ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปราศรัยเนื่องในวันอัลกุดส์สากล เมื่อวันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอนอันจำเริญ โดยท่านผู้นำได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนดุลอำนาจที่เป็นคุณประโยชน์ต่อโลกอิสลามและฝ่ายมุกอวิมัต (ขบวนการยืนหยัดต้านทาน) ในการเผชิญหน้ากับการล่มสลายทางอำนาจของสหรัฐฯและรัฐเถื่อนไซออนิสต์อย่างเปิดเผย ทั้งการกระชับความสัมพันธ์อย่างปกติกับบางรัฐบาลชาติอาหรับที่อ่อนแอ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคในการล่มสลายของระบอบผู้ยึดครอง โดยท่านยังได้เน้นย้ำว่า “การลงประชามติของผู้อาศัยหลักในปาเลสไตน์ เพื่อเสนอข้อเรียกร้องอย่างเป็นตรรกะนั้น เป็นตัวกำหนดระบบการเมืองของประเทศนี้ และท่านผู้นำยังได้กล่าวถึงบรรดานักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ว่า “การต่อสู้กับระบอบรัฐเถื่อนอย่างชอบธรรมและมีศีลธรรมของตนนั้น จะต้องมีความต่อเนื่อ งเพื่อที่จะทำให้พวกเหล่านั้นยอมรับต่อข้อเรียกร้องนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ประเด็นปาเลสไตน์ เป็นปัญหาร่วมที่สำคัญมากที่สุดและดำรงอยู่ร่วมกันของประชาชาติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “นโยบายต่างๆของระบบทุนนิยมที่กดขี่และฉ้อฉล ได้ตัดมือของประชาชาติหนึ่งให้ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา และได้จัดตั้งระบอบการปกครองของผู้ก่อการร้ายโดยชาวต่างชาติในดินแดนนั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงตรรกะที่ไร้แก่นสารในการก่อตั้งระบอบไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกยุโรปได้ทำการกดขี่ข่มเหงต่อเหล่าชาวยิวในหลายปีของสงครามโลกครั้งที่สอง ตามคำกล่าวอ้างของพวกเขา แต่พวกเขากลับบอกว่า จะต้องล้างแค้นให้กับชาวยิวด้วยการทำให้ประชาชาติหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันตกนั้นเร่ร่อน พลัดถิ่น และกระทำการสังหารอย่างทารุณกรรมในประเทศนั้น ด้วยสภาพเช่นนี้ จะทำให้เกิดความผิดพลาดในข้ออ้างจอมปลอมที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและประชาชาธิปไตยของพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้เปลี่ยนปาเลสไตน์ให้กลายเป็นฐานของการก่อการร้าย นับตั้งแต่วันแรกมาแล้ว โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ อิสราเอล ไม่ใช่เป็นประเทศ แต่เป็นฐานของผู้ก่อการร้ายที่ต่อต้านประชาชาติปาเลสไตน์และประเทศชาติมุสลิมอื่นๆ ด้วยเหตุนี้เอง การต่อสู้กับระบอบการปกครองเถื่อนนี้ คือ การต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหงและการต่อสู้กับการก่อการร้าย ซึ่งนี่คือหน้าที่ของทุกๆคน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงเหตุการณ์ก่อนการก่อตั้งรัฐเถื่อนไซออนิสต์ หมายถึง การแทรกแซงของชาติตะวันตกในภูมิภาคตะวันออกกลาง และการทำให้รัฐบาลจอมเผด็จการและรัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมาสู่อำนาจ ถือว่า เป็นการแสดงถึงความอ่อนแอและความแตกแยกของประชาชาติอิสลามเพื่อปูทางไปสู่การยึดครองปาเลสไตน์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในช่วงเวลานั้น ทั้งสองฝ่ายทุนนิยมและลัทธิคอมมิวนิสต์ ได้ผนึกกำลังกันเป็นหนึ่งเดียวกับพวกกอรูน(นายทุน) ไซออนิสต์ โดยอังกฤษได้ทำการวางแผนสมคบคิด ซึ่งเหล่านายทุนไซออนิสต์รับผิดชอบในการดำเนินการตามแบบแผนด้วยการใช้เงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ และสหภาพโซเวียต ก็เป็นรัฐบาลแรกที่ออกมายอมรับในการจัดตั้งรัฐที่ไม่ชอบธรรมอย่างเป็นทางการและได้ทำการจัดส่งชาวยิวจำนวนมากไปยังที่นั่น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สถานการณ์โลกในวันนี้ และดุลอำนาจ เป็นคุณประโยชน์ต่อโลกอิสลาม โดยท่านผู้นำยังได้ชี้ให้ถึงเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เช่น การเลือกตั้งในสหรัฐ และความอื้อฉาวของเหล่าผู้บริหารที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวอ้างของตน การต่อสู้ที่ล้มเหลวของสหรัฐและยุโรปในการเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคไวรัสร้ายโคโรน่า รวมทั้งเหตุการณ์ที่สร้างความน่าอับอายให้กับพวกเขา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ทั้งหมดเหล่านี้ ได้แสดงให้ถึงเส้นทางขาลงและความเสื่อมถอยของค่ายชาติตะวันตก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า จุดที่ตรงกันข้ามกับความเสื่อมถอยของชาติตะวันตก คือ การเพิ่มขีดความสามารถที่มีความหวังให้กับประชาติอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “การเติบโตของขบวนการมุกอวิมัต (กองกำลังการยืนหยัดต้านทาน) ในภูมิภาคต่างๆ ที่อ่อนไหวที่สุดของอิสลาม การเติบโตของขีดความสามารถในการป้องกันและการรุกคืบของพวกเขา การขยายตัวของการตระหนักรู้ แรงจูงใจและความหวังในหมู่ประชาชาติมุสลิม การขยายตัวของคำขวัญต่างๆ แห่งอิสลาม การขยายตัวของความรู้ การเรียกร้องความเป็นอิสระเสรีภาพ และการพึ่งพาตนเองในประเทศต่างๆ ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการแจ้งข่าวดีถึงอนาคตที่ดีกว่า”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นการผนึกกำลังร่วมมือกันของประเทศชาติมุสลิมในประเด็นปัญหาปาเลสไตน์ และการกำหนดชะตากรรมของอัลกุดส์ อันทรงเกียรติ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การผนึกกำลังร่วมมือกันนี้ จะเป็นฝันร้ายให้กับศัตรูไซออนิสต์และบรรดาผู้สนับสนุนชาวสหรัฐและพวกยุโรป แผนการที่ล้มเหลวของข้อตกลงแห่งศตวรรษ และความพยายามที่จะกระชับความสัมพันธ์อย่างปกติระหว่างหลายรัฐบาลชาติอาหรับที่อ่อนแอกับระบอบการปกครองรัฐเถื่อน ซึ่งถือเป็นความพยายามที่ชั่วร้าย เพื่อที่จะหลีกหนีออกจากฝันร้ายดังกล่าว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ข้าพเจ้าจะขอกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า ความพยายามเหล่านี้นั้นจะไม่ประสบความสำเร็จ การเคลื่อนไหวในเส้นทางขาลงและการนำไปสู่การล่มสลายของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วและจะไม่หยุดลงอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนหยัดต่อสู้อย่างต่อเนื่องในดินแดนปาเลสไตน์และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเส้นทางในการต่อสู้และการเป็นชะฮีด (การพลีชีพ) และการสนับสนุนของรัฐบาลและประชาชาติมุสลิมทั่วโลกต่อบรรดานักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ เป็นสองปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดอนาคตของปาเลสไตน์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การขับเคลื่อนในระดับโลกนี้ จะทำให้แผนการร้ายของเหล่าศัตรูเป็นโมฆะ และบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ ปัญญาชนทั้งหลาย นักวิชาการ พรรคการเมืองและกลุ่มต่างๆ รวมทั้งบรรดาเยาวชน จะต้องรับรู้ถึงสถานะของตนในการขับเคลื่อนนี้ และจะต้องแสดงบทบาทของตนออกมาอีกด้วย”
ในอีกส่วนหนึ่ง ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวกับบรรดาเยาวชน ชาติอาหรับ เป็นภาษาอาหรับ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเทอดเกียรติและให้สลามแด่เสรีชนชาติอาหรับ โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนทั้งหลาย ประชาชนผู้ยืนหยัดชาวปาเลสไตน์และอัลกุดส์ บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องและดูแลมัสยิดอัลอักซอ และบรรดาชะฮีดมุกอวิมัต โดยเฉพาะ เชคอะห์หมัด ยาซีน ซัยยิดอับบาส มูซาวี ฟัตฮี ซิกอกี อิมาด อัลมุฆนียะฮ์ อับดุลอะซีซ รินตีซี อะบูมะฮ์ดี อัลมุฮันดิส และชะฮีดที่มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของบรรดาชะฮีดมุกอวิมัต คือ ชะฮีดกอซิม สุไลมานี
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การต่อสู้ของบรรดาชาวปาเลสไตน์และเลือดอันบริสุทธิ์ของบรรดาชะฮีด คือ ปัจจัยที่สำคัญในการชูธงชัยแห่งการยืนหยัดต้านทานและการสำแดงถึงอำนาจหลายร้อยเท่าของการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ โดยท่านกล่าวว่า “เยาวชนปาเลสไตน์ ซึ่งในวันหนึ่งได้ใช้ก้อนหินในการป้องกันตัวเอง แต่ในวันนี้ พวกเขาได้ตอบโต้ด้วยการใช้ขีปนาวุธ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า 70 ปี จากการยึดครอง การเหยียดสีผิวและชนชาติ การฆาตกรรม การปล้นสะดม การกักขัง และการทารุณกรรมต่อมนุษย์ที่มีเกียรตินั้น ไม่อาจสามารถทำให้บ่อนทำลายเจตจำนงค์ของชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายได้ โดยท่านกล่าวว่า “ปาเลสไตน์ ยังคงดำรงอยู่และมีชีวิต และการต่อสู้นั้นก็ยังคงดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง อัลกุดส์ อันทรงเกียรติและดินแดนปาเลสไตน์ทั้งหมดนั้น จะต้องกลับคืนสู่ชาวปาเลสไตน์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า รัฐบาลทั้งหลายและประชาชาติอิสลาม มีหน้าที่รับผิดชอบในประเด็นปาเลสไตน์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “โดยที่จริง แกนของการต่อสู้ คือ ชาวปาเลสไตน์ ซึ่งในปัจจุบันนี้ มีจำนวนประชากร ประมาณ 40 ล้านคน ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ความเป็นเอกภาพและความมุ่งมั่นของพวกเขานั้น สามารถทำให้เกิดภารกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำถึงยุทธศาสตร์ในความร่วมมือกันของชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดในฉนวนกาซ่า อัลกุดส์(เยรูซาเล็ม) เขตเวสแบงก์ ดินแดนที่ถูกยึดครองในปี 1948 และในค่ายผู้พลัดถิ่น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด จะต้องรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวและจะต้องปกป้องซึ่งกันและกันในขณะที่พวกเขากำลังถูกกดดัน ด้วยการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆของพวกเขาที่มีอยู่”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงตัวอย่างที่มีความหวังจากการเปลี่ยนดุลอำนาจให้เป็นคุณประโยชน์ต่อชาวปาเลสไตน์ และความอ่อนแอจากทุกด้านของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “กองทัพไซออนิสต์ ที่เรียกตัวเองว่า เป็นกองทัพที่ไม่วันพ่ายแพ้ แต่ปัจจุบันนี้ กองทัพของตนได้กลายเป็นกองทัพที่จะไม่เห็นสีสันแห่งชัยชนะ ทั้งยังมีการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จากการเลือกตั้งถึง 4 ครั้งด้วยกัน ในสถานการณ์ความมั่นคง ก็พบกับความล้มเหลวมาอย่างต่อเนื่อง และความปรารถนาที่เพิ่มขึ้นของชาวยิวในการอพยพ เป็นสิ่งที่อัปยศอดสูของรัฐที่เต็มไปกับข้ออ้างต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความพยายามของรัฐเถื่อนด้วยการช่วยเหลือของสหรัฐ สำหรับการกระชับความสัมพันธ์อย่างปกติกับหลายประเทศที่อ่อนแอและต่ำต้อย แสดงถึงความอ่อนแอของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความสัมพันธ์เหล่านี้ ไม่ได้ช่วยเหลือรัฐเถื่อนไซออนิสต์เลย เหมือนดั่งเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา ที่พวกเหล่านี้ได้กระชับความสัมพันธ์กับอียิปต์มาแล้ว ซึ่งได้ทำให้รัฐเถื่อนนี้อ่อนแอลงอย่างมากและได้รับผลกระทบอย่างมากที่สุด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ประเทศเหล่านี้นั้นไม่ได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ เพราะว่า ศัตรูไซออนิสต์ ได้ทำการยึดทรัพย์สินและแผ่นดิน ทั้งยังมีการแพร่กระจายความเสียหายและสร้างความไม่มั่นคงให้กับพวกเหล่านั้นอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “บรรดานักวิชาการชาวมุสลิม และชาวคริสต์ จะต้องประกาศว่า การกระชับความสัมพันธ์อย่างปกติกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์นั้น เป็นสิ่งที่ต้องห้ามตามหลักศาสนบัญญัติ ทั้งบรรดานักปัญญาชนและเสรีชน ก็จะต้องทำการอธิบายให้ทุกคนได้รับรู้ถึงผลลัพท์ของการทรยศ ซึ่งถือเป็นการใช้มีดกริชทิ่มแทงข้างหลังชาวปาเลสไตน์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า จุดที่ตรงข้ามกับความเสื่อมถอยและขาลงของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ คือ การเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถของฝ่ายขบวนการมุกอวิมัต (กองกำลังการยืนหยัดต้านทาน) โดยท่านกล่าวว่า “การเพิ่มอำนาจในการป้องกัน ทางทหาร ความพอเพียงในการผลิตอาวุธที่มีประสิทธิภาพ ความเชื่อมั่นในตนเองของบรรดานักต่อสู้ การตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นของเยาวชน การขยายวงกว้างของการยืนหยัดต้านทานไปทั่วประเทศปาเลสไตน์และนอกประเทศ การลุกฮือของเยาวชนในการปกป้องมัสยิดอัลอักซอ และภาพสะท้อนของการต่อสู้ที่พร้อมกับการถูกกดขี่ของประชาชาติปาเลสไตน์ ในความคิดของสาธารณชนในทุกๆส่วนทั่วโลก ทั้งหมดนี้ เป็นการแจ้งข่าวดีต่ออนาคตที่สดใส”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ตรรกะของนักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ หมายถึง การลงประชามติของผู้อาศัยหลักในปาเลสไตน์ จะเป็นตัวกำหนดระบบการเมืองของประเทศ เป็นตรรกะที่สูงสุดอย่างยิ่ง โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ตามพื้นฐานของตรรกะนี้ ซึ่งได้มีการบันทึกเอกสารของสหประชาชาติโดยสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน กลุ่มขบวนการต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ สามารถจัดให้มีการลงประชามติ โดยการเข้าร่วมของผู้อาศัยหลักในปาเลสไตน์ จากทุกชาติพันธุ์และศาสนา รวมทั้ง ผู้พลัดถิ่นชาวปาเลสไตน์ ซึ่งผลของการลงประชามติ จะเป็นตัวกำหนดระบบการเมืองของประเทศ ซึ่งระบบการเมืองนั้นจะส่งผลให้บรรดาผู้พลัดถิ่นได้กลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา และจะยังสามารถที่จะกำหนดชะตากรรมของพวกต่างชาติที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้อีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นอีกว่า ข้อเรียกร้องเหล่านี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักประชาธิปไตยที่แพร่หลาย ซึ่งไม่สามารถบ่อนทำลายได้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บรรดานักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ จะต้องดำเนินการต่อสู้อย่างชอบธรรม และมีศีลธรรมกับรัฐเถื่อนไซออนิสต์อย่างต่อเนื่อง จนกว่า พวกเหล่านั้น จะยอมรับข้อเรียกร้องดังกล่าว”