บรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยหลายร้อยคน พร้อมทั้งสมาชิกชมรมนักศึกษา เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า มหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่สำคัญมากที่สุดของการปฏิวัติอิสลาม และท่านยังได้กล่าวอธิบายถึงผลลัพท์ ความสำเร็จของความท้าทายที่สำคัญและความต่อเนื่องของวิสัยทัศน์ในการปฏิวัติอิสลามและการมีมุมมองของขบวนการต่อต้านในการปฏิวัติอิสลาม รวมทั้งการมีปฏิกิริยาตอบโต้ของมหาวิทยาลัย โดยท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า “สาธารณรัฐอิสลามนั้น รู้สึกภาคภูมิใจในมหาวิทยาลัยของตนในวันนี้และบรรดาเยาวชน นักศึกษา จะต้องใช้ความคิดไตร่ตรอง การตระหนักอย่างลึกซึ้งในปัญหาหลักของประเทศ และการหลีกเลี่ยงออกจากการสิ้นหวัง อีกทั้งการเชิญชวนบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ ให้มีความจริงจังในการปฏิบัติตามอุดมการณ์ของการปฏิวัติอิสลามและการปฏิบัติงานอย่างจริงจัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงวันอัลกุดส์สากลที่กำลังจะเข้ามาเยือน โดยท่านกล่าวเน้นย้ำว่า “เนื่องจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวปาเลสไตน์และการบรรลุจุดสูงสุดของการก่อความชั่วร้ายและอาชญากรรมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะเห็นได้ว่า วันอัลกุดส์สากลในปีนี้ จะมีความแตกต่างกว่าเมื่อหลายปีที่ผ่านมา และเราจะต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับประชาชนผู้ถูกกดขี่ ในขณะเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นการเสริมสร้างการมีพลังอำนาจและเป็นขวัญกำลังใจให้กับปาเลสไตน์อีกด้วย”
ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้กล่าวแสดงความพึงพอใจต่อถ้อยคำที่สัตย์จริงและความชัดเจนของบรรดาตัวแทนของชมรมนักศึกษา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “คำพูดเหล่านี้นั้นมีประโยชน์และน่าเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าส่วนมากของปัญหาเหล่านี้ล้วนมีคำตอบ แต่ปัญหาก็คือว่า ยังไม่มีการพูดคุยกันระหว่างนักศึกษากับบรรดาเจ้าหน้าที่ และถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาเจ้าหน้าที่ คณะรัฐมนตรี และบรรดาเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ จะต้องมีการตอบรับข้อเรียกร้องและตอบข้อกังวลต่างๆด้วยกับการเข้าร่วมรับฟังในมหาวิทยาลัย และหากว่าไม่มีคำตอบให้กับปัญหาใด ปัญหาหนึ่งก็ควรที่จะใช้ประโยชน์จากข้อเสนอแนะและคำพูดของนักศึกษาเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงถ้อยคำของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ.) ในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ โดยท่านผู้นำ ถือว่า คำตักเตือน เป็นการทำให้หัวใจนั้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และท่านยังได้ยกหลักฐานจากโองการอัลกุรอาน จากบทมัรยัม สำหรับการอธิบายถึงฐานภาพของคำตักเตือน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “วันแห่งการตัดสินนั้น เป็นวันที่มีความเศร้าโศกเสียใจ ซึ่งเราจะต้องใช้ชีวิตในรูปแบบที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจในวันที่ยากลำบากนั้น ด้วยกับการกระทำหรือการไม่กระทำการงานใด การงานหนึ่ง และการพูดหรือการไม่พูดคำพูดหนึ่งคำพูดใด เพราะว่าในวันนั้นไม่อาจที่จะชดเชยมันได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัญหาของมหาวิทยาลัย เป็นปัญหาหลักและมีความท้าทาย โดยท่านกล่าวว่า “นับจากเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลาม จะเห็นได้ว่า มีสองวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง กล่าวคือ วิสัยทัศน์ของการปฏิวัติอิสลามที่นำโดยท่านอิมามโคมัยนี และมุมมองของกระแสปฏิกิริยาตอบโต้และการต่อต้านในการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเป็นปัญหาของมหาวิทยาลัยที่จะต้องมีการเผชิญหน้ากับมัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “การที่มีวิสัยทัศน์ของการปฏิวัติอิสลาม ถือเป็นการทำให้มหาวิทยาลัย เป็นสถานที่ในการอบรมสั่งสอนบรรดานักอัจฉริยบุคคล การแก้ไขปัญหาต่างๆ และความก้าวหน้าของประเทศ ส่วนในมุมมองที่สอง จะเห็นได้ว่า เป็นการทำให้มหาวิทยาลัย กลายเป็นสถานที่ในการฝึกฝนหมากที่เป็นตัวเลือกที่ชาติตะวันตกนั้นมีความต้องการ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวอธิบายถึงมิติต่างๆของความท้าทายในการปฏิวัติอิสลามและการต่อต้านในการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “มุมมองของการปฏิวัติอิสลามนั้นได้ทำให้มหาวิทยาลัย เป็นศูนย์กลางแห่งการผลิตความรู้และการเติบโตทางด้านความรู้ ซึ่งผลลัพท์ก็คือ การทำให้ประชาชาติมีพลังอำนาจ ส่วนในมุมมองของกระแสของการต่อต้านในการปฏิวัติอิสลามนั้น ได้ทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้สิ่งที่เหลืออยู่ ที่ไร้คุณค่าทางความรู้ของพวกชาติตะวันตก เพื่อที่จะสร้างสังคมผู้บริโภคให้กับชาติตะวันตก ด้วยการอบรมอาจารย์และนักวิชาการที่เป็นผู้บริโภค อีกทั้งในการบริหารจัดการสังคมโดยบุคคลเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเคร่งครัดต่อศาสนาในทางตรงกันข้ามกับการต่อต้านศาสนา เป็นมิติประการที่สามของความท้าทายในวิสัยทัศน์ของการปฏิวัติอิสลามและกระแสของการต่อต้านในการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อมหาวิทยาลัย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ด้วยเหตุผลต่างๆ พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถที่จะทำให้มหาวิทยาลัยต่อต้านศาสนาได้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่ส่วนมากของบรรดานายพลและชะฮีดทั้งหลายในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และบรรดาชะฮีดแห่งนิวเคลียร์ ล้วนเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยก่อนการปฏิวัติอิสลามทั้งสิ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างอัตลักษณ์ให้กับมหาวิทยาลัย เป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติอิสลามนั้น ได้สร้างอัตลักษณ์ อุดมการณ์ บุคลิกภาพ อิสรภาพ และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ให้กับประชาชาติ และด้วยเหตุนี้เอง มหาวิทยาลัยจึงจะต้องมีคุณลักษณะต่างๆเหล่านี้ ด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การรอดพ้นจากความรู้สึกที่ต่ำต้อย ความอ่อนแอ และการยืนหยัดต่อสู้กับพวกตะวันตก ชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ และพวกชาติตะวันออก อันเป็นผลมาจากความรู้สึกถึงการมีอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของมหาวิทยาลัย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บรรดาเยาวชน นักศึกษาทั้งหลาย ต่างรู้สึกถึงการมีอิสรภาพและความเข้าใจด้วยตนเองจากการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ฉ้อฉลที่เป็นอันธพาล ในวันต่างๆที่หอมหวานนั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การขับเคลื่อนแห่งการปฏิวัติอิสลามในมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่ถูกต้อง มีความมั่นคงและเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของการขับเคลื่อนนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หลังจากนั้น ชมรมและสมาคมต่างๆในมหาวิทยาลัยอิสลาม ก็เช่นกัน แล้วต่อมาก็คือ กลุ่มนักศึกษาอาสาสมัครและบรรดาคณาจารย์ ถือว่า พวกเขานั้นเป็นผู้ที่ชูธงชัยแห่งการปฏิวัติอิสลามในมหาวิทยาลัยและก็มีการพูดคุยกันอย่างลึกซึ้งทางด้านแนวคิดและเชิงทฤษฎีในมหาวิทยาลัย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวสรุปในส่วนแรกของการปราศรัยของท่าน โดยท่านกล่าวว่า “สาธารณรัฐอิสลามนั้น มีความสามารถที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับมหาวิทยาลัยของตนได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจจะสร้างปัญหากับมหาวิทยาลัยได้อีกด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “สถานการณ์ของมหาวิทยาลัยในวันนี้ ซึ่งไม่อาจที่จะเปรียบเทียบได้ กับช่วงยุคแรกของการปฏิวัติอิสลาม ทั้งในแง่ของปริมาณ และจำนวนนักศึกษา จำนวนอาจารย์ การขับเคลื่อนและความก้าวหน้าทางความรู้อย่างแพร่หลาย การอบรมสั่งสอนบรรดานักอัจฉริยบุคคลที่โดดเด่น การเข้าร่วมของบรรดาบัณฑิตมหาวิทยาลัยในเวทีการต่างๆทั้งทางด้านการบริหาร การจัดการ และการปรากฏตัวของศาสนาในมหาวิทยาลัย ซึ่งสาธารณรัฐอิสลามนั้นมีความสามารถที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับมหาวิทยาลัยของตนได้จริงๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดได้ตั้งคำถามที่ว่า ทำไมเราจะต้องรู้สึกกังวลต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยด้วย? โดยท่านกล่าวเสริมว่า “กระแสที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านในการปฏิวัติอิสลามและการมีปฏิกิริยาในการต่อต้านการปฏิวัติอิสลามนั้นมีรากเหง้าที่เชื่อมโยงกับพวกต่างชาติ ซึ่งในขณะนี้ ก็ยังคงมีการดำเนินการอยู่และด้วยกับการสนับสนุนและการชี้นำนโยบายต่างๆของลัทธินักล่าอาณานิคมใหม่ ที่ได้วางแบบแผนให้กับมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง จึงถือเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในประเด็นที่ไม่อาจจะเปรียบเทียบได้ระหว่างมหาวิทยาลัยในวันนี้ กับช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม คือ อัตราของผลกระทบต่อปัญหาต่างๆของประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การขยายวงกว้างของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันนี้ มีผลกระทบที่มีต่อปัญหาต่างๆของประเทศมากยิ่งขึ้น และด้วยประเด็นนี้ จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลของความจำเป็นที่ต้องมีความกังวลในกรณีของมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุนี้เอง เราก็จะต้องมีความกังวลในสองประการที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ดังนี้ 1.กระแสความหวาดกลัวในการสร้างอัตลักษณ์ 2.กระแสความหวาดกลัวในการมีอุดมการณ์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “กระแสความหวาดกลัวในการสร้างอัตลักษณ์ ถือเป็นการบ่อนทำลายอุดมคติ ซึ่งอุดมคติ ก็คือ แนวความคิด ค่านิยม และการมีอัตลักษณ์ของประชาชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “พวกอเมริกามักเน้นย้ำถึงการรู้จักค่านิยมของชาวอเมริกัน หมายถึง นั่นคือ การมีอุดมคติของพวกเขาเอง ในขณะที่เหล่าบุคคลที่พูดถึงการต่อต้านอดุมคติ ขณะที่พวกเขากลับไม่พร้อมที่จะเรียนรู้จากพวกอเมริกาในการยึดมั่นต่ออดุมคติของตนเองได้อย่างไรกันเล่า?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “กระแสความหวาดกลัวในการมีอัตลักษณ์ หมายถึง การทำให้พื้นฐานทางความคิดและการมีวิสัยทัศน์ทางประวัติศาสตร์และในระดับชาติของประเทศ เป็นสิ่งที่น่าอับอาย ทั้งทำให้อดีตของประเทศและการปฏิวัติอิสลามต้องพบกับความอัปยศอดสู การกระทำที่ยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นเรื่องที่เล็กน้อยและข้อบกพร่องบางประการกลับถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของการก่อความหวาดกลัวในการสร้างอัตลักษณ์ คือ การเข้ามาของระบบแนวคิดของตะวันตกแทนที่อัตลักษณ์ของชาติและของศาสนา และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงเอกสาร 2030 ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณของการครอบงำของลัทธินักล่าอาณานิคมใหม่ของชาติตะวันตก โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “ตามระบบแนวความคิดของตะวันตก ได้ทำให้มรดกอันยิ่งใหญ่ทางความคิดและวัฒนธรรมของประเทศต้องถูกบั่นทอนและถูกทำลายลง และยังเป็นการทำให้กองทัพอันยิ่งใหญ่ของบรรดาเยาวชนต้องพบกับความสิ้นหวังในการบรรลุสู่จุดสูงสุดแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีของชาติ และความรู้สึกถึงทางตันที่ถูกสูบฉีดเข้าใส่เยาวชนคนรุ่นใหม่ ด้วยเหตุนี้เอง เรานั้นจะต้องมีความกังวลและมีการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับกระแสนี้ ด้วยความกล้าหาญ การแสดงออกที่ดีและการมีตรรกะที่เข้มแข็ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การก่อความหวาดกลัวในการมีอุดมการณ์ คือ ความกังวลอันดับที่สำคัญประการที่สอง โดยท่านกล่าวว่า “หนึ่งในตัวอย่างของการก่อความหวาดกลัวในการมีอุดมการณ์ คือ ความนิ่งเฉยของเยาวชนคนหนุ่มสาวและนักวิชาการมหาวิทยาลัยที่มีต่อความยากจน การทุจริตคอร์รัปชั่น และการเลือกการปฏิบัติ ถือเป็นทั้ง3 ซาตานมารร้ายตัวใหญ่และเป็น 3 องค์ประกอบที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “หนึ่งในบรรดาตัวอย่างของการก่อความหวาดกลัวในการมีอุดมการณ์ คือ การนิ่งเฉยของเยาวชนคนหนุ่มสาวต่อการเข้าครอบงำทางวัฒนธรรมของชาติตะวันตก และการมีแรงจูงใจที่ลดน้อยในตัวชี้วัดของการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับการกดขี่และการไม่ยอมจำนนต่อการกดขี่ คือ หนึ่งในตัวชี้วัดของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ตัวชี้วัดเหล่านี้ได้ทำให้โลกสั่นสะเทือน และยังทำให้ประเทศต่างๆให้ความสนใจต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และด้วยเหตุผลของตัวชี้วัดเหล่านี้ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทุกๆคน ด้วยกับการมีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน ได้เดินทางเยือนต่างประเทศ ในระหว่างการเข้าร่วมกับประชาชน พวกเขาก็ได้แสดงความปรารถนาดีไปด้วยกับเขา แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาก็ได้ทำการเผาธงชาติของอเมริกา และชูธงชาติของสาธารณรัฐอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การย้อนกลับสู่อิสลามอันบริสุทธิ์ การปฏิเสธการนิ่งเฉย และปัญหาปาเลสไตน์ ล้วนเป็นตัวชี้วัดของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “การก่อความหวาดกลัวในการสร้างอัตลักษณ์และการมีอุดมการณ์ ทั้งสองนั้นเป็นข้อกังวลหลักที่จะต้องมีการเผชิญหน้าอย่างชาญฉลาด แต่ทว่า เหล่าผู้ใดที่กันหรือ ที่ติดตามอย่างต่อเนื่องในการก่อความหวาดกลัวในการสร้างอัตลักษณ์และการมีอุดมการณ์ และการต่อต้านความเป็นอิสรภาพ ไม่ว่าจะพบกับความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ นั่นคือ ภาระหน้าที่ของนักวิชาการมหาวิทยาลัยและบรรดานักคิด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้อธิบายถึงความสำคัญของความกังวลเหล่านี้ที่มีมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “โลกในวันนี้ กำลังอยู่ในการจัดระเบียบสากลใหม่ ซึ่งได้ก่อตัวขึ้นหลังยุคสมัยของการจัดระเบียบโลกให้เป็นสองขั้ว และทฤษฎีของระเบียบโลกแบบขั้วเดียว ก็กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งในยุคสมัยนี้ อเมริกากำลังเผชิญหน้ากับความอ่อนแอในแต่ละวันที่มากยิ่งขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ประเด็นของสงครามยูเครนครั้งล่าสุด จะต้องมองอย่างลึกซึ้งในบริบทของการจัดระเบียบใหม่ของโลก ซึ่งได้มีกระบวนการต่างๆที่ซับซ้อน และความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ใหม่ และจะเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์รูปแบบใหม่และมีความซับซ้อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของประเทศทั้งหลายทั้งหมด เช่น สาธารณรัฐอิสลามได้ใช้ชุดอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ในการจัดระเบียบโลกใหม่นี้ โดยที่คำนึงถึงผลประโยชน์และความมั่นคงของประเทศชาติเป็นหลัก และไม่มีประเด็นที่เป็นชายขอบแต่อย่างใด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “บรรดานักศึกษาและนักวิชาการมหาวิทยาลัยนั้น มีหน้าที่ความรับผิดชอบในภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ และด้วยเหตุนี้เอง ขณะนี้ จึงเกิดความกังวลใจที่สำคัญมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณต่อมหาวิทยาลัย”
ในช่วงท้ายของส่วนนี้ของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้เรียกร้องให้บรรดานักคิด ผู้เชี่ยวชาญ และนักทฤษฎีได้จัดการประชุมและมีการตรวจสอบ วิเคราะห์ในประเด็นเหล่านี้
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติได้ให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติแก่บรรดานักศึกษาและชมรมนักศึกษา
โดย คำแนะนำประการแรกของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม คือ การหลีกเลี่ยงให้ออกห่างจากความเฉื่อยชาและความสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์ โดยท่านกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลาย จะต้องเป็นศูนย์กลางในการสูบฉีดความหวังให้เข้าสู่ภาคส่วนอื่นๆ เพราะว่า ดั่งเช่นที่ประเทศนั้นมีความก้าวหน้าอย่างที่น่าอัศจรรย์ในภาคส่วนต่างๆเช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและด้านสุขภาพ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และในภาคส่วนอื่นๆก็สามารถที่จะได้รับการแก้ไขได้เช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การทำให้บรรดาเยาวชนและนักศึกษาสิ้นหวัง เป็นผลกระทบด้านลบที่มีต่อกลไกต่างๆของความก้าวหน้าของประเทศ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในช่วงยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่บางคนต่างยืนยันว่า เรานั้นไม่สามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้ในการเผชิญหน้ากับการรุกรานของศัตรูได้ ขณะที่บรรดาเยาวชน รุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกท่านทั้งหลาย ได้ทำให้ประเทศนั้นรอดพ้น ด้วยความเพียรพยายามของพวกเขา ด้วยการปลดปล่อยเมืองโครัมชะฮ์ร์ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับโลกเป็นอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า บางคนจากชนรุ่นก่อน ได้เดินออกจากสนามหรือเข้าร่วมเป็นเสียงเดียวกับผู้อื่น เนื่องด้วยความผิดพลาดและการสิ้นหวัง ด้วยเหตุนี้เอง พวกท่านทั้งหลาย จงระมัดระวังอย่าได้หันหลังให้กับจุดสุดยอดและอุดมการณ์เป็นอันขาด”
และคำแนะนำประการต่อไปของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวคือ การใช้ความคิดและการเสริมสร้างแนวความคิด
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลงานทางวิทยาศาสตร์โดยปราศจากแนวความคิด เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นอันตรายกับมนุษย์ ดังเช่น อาวุธที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง โดยท่านกล่าวว่า “ความคิดที่ถูกต้องนั้น ต้องการไปยังอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษา ตัวอย่างเช่น ท่านมัรฮูม อยาตุลลอฮ์ มิศบาฮ์ ยัซดี ผู้ล่วงลับ ทั้งท่านนั้นเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้หนึ่ง และเป็นที่ปรึกษาในประเด็นแนวความคิด”
และคำแนะนำประการต่อมาของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยที่ท่านนั้นได้เรียกร้องให้บรรดานักศึกษามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในปัญหาหลักของประเทศและการติดตามปัญหาเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “ขณะที่พวกท่านทั้งหลายได้ให้ความสำคัญในประเด็นหนึ่งหรือสองประเด็นเป็นพิเศษ ด้วยกับการใช้ความคิดและการวิจัย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผลลัพท์ที่ได้รับมาจากการวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็จะเป็นประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำขวัญประจำปี หมายถึง การผลิตฐานความรู้ เป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญสำหรับชมรมนักศึกษา โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยกับการมุ่งเน้นยังปัญหานี้ ก็จะต้องเข้าสู่การเสวนาและการต่อต้านองค์ประกอบที่ก่อกวนต่อฐานความรู้ เช่น การขายดิบที่น่าเสียใจ และการแพร่ขยายทั่วประเทศ หรือการนำเข้าในการบริโภคที่ไม่จำเป็นหรือการลักลอบการนำเข้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ข้อเรียกร้อง เป็นธรรมชาติของบรรดานักศึกษา และท่านยังได้เน้นย้ำว่า “พวกท่านทั้งหลายจะต้องมีข้อเรียกร้องจากเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติอย่างจริงจัง และให้พวกเขานั้นหลีกเลี่ยงจากการกระทำที่เป็นเพียงการแสดง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำถึงข้อเรียกร้อง ซึ่งจะต้องใช้วาทะกรรมที่เป็นตรรกะและมีความเฉลียวฉลาด อีกทั้งการหลีกเลี่ยงให้ออกห่างจากการทะเลาะวิวาทและความรุนแรง โดยท่านกล่าวว่า “ข้อเรียกร้องที่สมเหตุสมผลนั้น จะไม่ทำให้บางคนที่อยู่ในสถานการณ์ในการบริหารจัดการประเทศ เกิดความสงสัยในบทบาทของบรรดานักศึกษา เพราะว่า บทบาทของพวกท่านทั้งหลายนั้น ในช่วงนี้นั้นมีมากกว่า”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “การหลีกเลี่ยงจากการกระทำที่รุนแรง ไม่ได้หมายถึง การประนีประนอมและไม่เป็นคำพูดที่เยินยอ ขณะที่ข้าพเจ้านั้นไม่เคยให้คำแนะนำเช่นนี้กับบรรดาเยาวชนและนักศึกษาเลย และจะไม่กระทำเป็นอันขาด แต่ทว่า วัตถุประสงค์ของคำแนะนำนี้ คือ การหลีกเลี่ยงให้ออกจากการใช้วาทะกรรมที่เป็นอันตรายและการสร้างความเสียหาย ซึ่งช่างน่าเสียใจยิ่งนักที่ในวันนี้ได้แพร่หลายตามสื่อสังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ข้อเรียกร้องต่างๆของบรรดานักศึกษานั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเด็น ความยุติธรรมทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและวิถีชีวิต โดยท่านยังได้กล่าวอธิบายเกี่ยวกับหนึ่งในความจำเป็นของข้อเรียกร้อง โดยท่านกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายจะต้องศึกษาพื้นฐานทางด้านหลักศรัทธาและความเชื่อ อีกทั้งการยึดมั่นในการเข้าร่วมของบรรดานักการศาสนาและศีลธรรมในเวทีการต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลลัพธ์ของข้อเรียกร้องที่ถูกต้อง คือ การแยกออกจากอุดมการณ์ที่จำเป็นของการกระทำที่อ่อนแอของผู้บริหารบางคน และท่านยังได้กล่าวอธิบายถึงคำแนะนำอีกประการหนึ่ง โดยท่านกล่าวว่า “ข้อเรียกร้องของพวกท่านทั้งหลายนั้น จะต้องอยู่ในรูปแบบที่พวกท่าน จะไม่พบจุดร่วมกับศัตรูที่มีอคติ ทั้งในการแสดงถึงปัญหาและการนำเสนอหาแนวทางในการแก้ไข”
การขยายวงกว้างในการขับเคลื่อนระหว่างประเทศของนักศึกษา เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “กลุ่มเยาวชนและนักศึกษาจำนวนมากในยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งในประเทศอิสลาม ก็ได้มีการขับเคลื่อนในการต่อต้านนโยบายของเหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ ซึ่งมีการเชื่อมความสัมพันธ์อย่างดีกับพวกเขา จะช่วยทำให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นในการขับเคลื่อนที่ต่อต้านเหล่าชาติมหาอำนาจ ด้วยการแนะนำสาธารณรัฐอิสลามให้กับพวกเขา และการผลิตเกราะป้องกันสำหรับประเทศในการเผชิญหน้ากับจอมจักรพรรดิ์ข่าวของเหล่าชาติมหาอำนาจ แน่นอนว่า การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการมีความสัมพันธ์กับบรรดานักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอิรัก ก็จะต้องมีการเน้นย้ำให้มากยิ่งขึ้น”
และคำแนะนำประการสุดท้ายของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้กล่าวถึงบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวในยุคสมัยใหม่ จากการเข้ามาสู่การบริหารงานของสภาทั้งสาม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้เน้นย้ำว่า ภารกิจของสาธารณรัฐอิสลาม จะไม่มีการดำเนินต่อไปหากปราศจากกองกำลังเยาวชน ผู้ศรัทธาและเต็มไปด้วยกับแรงจูงใจ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “คำแนะนำของข้าพเจ้าที่มีต่อบรรดาเยาวชนที่เคารพยิ่ง กล่าวคือ อันดับแรก คือ การไม่ทำให้ความรับผิดชอบในปัจจุบัน เป็นก้าวบันไดไปสู่ความรับผิดชอบที่สูงขึ้น และการมุ่งเน้นไปที่ปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อพระเจ้าเท่านั้น ไม่ว่า พวกเขาจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม ในอันดับที่สอง การตั้งเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ในภาคส่วนที่ได้รับมอบหมายให้กับพวกเขาเพียงอย่างเดียว”
ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้ชี้ให้เห็นถึงวันอัลกุดส์สากลที่กำลังจะเข้ามาถึง และท่านถือว่า “วันอัลกุดส์สากลในปีนี้ จะมีความแตกต่างกับหลายปีก่อนที่ผ่านมา” โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชนและเยาวชนชาวปาเลสไตน์ได้แสดงให้เห็นถึงการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา ในขณะที่รัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้แสดงออกถึงจุดสูงสุดของความชั่วร้ายและการก่ออาชญากรรม และทุกๆความผิดพลาดที่พวกเหล่านั้นสามารถที่จะกระทำได้ ก็จะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯและพวกยุโรปอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ประชาชาติปาเลสไตน์ในขณะที่พวกเขาถูกกดขี่ พวกเขาก็มีอำนาจด้วยเช่นกัน โดยท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงการต่อสู้และการยืนหยัดของบรรดาเยาวชนชาวปาเลสไตน์ ที่พวกเขานั้นไม่ยอมให้ปัญหาปาเลสไตน์ถูกลืมเลือนเป็นอันขาด โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “วันอัลกุดส์ จะเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการประกาศความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจกับประชาชน ผู้ถูกกดขี่ชาวปาเลสไตน์ และการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับการปฏิบัติของรัฐบาลประเทศอิสลามในปัญหาปาเลสไตน์ โดยท่านกล่าวว่า “ช่างน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลประเทศอิสลามนั้นมีการกระทำที่ไม่ดีเป็นอย่างมาก และแม้ว่าพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะพูดถึงประเด็นปาเลสไตน์เสียด้วยซ้ำ และบางคนกลับคิดว่าวิธีการที่จะช่วยเหลือปาเลสไตน์ คือ การสร้างสัมพันธ์กับพวกไซออนิสต์ ขณะที่การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงรัฐบาลอียิปต์ที่กระทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อสี่สิบปีที่ผ่านมา และการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ถึงแม้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอียิปต์กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะเป็นสาเหตุให้เกิดอาชญากรรมที่มีต่อประชาชาติปาเลสไตน์ และการละเมิดสิทธิของมัสยิดอัลอักซอลดน้อยลง ซึ่งในปัจจุบัน รัฐบาลบางประเทศ ก็ต้องการที่จะกระทำความผิดพลาดซ้ำอีกครั้ง เหมือนดั่งความผิดพลาดของอันวาร์ ซาดาต”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า การสร้างความสัมพันธ์กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆ โดยท่านผู้นำ กล่าวว่า “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า บั้นปลายของภารกิจในปาเลสไตน์จะดียิ่งขึ้นและจะต้องพบกับความผาสุก ทั้งการยึดคืนดินแดนของชาวปาเลสไตน์และมัสยิดอัลอักซอ จะถูกทำให้เป็นจริงในไม่ช้านี้”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม บรรดาผู้แทนชมรมนักศึกษาของประเทศได้กล่าวแสดงความคิดเห็นของตน ต่อหน้าท่านผู้นำสูงสุด โดยมีรายชื่อดังต่อไปนี้
นายมุฮ์ซิน นะรอกี ในนามตัวแทนของกลุ่มอาสาสมัครนักศึกษา นายมูฮัมหมัด ฮุเซน กาซิมี ในนามองค์กรสังคมนักศึกษาอิสลาม นายมูฮัมหมัด อิสกันดารี จากตัวแทนขบวนการขับเคลื่อนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของนักศึกษา นายอะลี บูซูรก์คู จากสำนักงานตะฮ์กีมวะฮ์ดัต นายอะมีร ฮุเซน พะนาฮี จากสมาคมนักศึกษาอิสลามและนางสาว ซะฮ์รอ ซาดาต ราซาวี อะลาวี เป็นผู้ดำเนินการและเป็นตัวแทนของนักศึกษาสตรี
โดยประเด็นต่างๆที่ได้กล่าวอธิบาย ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ความจำเป็นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครองตามขีดความสามารถที่มีอยู่
- การอัปเดตอุปกรณ์ภายใน(ซอฟต์แวร์) การบริหารและการจัดการประเทศ ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างเดิมและการสร้างกลไกใหม่
- การตระหนักถึงระบอบการปกครองที่ยุติธรรม ซื่อสัตย์ และมีความกล้าหาญ
- ความจำเป็นในการออกห่างจากการเรียกร้องวุฒิการศึกษาและการขับเคลื่อนไปสู่ความรู้เชิงการปฏิบัติในมหาวิทยาลัย
- ความจำเป็นในการให้สถาบันวิทยาศาสตร์ มุ่งเน้นถึงปัญหาที่รัฐกำลังประสบอยู่
- ความจำเป็นในการสร้างเงื่อนไขที่จำเป็นในการเปลี่ยนแปลงของการเสวนาทางความคิดและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมหาวิทยาลัยและสถาบันศาสนา
- การเน้นย้ำถึงการปกป้องหลักการของการแยกอำนาจของสภาต่างๆและกิจการตามกรอบของรัฐธรรมนูญ
- ความจำเป็นในการรักษาความเป็นอิสระของสภานิติบัญญัติจากสถาบันกำหนดนโยบาย
- ความจำเป็นในการบรรลุความโปร่งใสของการขับเคลื่อน
- การเน้นย้ำถึงข้อเรียกร้องความรับผิดชอบจากตัวแทน องค์ประกอบทางการเมือง และองค์ประกอบทางความคิดของรัฐและการตอบสนองให้กับวิสัยทัศน์ของสาธารณชน
-ความจำเป็นในการรักษาสัญญาในการเลือกตั้งของบรรดาเจ้าหน้าที่
- ความจำเป็นในการจัดการอย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือของปัญหาของเยาวชน โดยเฉพาะบรรดาสตรี
- และการยกประเด็นที่เกี่ยวกับการพิจารณาข้อเรียกร้อง การเรียกร้องความยุติธรรมและขอบเขตของมัน