ประธานสภาผู้ชำนาญการและบรรดาสมาชิกของสภานี้ ได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้กล่าวอธิบายถึงองค์ประกอบอันทรงพลังและมีความแข็งแกร่งของชาติ ถือว่า ปัญหาค่าครองชีพและความคล่องแคล่วของปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประชาชนนั้น เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นว่า เหล่าศัตรูได้ใช้สงครามจิตวิทยาที่รุนแรงและหนักหน่วงเพื่อที่จะทำให้ประชาชนต้องหันเหและมีอิทธิพลต่อกลุ่มชนที่เฉพาะเจาะจง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “วิธีการแก้ไขปัญหาสงครามที่ซับซ้อน คือ การญิฮาด(การต่อสู้) เชิงการอธิบายและการแสดงออก ด้วยกับการใช้วิธีการซอฟแวร์(ชุดคำสั่ง)ใหม่ๆและขึ้นอยู่กับองค์ความรู้และแนวความคิดที่ลึกซึ้งและสูงส่งของอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวแสดงความยินดี เนื่องในวโรกาสวันแห่งการเฉลิมฉลองของเดือนชะอ์บาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 15 ของเดือนชะอ์บาน โดยท่านถือว่า วันอีด(วันเฉลิมฉลอง) นี้ เป็นวันแห่งการแตกช่อผลิบานของความหวังทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ทางด้านจิตวิญญาณของเดือนชะอ์บานและความหมายอันสูงส่งของบทมุนาญาต ชะอ์บานียะฮ์ (บทวิงวอนต่อพระเจ้าประจำเดือนชะอ์บาน) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)นั้น มีความชื่นชอบในการอ่านบทดุอากุเมลและบทมุนาญาต ชะอ์บานียะฮ์ เป็นอย่างมาก และเรานั้นหวังเป็นอย่างยิ่งจากพระผู้เป็นเจ้าว่า จะทรงประทานโอกาสให้กับพวกเราในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพทั้งหมดทางจิตวิญญาณที่พระองค์ทรงมอบให้ในเดือนนี้ได้เป็นอย่างดี”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สภาผู้ชำนาญการนั้น มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในการสร้างความมั่นคงให้กับรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เงื่อนไขอันมีประสิทธิภาพของทุกหน่วยงานทางกฏหมายทั้งหมด รวมทั้งสภาผู้ชำนาญการด้วย ก็คือ การปฏิบัติตามหน้าที่และข้อจำกัดตามกรอบที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้สำหรับพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “สภาผู้ชำนาญการ จะต้องใช้กฏระเบียบทางกฏหมายที่แน่นอนกับบุคคลที่ดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดซึ่งอยู่ในขณะนี้ และกับบุคคลที่หลังจากนี้ เขาได้รับคะแนนเสียงจากบรรดาสมาชิกของสภาแห่งนี้ในการคัดเลือกขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หน่วยงานอื่นๆ เช่น รัฐบาลและรัฐสภา ก็จะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบทางกฏหมายนี้ด้วยเช่นกัน โดยท่านกล่าวว่า “รัฐบาล จะต้องปฏิบัติตามข้อกฏหมาย ขณะที่รัฐสภาก็เช่นเดียวกัน จะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในการบริหารงานเป็นอันขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีอำนาจและความแข็งแกร่งของชาติ เป็นเหตุให้รัฐอิสลามมีความมั่นคง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การมีอำนาจของชาตินั้น เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกประเทศและทุกประชาชาติ หากว่ามีความเป็นเอกราช ความภาคภูมิใจและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่สำคัญบนพื้นฐานตามเจตจำนงของตนเองและการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องของผู้อื่น ก็จะต้องมีความแข็งแกร่ง หากมิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ พบกับความอัปยศอดสู และความหวาดกลัว ทั้งความโลภมากของเหล่าพวกต่างชาติอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีอำนาจของชาติ เป็นภารกิจที่ผสมผสานและมีความเชื่อมโยงกันและท่านผู้นำยังได้กล่าวอธิบายถึงฐานหลักต่างๆของมัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคิด การใช้ความคิดและความเป็นเสรีทางความคิด คือ ส่วนหนึ่งของฐานหลักในการมีอำนาจของชาติ และหากว่า ไม่มีเสรีทางความคิดและความก้าวหน้าทางความคิด วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะไม่ใช่ทางออกอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความมั่นคงและการมีอำนาจในการป้องกันประเทศ เศรษฐกิจและการมีสวัสดิการและความสะดวกสบายในค่าครองชีพของประชาชน การมีอำนาจในการเสนอนโยบายและการต่อรองผลประโยชน์ของชาติในระดับเวทีทางภูมิภาคและในเวทีโลก การมีวัฒนธรรมและวิถีการดำเนินชีวิต การมีตรรกะและการมีประสิทธิภาพเหนือประชาชาติทั้งหลาย เป็นอีกกิ่งก้านสาขาหนึ่งของการมีอำนาจของชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การมีพลังที่น่าสนใจของประชาชาติในทุกประเทศนั้น จะต้องทำให้เกิดความลึกซึ้งในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งถือว่า เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวอธิบายถึงประเด็นที่สำคัญ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ไม่ควรที่จะตัดขาดส่วนหนึ่งส่วนใดของกิ่งก้านสาขาในการมีอำนาจของชาติเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกตัวอย่างหลายประการที่เกี่ยวกับประเด็นนี้ โดยท่านได้ให้ข้อเสนอแนะ เช่น การปฏิเสธในการเข้าร่วมในระดับภูมิภาค เพื่อที่จะไม่เป็นข้ออ้างให้กับศัตรูและการยุติความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทางด้านนิวเคลียร์ ถือว่า เป็นการสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับการมีอำนาจของชาติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเข้าร่วมในภูมิภาค ได้ทำให้เรานั้นมีกลยุทธ์ที่ลึกซึ้งและการมีอำนาจของชาติที่เพิ่มมากขึ้น แล้วทำไมเราจะต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ด้วย? ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ก็เกี่ยวข้องกับการตอบสนองความต้องการของประเทศในอนาคตอันใกล้นี้ และหากว่าเราได้ละทิ้งสิ่งต่างๆเหล่านี้ แล้วในอีกหลายปีข้างหน้า พวกเราจะยื่นมือหาผู้ใดและจะไปยังสถานที่ใดหรือ?”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยอมจำนนต่อการเผชิญหน้ากับอเมริกาและชาติมหาอำนาจอื่นใด เพื่อหลีกเลี่ยงจากการคว่ำบาตร เป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงและก่อความเสียหายให้กับการมีอำนาจทางการเมือง และท่านผู้นำยังได้ยกตัวอย่างอีกโดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความไร้เดียงสาและความเรียบง่ายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะบอกว่า เราจะต้องลดการมีอำนาจในการป้องกันเพื่อไม่ให้เป็นการกระตุ้นความรู้สึกของศัตรู”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็ได้มีข้อเสนอต่างๆที่ไร้เหตุผลและมีข้อกังขาอย่างมาก ซึ่งข้อเสนอทั้งหมดนั้นสามารถที่จะเพิกถอนได้และก็ถูกเพิกถอนออกไปด้วย หากว่าบุคคลใดก็ตามที่ต้องการที่จะตัดแขน ตัดขา ในการมีอำนาจของชาติออกไปแล้ว เขานั้นได้รับอนุญาตให้กระทำการนี้ อิหร่านก็ต้องจะพบกับอันตรายอันใหญ่หลวง ซึ่งด้วยเจตจำนงและความโปรดปรานของพระเจ้า ข้อเสนอเหล่านี้จะไม่มีการดำเนินการเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเกี่ยวกับประเด็นฐานหลักของการมีอำนาจของชาติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า ประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประชาชนส่วนมากโดยตรง เช่น ความสามัคคีของชาติ ความไว้วางใจ การมีความหวัง ความเชื่อมั่นตนเอง การรักษาความศรัทธาของชาติ ปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ความคล่องแคล่วและความง่ายดายของปัญหาทางสังคมที่เกี่ยวกับประชาชนในการเพิ่มอำนาจของชาติ ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การบรรลุยังประเด็นเหล่านี้ เป็นเหตุให้ประชาชนต้องเข้าร่วมในภาคสนามอย่างเต็มรูปแบบ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า แม้ว่าจะมีปัญหาต่างๆมากมาย แต่ประชาชนก็ได้เข้าร่วมในภาคสนาม หากว่าปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไข ก็จะเห็นถึงความสามัคคีของประชาชนในภาคสนามอย่างแน่นอน และประเทศชาติก็จะไม่มีความโศกเศร้าและความหวาดกลัวแต่อย่างใด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีประสิทธิภาพที่ไม่อาจทดแทนได้ของประชาชนในการเข้าร่วมในภาคสนาม เป็นสาเหตุที่ทำให้ศัตรูพยายามที่จะทำการหลอกลวงประชาชน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหล่ามารร้ายด้วยกับการใช้เครื่องมือทางการสื่อสารมาโดยตลอด ในขณะที่มีการส่งเสริมการโกหกและการประดับประดาด้วยคำพูดที่ไม่มีมูลฐาน แม้กระทั่ง การบ่อนทำลายความศรัทธา และความเชื่อมั่นตนเองของประชาชาติ อีกทั้งการทำให้ประชาชาติต้องพบกับความผิดหวังอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การหลอกลวงกลุ่มชนที่เฉพาะเจาะจง โดยพุ่งยังเป้าหมายสูงสุดในการหลอกลวงประชาชน เป็นวาระสำคัญของเหล่าศัตรู โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการของโลกต่างพยายามที่จะก่อสงครามจิตวิทยาในหน้าประวัติศาสตร์กับประชาชาติอิหร่าน เพื่อที่จะหลอกลวงบุคคลที่มีฐานะสูงส่งหรือบางครั้งแม้แต่ผู้มีความรู้ จนกระทั่งมีการหลอกลวงประชาชนส่วนมากเพื่อที่จะทำให้พวกเขานั้นต้องออกห่างจากความเป็นจริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การฝึกฝนทหารรับจ้าง การยักยอกสินทรัพย์ การข่มขู่คุกคามและความละโมภ เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการต่างๆของศัตรู โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สงครามจิตวิทยาที่หนักหน่วงนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกของฝ่ายธรรมะ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ยากที่จะมาท้าทายกับฝ่ายธรรมะและศัตรูได้ใช้สงครามจิตวิทยาเพื่อที่จะบ่อนทำลายความคิดของสาธารณชน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กลุ่มชนจำนวนมากที่ได้รับการอบรมด้วยการมีบะศีเราะฮ์(การรู้แจ้งเห็นจริง) เต็มไปด้วยกับการมีแรงจูงใจ เป็นผู้ศรัทธาทั้งในสถาบันศาสนาและมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาเยาวชนจำนวนมาก ที่เป็นเสาหลักอันแท้จริงในการเผชิญหน้ากับการต่อสู้กับศัตรู โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “วิธีการในการเผชิญหน้ากับสงครามจิตวิทยาที่ซับซ้อนของศัตรู ดั่งที่เราเคยกล่าวไว้หลายครั้งแล้ว ก็คือ การญิฮาดเชิงอธิบายและการแสดงออก หมายถึง สิ่งที่ท่านอิมามอะลี (อ.) ได้เขียนไว้ในจดหมายถึงอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) บุตรชายทั้งสองว่า เป็นการญิฮาด(การต่อสู้) ด้วยภาษา”
ก่อนที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม จะกล่าวถึงประเด็นที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการญิฮาดเชิงอธิบายและการแสดงออก ท่านถือว่า การอนุมัติงบประมาณในรัฐสภาเพื่อการญิฮาดเชิงอธิบายและการแสดงออก เป็นการกระทำที่ผิดพลาดและไม่ได้ผลลัพท์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ข้าพเจ้านั้นไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้ในประเด็นเหล่านี้และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า งบประมาณเหล่านี้มักจะสูญเปล่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ได้รับงบประมาณเหล่านี้ในกระทรวงการชี้นำและองค์การการเผยแพร่ เป็นบุคคลผู้มีศรัทธา มีความใสสะอาดและเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ แต่ธรรมชาติของการกระทำนี้ เป็นสิ่งที่ผิดพลาด และเราหวังว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจะต้องให้ความใส่ใจกับประเด็นนี้เป็นพิเศษด้วย”
หลังจากนั้น ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงความจำเป็นในความสำเร็จของการญิฮาดเชิงอธิบายและการแสดงออก ถือว่า จะต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในสงครามทางจิตวิทยา และท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ดังเช่นในอดีตที่เรานั้นไม่สามารถที่จะใช้อาวุธยุทโธปกรณ์เดิมในสงครามหนักหน่วงได้อีกต่อไปแล้ว และในสงครามจิตวิทยาก็เช่นกัน ก็จะต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัย แต่แน่นอนว่า บางวิธีการเดิม เช่น การบรรยายและการขับบทลำนำ ก็ยังมีประสิทธิภาพและไม่มีวิธีการใดที่จะแทนที่ได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สถานการณ์ของประเทศในภาคส่วนของฮาร์ดแวร์(หน่วยรับข้อมูล)ของสงครามจิตวิทยาและโลกเทคโนโลยีสารสนเทศ อยู่ในสถานภาพที่ค่อนข้างดี แต่แน่นอนว่าก็จะต้องได้รับการปรับปรุงและด้วยความเพียรพยายามอุตสาหะของท่านประธานาธิบดีและบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในส่วนของซอฟแวร์(ชุดคำสั่ง) หมายถึง การอธิบายคำพูดใหม่ด้วยวิธีการที่น่าสนใจ จะต้องได้รับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการมีนวัตกรรมใหม่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อาวุธที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในสงครามจิตวิทยา คือ การอธิบายแนวความคิดที่สูงส่งของอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในประเด็นการมีมะอ์รีฟัต(การรู้จักอย่างถ่องแท้) วิถีการดำเนินชีวิตแบบอิสลาม การอธิบายวิธีการในการปกครองแบบอิสลาม เช่น ความเป็นประชาธิปไตยของประชาชน การมีศาสนาและความศรัทธา การเป็นชนชั้นสูงและการไม่ฟุ่มเฟือย การไม่ฉ้อฉลต่อผู้อื่น และการไม่ยอมรับการกดขี่ข่มเหง การพูดถ้อยคำที่น่าสนใจ ไพเราะน่าฟังสำหรับโลก ซึ่งจะต้องมีการอธิบายอย่างดีทีเดียว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การแบ่งแยกเส้นทางของความก้าวหน้าและความสูงส่งทางวัตถุของประเทศชาติออกจากการหันเหและการเดินตามเส้นทางที่ผิดพลาด คือ อีกแง่มุมหนึ่งของการญิฮาดเชิงอธิบายและการแสดงออก โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การแบ่งแยกนี้ ไม่ได้หมายถึงการแบ่งแยกตามผลประโยชน์ของเครือญาติและพรรคพวก แต่ทว่า จะต้องอยู่บนพื้นฐานความศรัทธาต่ออิสลามและอัลกุรอาน ทั้งยังมีการขับเคลื่อนต่อรัฐอิสลามอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งจะทำให้เส้นทางที่ถูกต้องนี้ ถูกแยกออกจากหนทางที่เบี่ยงเบนและมีความชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วย”
ในท้ายที่สุด ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีข้อบกพร่องในการญิฮาดเชิงอธิบายและการแสดงออก เป็นเหตุให้เหล่าพวกฆราวาสนิยมใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ดี แม้แต่มีการใช้เครื่องมือทางศาสนา โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า หากว่าไม่มีการใช้การญิฮาดเชิงอธิบายและการแสดงออกอย่างถูกต้อง เหล่าพวกฆราวาสนิยมก็จะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือของการมีราคะและตัณหา ดังเช่นกลุ่มต่างๆ เช่น บนีอุมัยยะฮ์ ได้กระทำเช่นนี้ในช่วงยุคแรกของอิสลาม”
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกันครั้งนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ ญันนะตี ประธานสภาผู้ชำนาญการและฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน รออีซี ในฐานะรองประธานสภาผู้ชำนาญการ ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการของสภาแห่งนี้และความคิดเห็นของบรรดาสมาชิกในการจัดประชุมของสภานี้ โดยเฉพาะในประเด็นด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจของประเทศ ถือเป็นปัญหาหลักของประเทศที่จะต้องได้รับการแก้ไข