านการกระทำทางจิตวิทยาและการเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยกับการใช้เงิน ทหารรับจ้างและการใช้เล่ห์อุบายทุกประเภทในการเผชิญหน้ากับรัฐอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ส่วนที่สองของแผนการสมรู้ร่วมคิดนี้ คือ การทำให้เกิดการคิดคำนวณที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการล่มสลายของสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เหล่าผู้ที่ไม่หวังดีได้พูดในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลามว่า อีกหกเดือนต่อมา จะเห็นว่าการปฏิวัติอิสลามก็จะล่มสลาย และหลังจากที่พวกเหล่านี้ได้คาดคะเนที่ผิดพลาดและให้สัญญาด้วยว่าอีกหกเดือนหลังจากนี้ แต่ในขณะที่ในวันนี้การปฏิวัติอิสลามได้ผ่านหกเดือนนั้นมาแล้วแปดสิบหกรอบ และต้นกล้าที่อ่อนเรียวนั้นได้กลายเป็นต้นไม้ที่ทรงพลัง ทั้งการคิดคำนวณของพวกเหล่านั้นในวันนี้ก็มีความผิดพลาดอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ในสาธารณรัฐอิสลามนั้น ประชาชน คือปัจจัยที่สำคัญอย่างมากและเหล่าศัตรูก็จะไม่สามารถที่นำพาประชาชาติมาต่อต้านกับรัฐอิสลามได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ทำการวิเคราะห์ถึงสาเหตุของการคิดคำนวณที่ผิดพลาดอย่างต่อเนื่องของเหล่าศัตรูของอิหร่าน โดยท่านได้ชี้ให้เห็นว่า มีเหล่าที่ปรึกษาชาวอิหร่านที่ทรยศจำนวนหนึ่งเป็นผู้กำหนดรูปแบบของการคิดคำนวณเหล่านี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหล่าที่ปรึกษา ผู้ทรยศนี้ มิได้เป็นเพียงแต่ทรยศต่อประเทศของพวกเขา แต่ยังรวมถึงการทรยศต่อพวกอเมริกาด้วยเช่นกัน เพราะว่าจากการให้คำปรึกษาที่ผิดพลาดเหล่านี้ นั้นเป็นเหตุให้พวกเขาต้องพบกับความล้มเหลว”

การทำให้ประชาชนชาวอิหร่านออกห่างจากศาสนาอิสลามและนักการศาสนาและรัฐอิสลาม เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการให้คำปรึกษาและการคิดคำนวณผิดพลาดที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้ชี้ให้เห็น โดยท่านผู้นำสูงสุดได้ตั้งข้อสังเกตว่า “นอกเหนือจากการอธิบายในคำพูดเหล่านี้จากพวกอเมริกา ซึ่งได้รับผลมาจากเหล่าที่ปรึกษาที่ไม่มีความรู้ ทั้งยังเป็นผู้ทรยศ ในขณะเดียวกัน ในประเทศก็มีบุคคลที่ไร้เดียงสาจำนวนหนึ่งที่มีการอธิบายในคำพูดที่ผิดพลาดนี้ในสื่อต่างๆด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ในวันนี้ ประชาชนต่างมีความสนใจต่อศาสนาและการปฏิวัติอิสลามมากขึ้นกว่าช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลามเสียอีก โดยท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างที่โดดเด่นของการเข้าร่วมของประชาชนที่รุ่งโรจน์ในการเทอดเกียรติการยืนหยัดในการต่อสู้และนักการศาสนา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การเข้าร่วมของประชาชนเป็นล้านๆคนในพิธีการแห่ศพของร่างที่เป็นชิ้นๆของชะฮีดนายพล กอเซ็ม สุไลมานี การจัดงานรำลึกถึงบุรุษแห่งการปฏิวัติอิสลาม นักต่อสู้และมุญาฮิด และการจัดงานแห่ศพและการแสดงความรู้สึกเนื่องในการเสียชีวิตของบรรดามัรญิอ์และนักนิติศาสตร์ชั้นสูง เช่น ท่านอยาตุลลอฮ์ ศอฟี กุลพัยกานี และอยาตุลลอฮ์ บะฮ์ญัต ซึ่งไม่อาจสามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับการจัดงานระลึกต่อบุคคลทางการเมืองและศิลปินอื่นๆในประเทศได้และทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ประชาชนนั้นต่างความเชื่อมั่นต่อนักการศาสนา ศาสนา การญิฮาด การต่อสู้ และการยืนหยัด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมของบรรดาเยาวชนด้วยกับความรักในการอิอ์ติกาฟและศูนย์กลางในการรวมตัวครั้งใหญ่ทางด้านจิตวิญญาณ และการเดินขบวนในวันที่ 22 บะฮ์มันและวันอัลกุดส์สากล แสดงให้ว่า เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความจงรักภักดีของประชาชาติที่มีต่อแนวทางของท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “อีกตัวอย่างหนึ่งของการมีความรักต่อศาสนาของประชาชน คือ การเปิดเผยถึงความรักและความปรารถนาของประชาชนทุกหมู่เหล่า ไม่ว่า จะเป็นคนชราหรือเป็นเด็กทั่วประเทศที่มีต่อการธำรงอยู่ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ในรูปแบบของบทซุรูด(บทเพลงแนวศาสนา) ซึ่งได้มีการเผยแพร่กันในทุกวันนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปาฐกภาพิเศษในช่วงท้าย โดยท่านได้กล่าวอธิบายถึงคำเแนะนำที่สำคัญทั้ง 7 ประการ ให้แก่ บรรดานักเคลื่อนไหวทางด้านการปฏิวัติอิสลาม ทางสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำในคำแนะนำประการแรกสำหรับเยาวชนที่ชาญฉลาดและมีความเฉลียวฉลาด โดยท่านผู้นำเน้นย้ำว่า “พวกท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ศัตรูและผู้ที่ต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม ทำให้พวกท่านต้องออกห่างจากอัตลักษณ์ของการปฏิวัติอิสลามและมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงของมัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังให้คำแนะนำว่า “พวกท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยให้การรำลึกถึงท่านอิมามโคมัยนีในสังคมเกิดความเจือจางลง ซึ่งท่านอิมามนั่นคือ จิตวิญญาณของการปฏิวัติอิสลาม และยังมีการบิดเบือนเรื่องราวของท่านอิมามอีกด้วย  

คำแนะนำประการที่สามของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ก็คือ อย่าให้กลุ่มที่ล้าหลังสร้างอิทธิพลอีกครั้งได้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความล้าหลัง นั่นหมายถึง การย้อนกลับสู่นโยบายและวิถีชีวิตแบบชาติตะวันตก และอย่าได้ปล่อยให้วิถีชีวิตแบบชาติตะวันตก ซึ่งเคยเกิดขึ้นในยุคสมัยที่ชั่วร้ายของระบอบทรราชปาห์ลาวีนำพาประเทศไปสู่ความล้าหลัง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้คำแนะนำประการที่สี่ โดยท่านได้เน้นย้ำถึงการเปิดโปงการโกหก การหลอกลวง  และการทำสงครามจิตวิทยาของศัตรู โดยท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างใหม่ล่าสุดของสงครามจิตวิทยา โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลได้ขโมยน้ำมันของประเทศของเรา ด้วยกับคำสั่งของพวกอเมริกา แต่เมื่อบรรดาวีรบุรุษ ผู้หาญกล้าของสาธารณรัฐอิสลามได้ยึดเรือน้ำมันของศัตรู กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นการขโมย จากการโฆษณาชวนเชื่ออย่างแพร่หลาย ในขณะที่พวกเขาต่างหากที่เป็นผู้ที่ขโมยน้ำมันของพวกเราไปและเราได้รับทรัพย์สินที่ถูกขโมยมา จึงไม่ถือว่าเป็นการขโมย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้คำแนะนำอีกประการหนึ่งที่ว่า มีการใช้ประโยชน์จากต้นทุนของอิหม่าน(ความศรัทธา) ของประชาชนเพื่อผลิตอะมั้ลที่ศอลิห์(การกระทำที่ดีงาม) และคำแนะนำประการที่หกของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม คือ การออกห่างจากการเข้าถึงทางตันของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “บางคนเนื่องจากการเพิกเฉยหรือด้วยกับเงินตรา ได้ประกาศผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า ประเทศกำลังถึงทางตัน แน่นอนว่าในยุคสมัยของท่านอิมามโคมัยนี ก็ได้มีการเขียนลงในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ประเทศได้ถึงทางตันแล้ว ซึ่งท่านอิมามกล่าวว่า พวกคุณต่างหากที่ถึงทางตัน ไม่ใช่สาธารณรัฐอิสลาม” 

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้คำแนะนำประการสุดท้ายที่ว่า การรู้จักภาระหน้าที่ของบรรดาเจ้าหน้าที่ของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับบรรดาผู้บริหารในบางกรณี และในบางครั้ง ท่านอิมามก็กล่าวยกย่องต่อพวกเขาอย่างเปิดเผย ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้ ศัตรูต่างพยายามที่จะทำลายบรรดาเจ้าหน้าที่นักการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจอันหนักอึ้งที่พวกเขาต้องปฏิบัติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงมิติต่างๆของการขับเคลื่อนอันทรงคุณค่าของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า การพบปะโดยตรงตลอดเวลาของท่านรัฐมนตรีคนหนึ่งในเมืองอาบาดาน การจัดประชุมของท่านประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีคนแรกเกี่ยวกับเหตุการณ์อุบัติเหตุและการปลอบโยนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ล้วนเป็นตัวอย่างอันทรงคุณค่าและน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า ผู้ก่อเหตุในการสร้างความเสียหายในเหตุการณ์เมืองอาบาดานและในเหตุการณ์อื่นๆก็จะต้องได้รับการลงโทษอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงช่วงท้ายของการปาฐกถาพิเศษของท่าน ด้วยการชี้ให้เห็นถึงบางส่วนของการกล่าวคำปราศรัยของฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิดฮะซัน โคมัยนี โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า ในระหว่างการกล่าวคำปราศรัยของท่านฮัจญี ซัยยิด ฮะซัน โคมัยนี ได้มีการสร้างความวุ่นวายด้วยเสียงอันดัง ซึ่งพวกท่านทั้งหลายทั้งหมด จงรู้ไว้เถิดว่า ข้าพเจ้านั้นต่อต้านกับการกระทำเช่นนี้และการสร้างความวุ่นวายอีกด้วย”

ในช่วงเริ่มต้นของพิธีการนี้ ฮุจญตุลอิสลาม ซัยยิด ฮะซัน โคมัยนี ได้กล่าวปราศรัย โดยเขาถือว่า ท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง ผู้ประกาศอิสรภาพและเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประชาชาติอิหร่าน โดยซัยยิดฮะซัน กล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี คือ ความจริงอันบริสุทธิ์และดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ ทั้งเป็นการสำแดงของอุดมการณ์อันสว่างไสวของอิสลามและความเป็นประชาธิปไตย”

 

 

700 /