ประชาชนชาวเมืองกุมอันศักดิ์สิทธิ์ จำนวนหนึ่ง ได้เข้าพบปะกับท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยเป็นการพบปะกันผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ซึ่งท่านผู้นำถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองกุม ในวันที่ 19 เดือนเดย์ 1356 (9 มกราคม 1978) เป็นการแสดงให้เห็นถึงการมีความศรัทธาต่อศาสนาอย่างลึกซึ้งและความกระดากอายทางศาสนาที่ควบคู่กับการใช้สติปัญญา และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นว่า พวกสหรัฐนั้นต่างมีความเกลียดชังต่อรัฐที่เกิดขึ้นมาจากความศรัทธาของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เราจะต้องมีการขับเคลื่อนไปสู่อนาคตที่สดใสด้วยกับการมีความเข้าใจต่อหน้าที่รับผิดชอบในปัจจุบัน ด้วยความหวัง ความเป็นเอกภาพ และการมีพลังอำนาจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งหลายนั้นจะต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งบนเส้นทางนี้ และการทำให้มิติต่างๆภาคประชาชนพบกับความสมบูรณ์ด้วยความพยายามในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประชาชนอย่างกว้างขวาง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เดย์ 1356 เป็นที่มาของการเคลื่อนไหวในเมืองต่างๆ และจนในที่สุดการปฏิวัติอิสลามก็ได้รับชัยชนะ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เหตุการณ์ประเภทนี้ นั้นมีความหมายอันแข็งแกร่งและเป็นสาส์นที่ยิ่งใหญ่สำหรับเยาวชนรุ่นต่อไปในอนาคต ซึ่งจะต้องไม่ปล่อยให้ถูกลืมเลือนและไม่มีความสนใจอีกต่อไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เดย์ และการเกิดขึ้นเหตุการณ์ต่างๆทางสังคมและการเมือง แสดงให้เห็นว่า ประชาชนนั้นมีความศรัทธาต่อศาสนาอย่างลึกซึ้ง เพราะหากว่าท่านอิมามโคมัยนี ไม่ได้อยู่ในศูนย์กลางในฐานะมัรญิอ์ ตักลีด (นักนิติศาสตร์สูงสุดที่ประชาชนทั่วไปจะต้องปฏิบัติตามหลักศาสนบัญญัติ) และนักการศาสนาแล้วไซร้ ก็จะไม่มีผู้ใดหรือการเคลื่อนไหวใดๆที่สามารถจะมีการขับเคลื่อนจากเมืองหนึ่งไปสู่อีกเมืองหนึ่งและการลุกขึ้นต่อสู้ได้เลย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า บรรดานักการศาสนา ผู้กล้าหาญและผู้สันทัดทางการเมือง เป็นแกนหลักในเหตุการณ์ส่วนมากที่เกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์และทางสังคมในตลอดช่วง 150 ปีที่ผ่านมาในอิหร่าน รวมทั้งประเด็นยาสูบ ขบวนการปฏิวัติรัฐธรรมนูญ เหตุการณ์มัสญิดโกฮาร์ชาด การลุกขึ้นต่อสู้ในวันที่ 30 ทีร และวันที่ 15 โครดอด โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เป็นไปได้ว่า องค์ประกอบที่มีอิทธิพล อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของประชาชนจำนวนหนึ่ง แต่ทว่า การเกิดขึ้นของคลื่นอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติในการเผชิญหน้ากับลัทธิล่าอาณานิคมและชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ และเหล่าพันธมิตรของพวกเหล่านี้ ก็คือ ภารกิจของนักการศาสนาและมัรญิอ์ทางศาสนา ด้วยเหตุนี้เอง เราสามารถเข้าใจได้ว่า มีความเร้นลับในการเป็นปฏิปักษ์ของเหล่าชาติมหาอำนาจกับศาสนา นักการศาสนา นักการเมือง นักนิติศาสตร์ทางการเมือง และอิสลามการเมือง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า บางคนกล่าวสโลแกนที่ว่า อเมริกา จงพินาศ แสดงให้เห็นถึง เหตุผลของความเป็นปฏิปักษ์ของชาติมหาอำนาจกับสาธารณรัฐอิสลามอย่างตลอดไป โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “อเมริกานั้นเป็นศัตรูกับรัฐอิสลามนับตั้งแต่การก่อรากฟัน เพราะว่ารัฐนี้นั้น เกิดขึ้นมาจากศาสนา และการสำแดงออกในการมีความศรัทธาต่อศาสนาของประชาชาติ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความกระดากอายทางศาสนา เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนในวันที่ 19 เดย์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บางคนต่างพยายามและมีการเผยแพร่ความกระดากอายทางศาสนาว่า เป็นสิ่งที่ไร้ตรรกะและเป็นความรุนแรง แต่ทว่าในความจริงก็คือ ความกระดากอายทางศาสนานั้นมาพร้อมกับความมีเหตุมีผลและเกิดขึ้นมาจากบะศีเราะฮ์ (ความเข้าใจอย่างถ่องแท้) และบะศีเราะฮ์ ก็เป็นอีกแขนงหนึ่งและเป็นการแสดงออกถึงความมีเหตุมีผล ในขณะที่ทางปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน ในกรณีส่วนมาก ความกระดากอายทางศาสนานั้นอยู่เคียงข้างกับความมีเหตุมีผลมาโดยตลอด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ท่านอิมามโคมัยนี เป็นการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ในการมีความกระดากอายทางศาสนาพร้อมกับความมีเหตุมีผลและการใช้สติปัญญา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สานุศิษย์ที่เยี่ยมยอดของท่านอิมาม ก็คือ ท่านอยาตุลลอฮ์ มิศบาฮ์ ก็มีความสุดยอดในการมีความกระดากอายทางศาสนาและทางด้านการใช้สติปัญญาที่ว่าด้วยเหตุและผล ท่านก็ยังเป็นนักปรัชญาที่แท้จริงอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตัดสินใจของระบอบทรราช เพื่อที่จะจัดพิมพ์บทความที่เกี่ยวกับการดูหมิ่นท่านอิมาม ลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เป็นการตัดสินใจไปตามการคิดคำนวณและเป็นแผนการร้าย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ระบอบทรราชต่างเข้าใจดีถึงการมีอิทธิพลของท่านอิมามที่มีต่อประชาชน โดยที่พวกเหล่านั้นต้องการที่จะทำให้ฐานภาพในการมีแรงบันดาลและพลังของท่านอิมามนั้นลดลง ทั้งยังเป็นการทำลายศูนย์กลางในการเคลื่อนไหวอีกด้วย และหากว่ากำปั้นอันแข็งแกร่งของประชาชนชาวเมืองกุมในวันที่ 19 เดย์ 1356 ไม่ได้ชกไปที่ลำตัวของทรราช การเคลื่อนไหวต่างๆเหล่านี้ ก็ยังคงดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่องในรูปแบบต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐนั้นให้การสนับสนุนต่อพวกทรราชและจากคำพูดของ จิมมี คาร์เตอร์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ ในขณะนั้น เมื่อวันที่ 10 เดย์ 1356 ที่กรุงเตหะราน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “คาร์เตอร์ได้ดำเนินการต่อไปด้วยการคิดคำนวณที่ผิดพลาดของพวกสหรัฐฯ และเรียกอิหร่านของชาห์ปาห์เลวีว่า เป็นเกาะแห่งความมั่นคง แต่ทว่าการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองกุมและการลุกขึ้นต่อสู้ในเมืองต่างๆหลังจากนั้น ได้ทำลายการคิดคำนวณและแผนการร้ายของทรราชและพวกอเมริกา ซึ่งในปี 1357 คาร์เตอร์จำเป็นที่จะต้องส่งนายพล ไฮเซอร์ มายังประเทศอิหร่านเพื่อก่ออาชญากรรมในการสังหารประชาชน การก่อรัฐประหารและการใช้วิธีการอื่นๆในการปราบปรามประชาชนและการทำลายการเคลื่อนไหวของประชาชาติอิหร่าน แต่ด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า จึงทำให้แผนการร้ายเหล่านั้นต้องพบกับความล้มเหลว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเป็นชะฮีดของนายพล กอเซ็ม สุไลมานี เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการคิดคำนวณที่ผิดพลาดอย่างต่อเนื่องของพวกสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เหล่าผู้ก่อการร้ายต่างต้องการที่จะกำจัดฮัจญ์ กอเซ็ม ในฐานะที่เป็นตัวแทนของสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวอันยิ่งใหญ่ แต่ทว่า การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่นี้และการแสดงออกถึงความปรารถนาและความรักของประชาชาติและประชาชนในประเทศต่างๆที่มีต่อฮัจญ์กอเซ็ม ในวาระครบรอบปีที่สองของการเป็นชะฮีดของท่าน แสดงให้เห็นถึงการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่นี้นั้น เกิดขึ้นมาจากอานุภาพแห่งพระเจ้าที่ได้ทำให้การคิดคำนวณของพวกอเมริกานั้นต้องพบกับความล้มเหลวและถูกทำลายลงไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการครบรอบ 43 ปีแห่งชัยชนะอันรุ่งโรจน์ของการปฏิวัติอิสลามและการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยทางศาสนา โดยถือว่า เป็นหน้าที่ของประชาชาติหนึ่งที่มีชีวิตชีวาที่จะต้องนำอุทาหรณ์ในอดีตมาเป็นบทเรียนและการตระหนักถึงหน้าที่ในปัจจุบันและการกำหนดวิสัยทัศน์และการก้าวที่มั่นคงเพื่อที่จะมีการขับเคลื่อนต่อไปสู่วิสัยทัศน์นั้น โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การรู้จักหน้าที่และการมองการณ์ไกลนี้ จะนำไปสู่ความสำเร็จและการได้รับชัยชนะอันสูงสุด นั่นหมายถึง การมีชีวิตที่ดีของประชาชาติอิหร่าน และความมั่นคงทางศาสนา โลก และความสะดวกสบายทางจิตวิญญาณและร่างกายสำหรับประชาชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังแสดงถึงความพึงพอใจต่อการแพร่ขยายวงกว้างทางความคิดและการปฏิบัติของบรรดาเยาวชน ผู้ศรัทธาและพลพรรคของพระเจ้าในทั่วประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บางความคิดเห็นและการรายงานไม่ได้บ่งบอกถึงข้อเท็จจริงของประชาชาติ ซึ่งประชาชนก็จะต้องเข้าใจถึงภายในและความรู้สึกที่แท้จริงต่อปัญหาต่างๆ ดั่งที่พวกเขาได้รับรู้จากพิธีการตัชยีอ์( การแห่ศพ) ของชะฮีด สุไลมานี”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวข้อเสนอแนะหลายประการที่มีต่อประชาชนและบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯเพื่อที่จะได้รักษาความมีชีวิตชีวาและความก้าวหน้าของการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความกระดากอายทางศาสนา เป็นอีกปัจจัยในการรอดพ้นของประเทศจากกับดักต่างๆและการเปลี่ยนจากภัยคุกคามให้กลายเป็นโอกาส โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกท่านทั้งหลายจงรักษาความกระดากอายทางศาสนา เพราะว่า เนื่องจากประชาชนนั้นมีความกระดากอายทางศาสนา ในสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ หมายถึง การได้รับชัยชนะในสงครามระหว่างประเทศ ซึ่งพวกสหรัฐฯ สหภาพโซเวียต นาโต้และพวกพันธมิตรทั้งหลายต่างต้องยอมคุกเข่าศิโรราบให้กับการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตัชยิอ์แห่งประวัติศาสตร์ของชะฮีด สุไลมานี เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงการมีความกระดากอายทางศาสนาของประชาชน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในพิธีการนั้น ประชาชาติอิหร่านได้เปิดเผยให้เห็นถึงการมีความเป็นเอกภาพและการมีอัตลักษณ์ทางศาสนาและการปฏิวัติอิสลามออกมา และหากว่า ร่างศพอันบริสุทธิ์ได้ถูกนำพาไปยังประเทศซีเรีย เลบานอนและปากีสถาน ประชาชาติอิสลามก็จะให้การตอบรับอย่างยิ่งใหญ่เหมือนกับที่เกิดขึ้นในอิหร่านและอิรักเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 เดย์ 1388 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเปิดเผยความกระดากอายทางศาสนาของประชาชน โดยท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในเหตุการณ์นั้น เนื่องจากการมีความกระดากอายทางศาสนาของประชาชน จึงทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยคุกคามได้ถูกขจัดออกไปและได้เปลี่ยนจากภัยคุกคามให้กลายโอกาส ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาวิทยากร นักเขียนและผู้ที่มีอิทธิพล ก็จะต้องพยายามที่จะรักษาความกระดากอายทางศาสนาของประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การไม่ให้มีความรู้สึกอ่อนไหวต่อหลักการและพื้นฐานของการปฏิวัติอิสลาม ด้วยกับการโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวางทางสื่อสังคมออนไลน์และสื่อต่างๆของต่างชาติ ทั้งยังทำให้คำพูดของเหล่าผู้ที่มีต้นทุนต่ำซึ่งเต็มไปด้วยข้ออ้างนั้นมีความโดดเด่น คือ หนึ่งในรูปแบบแผนของเหล่าศัตรู โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “รากฐานของการปฏิวัติอิสลาม รวมทั้งการจัดตั้งระบอบการปกครองและสังคม ตามเลขาคณิตทางศาสนา เสรีภาพ และการต่อสู้กับการทุจริตและความอยุติธรรม ซึ่งจะต้องไม่มีความอ่อนแอเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “การไม่ยอมจำนนในการเผชิญหน้ากับศัตรู จอมอหังการและผู้ฉ้อฉล คือ ส่วนหนึ่งของรากฐานของการปฏิวัติอิสลามด้วยเช่นกัน ในขณะที่มีการเจรจา การพูดคุยและการมีปฏิสัมพันธ์กับศัตรู ซึ่งไม่ได้หมายถึงการยอมจำนน แต่ในขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีการยอมจำนนและหลังจากนี้ ก็จะไม่มีการยอมจำนนเป็นอันขาดด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การไม่ให้เกิดความอ่อนไหวต่อหลักการของการปฏิวัติอิสลาม คือ อีกส่วนหนึ่งของสงครามจิตวิทยาที่กว้างขวางและหลากหลายในการต่อต้านประชาชาติ และท่านผู้นำยังได้เรียกร้องให้บรรดานักคิด นักเขียนและบรรดาผู้ที่เคลื่อนไหวทางสังคมและสื่อสังคมออนไลน์ให้ออกมาต่อสู้กับแผนการร้ายนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การจินตนาการที่ว่า หลักการของการปฏิวัติอิสลามนั้นไม่มีประโยชน์กับประชาชนและต่ออนาคต ถือเป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงและไร้ซึ่งความยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้ถึงการยึดมั่นต่อหลักการของการปฏิวัติอิสลาม คือ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในการขับเคลื่อนเพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในตลอด 43 ปีนั้น ไม่ว่าที่ใดก็ตามที่มีความก้าวหน้าและมีการขับเคลื่อน ที่นั่นจะเกิดขึ้นมาจากการมีจิตวิญญาณและการต่อสู้ของบรรดาผู้ศรัทธาและนักการปฏิวัติ และไม่ว่าที่ใดก็ตามที่มีการล้มลุก ก็จงรู้ไว้เถิดว่า ที่นั่นมีผู้ที่ฉวยโอกาส ก่อความทุจริต การเป็นชนชั้นสูงและการมีมุมมองที่ปราศจากการปฏิวัติอิสลามอยู่ในนั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ให้ข้อเสนอแนะโดยเรียกร้องให้สาธารณชนต้องรักษาความเป็นเอกภาพและความสามัคคีแห่งชาติ โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า ไแน่นอนว่า โดยเฉพาะบางคนที่ได้ต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งนอกจากการยืนหยัดแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดในการปฏิวัติอิสลาม แต่ทว่า ก็จงอย่าปล่อยให้ความแตกต่างทางด้านทัศนคติและการมีรสนิยม เป็นการต่อกรเพื่อการเผชิญหน้ากัน การทำให้หมดความหวังและจนเป็นเหตุให้เกิดการทำลายความสามัคคีของประชาชนทั่วไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า การที่บางคนในหมู่เหล่าศัตรูของการปฏิวัติอิสลาม ได้กำหนดนโยบายการสร้างความแตกแยกแล้วเข้ามาปกครอง และความพยายามเพื่อสร้างความแตกแยกทางนิกาย ทั้งเกิดการปะทะกันระหว่างซุนนีกับชีอะฮ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ อย่าปล่อยให้ประเด็นนี้เกิดขึ้นในประเทศเป็นอันขาด ดั่งที่ในศตวรรษทั้งหลายที่ผ่านมา ชีอะฮ์และซุนนีในประเทศได้อยู่เคียงข้างกันมาโดยตลอด และพวกเขาได้ดำรงชีวิตโดยปราศจากการปะทะกันและความแตกแยก ฉะนั้น อย่าทำให้ความแตกต่างเหล่านี้มาเป็นข้ออ้าง ซึ่งช่างโชคดีเสียนี่กระไรที่ในขณะนี้ ยังไม่เกิดขึ้นอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บัดนี้ มีผู้หนึ่งผู้ใดที่พูดจาผิดพลาดและอีกคนหนึ่งก็มีความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบ แต่ทว่าประเด็นเหล่านี้ไม่ควรดำเนินการต่อไป และทุกคนจะต้องรักษาความสามัคคีในที่สาธารณะ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สาธารณรัฐอิสลาม เป็นสัญลักษณ์ของอิสลามและการปกครองของประชาชาติอิสลาม และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นถึงการแสดงออกถึงความรักและความร่วมมือของชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ในประเทศต่างๆที่มีต่อสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พิธีการต่างๆที่ยิ่งใหญ่ในการเทอดเกียรติต่อชะฮีดสุไลมานีในประเทศอิสลามทั้งหลาย ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการมีความรัก ความร่วมมือและการสนับสนุนของประชาชาติอิสลามต่อสาธารณรัฐอิสลาม ทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกจนถึงแอฟริกาตะวันตก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงข้อเสนอแนะประการต่อมา โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างให้ความหวังที่แข็งแกร่งต่ออนาคต โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เยาวชนที่มีความหวังนั้น สามารถที่จะกระทำการงาน ความเพียรพยายามและการวิจัย แต่การเสริมสร้างให้มีความหวังที่แข็งแกร่ง ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ก็จะต้องมีการดำเนินงาน และความพยายาม ดั่งที่ได้ประจักษ์ในวันนี้ ซึ่งจะทำให้หัวใจของบรรดาเยาวชนนั้นเต็มไปด้วยกับความหวัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการปกปิดความสำเร็จของสาธารณรัฐอิสลามในเวทีต่างๆ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าจะเกิดปัญหาต่างๆทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มชนผู้ด้อยโอกาส และปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาการธนาคาร และภาษีอากร ขณะเดียวกัน สาธารณรัฐอิสลามก็ได้ประสบความสำเร็จที่สำคัญในภาคส่วนต่างๆ ซึ่งจะต้องมีการอธิบายให้กับประชาชน ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวถึงปัญหาต่างๆ แต่กลับเพิกเฉยต่อความสำเร็จเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวชื่นชมต่อแนวโน้มในการอยู่ร่วมกับประชาชนของรัฐบาลและการขับเคลื่อนนี้ให้มีความสมบูรณ์ ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลจะต้องปฏิบัติตามสัญญาต่างๆที่ให้ไว้กับประชาชน และหากว่าไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ ก็จะต้องเปิดเผยและมีการอธิบายให้พวกเขาได้รับรู้อย่างโปร่งใส”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างกลไกเพื่อใช้ประโยชน์จากทัศนะต่างๆและวิธีการที่บรรดานักคิด ผู้เชี่ยวชาญและประชาชนเสนอมา และการตรวจสอบวิธีการในการใช้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วมของประชาชน คือ สิ่งที่จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ และท่านผู้นำยังได้ให้คำแนะนำต่อเจ้าหน้าที่รัฐฯในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของประชาชนสำหรับการดูแลปัญหาต่างๆ เช่น การทุจริตและความโลภ เป็นต้น”
ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ จะต้องทำงานเพื่อประชาชน ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ทั้งในการขยายการทำงานและความพยายาม เพื่อที่พระผู้เป็นเจ้า จะทรงประทานเกียรติอันสูงส่งให้กับความเพียรพยายามเหล่านี้”