เนื่องในวโรกาสคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ศาสดาแห่งความเมตตาและท่านอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) บรรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ พร้อมทั้งบรรดาแขก ผู้ที่เข้าร่วมในงานสัมมนาสัปดาห์แห่งเอกภาพอิสลาม ได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า สองภารกิจอันสำคัญยิ่งสำหรับประชาชาติอิสลาม คือ การอธิบายและการส่งเสริมความครอบคลุมของอิสลามในทุกๆด้านของการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในความเป็นเอกภาพของบรรดามุสลิม
และท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความเป็นเอกภาพของอิสลาม คือ หลักการหนึ่งและเป็นข้อบังคับที่ได้รับจากอัลกุรอาน และจะเป็นไปไม่ได้ในการบรรลุสู่เป้าหมายอันสูงสุดในการสร้างอารยธรรมใหม่ของอิสลาม หากปราศจากความเป็นเอกภาพระหว่างชีอะฮ์กับซุนนี”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) และท่านอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.)ต่อประชาชาติอิหร่านและบรรดาประชาชาติอิสลามทั้งหมดและบรรดาอิสรชนทั่วโลก โดยท่านผู้นำถือว่า วันประสูติของท่านศาสดาองค์สุดท้าย เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่แห่งความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศแบบแผนของความผาสุกอย่างสมบูรณ์ของมนุษย์ให้กับท่านศาสดา และทรงบัญชาให้ท่านเป็นผู้ดำเนินการและเรียกร้องแบบแผนเหล่านี้จากเหล่าผู้ที่ปฏิบัติตามท่าน ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาผู้ศรัทธาในทุกยุค ทุกสมัย จะต้องรู้จักถึงหน้าที่ของตนเองและปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปฏิบัติตามสิทธิที่ครอบคลุมของอิสลาม และความเป็นเอกภาพของบรรดามุสลิม คือ สองกรณีที่เป็นภารกิจอันสำคัญยิ่งของประชาชาติอิสลามในวันนี้ และท่านผู้นำยังได้กล่าวอธิบายในกรณีแรก โดยกล่าวว่า “อำนาจทางการเมืองและทางวัตถุในอดีตได้ยืนยันว่าอิสลาม มิใช่เป็นเพียงศาสนาที่มีความครอบคลุม และมีแบบแผนสำหรับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่ทว่า จะเฉพาะกับการปฏิบัติทางปัจเจกบุคคลและความศรัทธา ด้วยการตั้งทฤษฎีจากภาษาของเหล่าผู้เขียนและปัญญาชนสมัยใหม่โดยเล็งเห็นว่า ในอิสลามนั้นมีประเด็นที่สำคัญ เช่น การสร้างอารยธรรมและการบริหารจัดการสังคม เศรษฐกิจและการจัดสรรอำนาจและความมั่งคั่ง สงครามและสันติภาพ นโยบายในประเทศและต่างประเทศ การดำรงความยุติธรรมและการเผชิญหน้ากับความฉ้อฉลและความชั่วร้าย มิใช่เป็นเพียงแหล่งอ้างอิงทางความคิด และมิใช่เป็นเพียงแนวทางในการปฏิบัติเท่านั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำถึงตำราคำสอนของอิสลามที่ได้ปฏิเสธความคิดเช่นนี้ โดยถือว่าการปฏิบัติตามสิทธิของอิสลาม คือ การอธิบายและการส่งเสริมข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ และท่านกล่าวเสริมว่า “การดำเนินการและการซึมซับของอิสลาม ในทุกมิติต่างๆอย่างกว้างขวาง และในการดำเนินชีวิตของมนุษย์จากก้นบึ้งของหัวใจ และประเด็นในการกระทำอะมั้ลอิบาดัต จนถึงประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และระหว่างประเทศ และผู้ใดก็ตามที่ได้ปฏิเสธความหมายนี้ แน่นอนว่า เขาย่อมไม่สนใจต่อหลักฐานอันชัดเจนและโองการต่างๆของอัลกุรอาน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่าอิสลามได้ให้ความสำคัญในประเด็นทางสังคมและภารกิจที่สำคัญในการสร้างอารยธรรม ถือเป็นการแสดงถึงความสำคัญที่มีต่ออำนาจอธิปไตย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “จะเป็นไปไม่ได้ที่ข้อเรียกร้องระเบียบของสังคมในอิสลาม โดยปราศจากการคำนึงถึงประเด็นอำนาจอธิปไตยและการแต่งตั้งของอิมาม ขณะที่ในอัลกุรอานได้กล่าวว่า บรรดาศาสดาในฐานะที่พวกเขานั้นเป็นอิมาม หมายความว่า พวกเขาก็คือ ผู้นำสูงสุดและเป็นผู้บังคับบัญชาการของสังคมด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การอธิบายถึงความครอบคลุมของอิสลามในทุกบทบาทของการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เป็นหน้าที่ของบรรดานักการศาสนา เหล่าปัญญาชน นักค้นคว้าวิจัย และบรรดาคณาจารย์ของโลกอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า สาธารณรัฐอิสลามนั้น ได้รับผิดชอบต่อหน้าที่อันหนักกว่านี้ และบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ฝ่ายวัฒนธรรม จะต้องปฏิบัติต่อหน้าที่ของพวกเขาเอง”
ในส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้เน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับความเป็นเอกภาพของบรรดามุสลิม และท่านผู้นำยังกล่าวเทอดเกียรติต่อบุคคลที่มีภาพลักษณ์แห่งความเพียรพยายามในการสร้างความเป็นเอกภาพของโลกอิสลาม ดังเช่น มัรฮูมตัสคีรี มัรฮูมวาอิซ ซาเดะฮ์ ชะฮีดมุฮัมมัด รอมฎอน อัลบูฏี ชะฮีดมุฮัมมัด บากิร อัลฮะกีม มัรฮูมอะฮ์หมัด อัซซัยน์ และมัรฮูมเชคซะอีด ชะอ์บาน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความเป็นเอกภาพของบรรดามุสลิม คือ ข้อบังคับอันชัดแจ้งและเป็นคำสั่งจากอัลกุรอาน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความเป็นเอกภาพของอิสลาม คือ หลักการหนึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงกลยุทธ์และเฉพาะกับสถานการณ์ที่พิเศษเท่านั้น และการมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน จะทำให้บรรดามุสลิมนั้นมีความเข้มแข็ง เพื่อที่จะทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่างๆที่มิใช่ประเทศอิสลามอย่างเต็มที่ได้อีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เหตุผลที่กล่าวย้ำซ้ำหลายครั้งที่เกี่ยวกับประเด็นเอกภาพ คือ การเกิดระยะห่างอย่างมากระหว่างสำนักคิดทางศาสนาและความพยายามอย่างจริงจังของเหล่าศัตรู เพื่อที่จะเพิ่มระยะห่างเหล่านี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้ คำว่า ชีอะฮ์และซุนนีได้เข้ามาสู่วาทกรรมทางการเมืองของพวกสหรัฐฯแล้ว ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับต่อต้านหลักการของอิสลามและแสดงความเป็นศัตรูออกมา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความพยายามของอเมริกาและเหล่าพันธมิตร ในการก่อให้เกิดวิกฤติในทุกพื้นที่ของโลกอิสลาม โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การระเบิดอันน่าเศร้าใจและการหลั่งน้ำตาที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ระเบิดในมัสยิดของประเทศอัฟกานิสถาน ที่มีประชาชนชาวมุสลิม และบรรดาผู้นมาซอยู่ในสถานที่แห่งนั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของกลุ่มไอซิส (ดาอิช) ขณะที่พวกสหรัฐกล่าวอย่างชัดเจนเองว่า เรานั้นคือผู้สร้างกลุ่มไอซิสขึ้นมา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังไม่ถือว่า การจัดประชุมประจำปีที่เกี่ยวกับความเป็นเอกภาพ เป็นสิ่งที่เพียงพอ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในประเด็นนี้ จะต้องมีการพูดคุยกัน การอธิบาย การสนับสนุน การวางแบบแผน และการจัดสรรงานด้วยกัน ยกตัวอย่างในประเด็นของเหตุการณ์อัฟกานิสถาน ซึ่งหนึ่งในวิธีการในการป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ ก็คือ การเข้าร่วมของบรรดาเจ้าหน้าที่ ผู้ทรงเกียรติของประเทศนี้ในศูนย์กลางต่างๆ และในมัสยิดทั้งหลาย หรือด้วยการสนับสนุนต่อพี่น้องชาวอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ให้มีส่วนเข้าร่วมในการประชุมร่วมกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า การบรรลุสู่เป้าหมายที่สำคัญในการสร้างอารยธรรมใหม่ของอิสลาม จะเกิดขึ้นไม่ได้ นอกเสียจากความเป็นเอกภาพของชีอะฮ์กับซุนนีจะเกิดขึ้นเสียก่อน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ตัวบ่งชี้หลักสำหรับความเป็นเอกภาพของบรรดามุสลิม คือ ประเด็นปาเลสไตน์ และเมื่อใดก็ตามที่มีความจริงจังในการฟื้นฟูสิทธิของชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ความเป็นเอกภาพของอิสลามก็จะมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บางประเทศในภูมิภาคที่สร้างความสัมพันธ์อย่างปกติกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ เป็นการกระทำความผิดบาปและเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “รัฐบาลเหล่านี้ จะต้องหันกลับสู่แนวทางในความเป็นเอกภาพและมีการชดเชยในความผิดพลาดครั้งใหญ่นี้ด้วย”
ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้กล่าวถึงประชาชาติอิหร่านให้มีการปฏิบัติตามท่านศาสดา ผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลาม และการยึดถือเอาเป็นแบบอย่างจากท่านศาสดา โดยเฉพาะในสามประเด็นหลัก กล่าวคือ ความอดทน ความยุติธรรม และการมีศีลธรรม จริยธรรม โดยท่านกล่าวว่า “ความอดทน หมายถึง การยืนหยัดและการมีความมั่นคงในการเผชิญหน้ากับความผิดบาป และความอ่อนแอในการปฏิบัติหน้าที่ และเช่นเดียวกัน การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับศัตรูและความโศกเศร้าต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า ในวันนี้เรานั้นมีความต้องการในการยืนหยัดอย่างมั่นคง โดยกล่าวถึงบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ ว่า “พวกท่านทั้งหลาย จะต้องมีการยืนหยัดอย่างมั่นคงและความอดทนต่อความกดดันและปัญหาต่างๆ และการดำเนินตามแนวทางนี้ต่อไป อีกทั้งอย่าได้หยุดนิ่งเป็นอันขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความยุติธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเป้าหมายระดับกลางในการแต่งตั้งของบรรดาศาสดา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แม้ว่าในอัลกุรอานจะกล่าวว่า ความยุติธรรมที่เกี่ยวกับเหล่าศัตรูนั้นถือเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในประเด็นความยุติธรรม เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนั้นเป็นผู้ที่รับฟังคนแรก ในทุกๆการตัดสินใจ และข้อกฏหมาย ก็จะต้องให้ความสนใจต่อกรณีของความยุติธรรมและในกรณีต่างๆที่จำเป็น ซึ่งจะต้องมีความใส่ใจต่อประเด็นความยุติธรรมอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำถึงการมีพฤติกรรมที่มีความยุติธรรม และทุกๆมิติของการดำเนินชีวิต และการไม่เฉพาะเจาะจงในความยุติธรรมต่อการจัดสรรทรัพย์สินและความมั่งคั่ง โดยท่านได้ยกตัวอย่างจากสื่อสังคมออนไลน์และตั้งข้อสังเกตว่า “บางครั้งในสื่อสังคมออนไลน์ก็มีพฤติกรรมที่ต่อต้านกับความเป็นจริง การใส่ร้ายคำพูดที่ไม่มีหลักการ ความรู้ ตรงกันข้ามกับความยุติธรรม ซึ่งบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับบรรยากาศเหล่านี้และบุคคลที่มีความรับผิดชอบในประเด็นเหล่านี้ ก็จะต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เราจะต้องเรียนรู้ว่า เรานั้นจะมีพฤติกรรมที่มีความยุติธรรม และถึงแม้ว่า ในสถานการณ์ที่เรานั้นไม่ยอมรับคำพูดของผู้หนึ่งผู้ใดก็ตาม แต่ก็อย่าได้ทำให้การต่อต้านของตนนั้นเต็มไปด้วยกับการใส่ร้าย การโกหกและการดูหมิ่นเป็นอันขาด”
“การปฏิบัติตามจริยธรรมอันงดงามของท่านศาสดา” เป็นประเด็นสุดท้ายที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึง โดยท่านกล่าวว่า “จริยธรรมแห่งอิสลาม หมายถึง ความนบน้อมถ่อมตน การให้อภัยกัน ความง่ายดายในประเด็นปัจเจกบุคคล การกระทำความดี การออกห่างจากการพูดเท็จ การใส่ร้าย การดูหมิ่น และความประสงค์ร้ายต่อบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งถือว่า เป็นคำสั่งอันถาวรที่จะต้องให้ความสนใจอย่างยิ่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “การที่เราอ้างว่าเรานั้นเป็นมุสลิม และอยู่ในสาธารณรัฐอิสลาม เราก็จะต้องพร้อมด้วยกับการดำเนินการและการปฏิบัติตามศาสดา ผู้ยิ่งใหญ่นี้”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม พณฯท่านประธานาธิบดี ราอีซี ถือว่า การดำรงอยู่ของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เป็นความโปรดปรานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นจุดสูงสุดของการเปลี่ยนแปลงสำหรับมนุษยชาติ โดยท่านฮุจญตุลอิสลาม ราอีซี กล่าวว่า “ท่านอิมามที่สร้างความเปลี่ยนแปลงของเราก็เช่นกันด้วยกับการปฏิบัติตามท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติ (ศ็อลฯ) และด้วยการตะวักกุล(การมอบหมายกิจการต่อพระผู้เป็นเจ้า) และการต่อสู้ด้วยการพึ่งพาประชาชน และในวันนี้ เอกสารของก้าวที่สองแห่งการปฏิวัติอิสลาม เป็นการชี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วนของประเทศและการตอบสนองความต้องการของประชาชน”
ในช่วงหนึ่งของการปราศรัยของท่านประธานาธิบดี ถือว่า ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่าและการจัดเตรียมสินค้าหลักให้กับประชาชนนั้น เป็นประเด็นที่สำคัญทั้งสองประการที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของการทำงานของรัฐบาล โดยฮุจญตุลอิสลาม ราอีซี กล่าวว่า “วันนี้ได้มีการจัดฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการป้องกันสุขภาพ ความปลอดภัยของประชาชน และการจัดเตรียมสินค้าหลักให้กับประชาชน ก็ได้ทำให้ความกังวลใจถูกขจัดออกไป”
ท่านฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ราอีซี ได้กล่าวอธิบายถึงนโยบายด้านต่างประเทศของประเทศว่า เป็นการมีปฏิสัมพันธ์ในวงกว้างกับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้าน โดยเขาได้เน้นให้เห็นว่าเราจะไม่ผูกมัดเศรษฐกิจของประเทศกับการเจรจาและประเด็นอื่นๆ โดยเขากล่าวว่า “เราได้ยึดมั่นในสิ่งที่ให้คำมั่นสัญญาไว้ แต่สหรัฐและพวกยุโรปได้พบกับวิกฤตจากการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านั้น”