สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวปราศรัยเนื่องในวันอีดมับอัษ

“สหรัฐจะต้องออกไปจากอิรักและซีเรียโดยเร็วที่สุด”

ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปราศรัยผ่านการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ เนื่องในวันอีดมับอัษ(วันแห่งการแต่งตั้งท่านศาสดามุฮัมมัดเป็นศาสดาอย่างเป็นทางการ) โดยท่านผู้นำถือว่า การปกครองแห่งพระเจ้า การเจริญเติบโตของมนุษย์ การดำรงความยุติธรรม และการทำให้มีชีวิตที่ดี เหล่านี้คือ เป้าหมายอันเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเชิงตรรกะในการสร้างระบบการเมืองเพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติอิสลามได้ฟื้นฟูเส้นทางของการบิอ์ษัต(การแต่งตั้ง)ท่านศาสดาผู้ทรงเกียรติ ด้วยนวัตกรรมและความกล้าหาญของท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่และด้วยเหตุนี้เอง การปฏิวัตินี้ จึงตกเป็นปรปักษ์อย่างต่อเนื่องกับบรรดาผู้ชั่วร้ายของโลก ซึ่งจากการมีบะศีเราะฮ์(ความเข้าใจถ่องแท้)และการยืนหยัดในแนวทางที่เที่ยงตรง ก็สามารถที่จะเอาชนะเหนือความเป็นศัตรูเหล่านี้ไปได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันอีดมับอัษ อันยิ่งใหญ่นี้ โดยท่านกล่าวว่า “ในการแต่งตั้งบรรดาศาสดาทั้งหมดนั้น มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ซึ่งแกนหลักของมัน ก็คือ หลักเตาฮีด (ความเป็นเอกะของพระเจ้า) หลังจากนั้น คือ การขัดเกลาจิตวิญญาณ และการอบรมสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลาย การดำรงความยุติธรรมและการทำให้มีชีวิตที่ดี ซึ่งหมายถึง การเจริญเติบโตและความเฟื่องฟูทางสติปัญญาและศาสตร์ความรู้ ความสงบสุขทางจิตวิญญาณ ความสะดวกสบายทางวัตถุ ความมั่นคงของสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่และความสุข และสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ก็คือ ความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณของมนุษย์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายของบิอ์ษัตนั้นไม่ได้บรรลุด้วยกับการแสดงออกเพียงอย่างเดียว โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บรรดาศาสดาทั้งหลาย จะต้องสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมสำหรับภารกิจที่สำคัญอย่างมากนี้ ซึ่งแน่นอนว่าภารกิจนี้ ก็จะต้องใช้อำนาจและระบบทางการเมืองด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ยกหลักฐานจากหลายโองการของอัลกุรอาน โดยถือว่า เป้าหมายของบรรดาศาสดาในการสร้างระบบทางการเมือง คือ การปกครองจากพระคัมภีร์ของพระเจ้าและกฎหมายของพระองค์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การจัดตั้งการปกครองนั้นต้องการที่จะต้องมีผู้นำ การบริหารจัดการ และผู้ปกครอง ซึ่งถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่หนักหน่วงอย่างมากต่อท่านศาสดา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ในมุมมองของหลักเตาฮีดได้กำหนดไว้ว่า  ศาสนาเป็นแบบแผนที่ครอบคลุมถึงชีวิตมนุษย์ในทุกมิติ ทั้งทางปัจเจกบุคคล ทางสังคมและทางการเมือง และด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงได้กล่าวไว้ว่า เหล่าผู้ชั่วร้ายของโลก ผู้สร้างความเสียหาย ผู้อหังการ ผู้ล่าอาณานิคมและผู้ปล้นสะดม ได้ทำการต่อต้านกับระบบความยุติธรรมจากพระเจ้าและมีการกดขี่ข่มเหงในทุกยุคทุกสมัยทางประวัติศาสตร์มาโดยตลอด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นปรปักษ์ของเหล่าผู้ฉ้อฉลของโลกที่มีต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ ในวันนี้ รัฐอิสลามซึ่งจากการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายมหาอำนาจ ผู้อหังการ เรียกว่า เป็นระบบอิสลามทางการเมือง ได้ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีและแผนการสมรู้ร่วมคิด เพราะว่า รัฐอิสลามนั้นสามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการปกครองแห่งพระเจ้า ทั้งยังได้ทำให้ประชาชาติที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติยิ่งของอิหร่านนี้มีอัตลักษณ์ทางศาสนาและเป็นอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า อย่าได้ให้คำจำกัดความของศาสนาที่บัญญัติในอัลกุรอาน เป็นเพียงการกระทำอะมั้ลภาคอิบาดัต (การเคารพภักดีต่อพระเจ้า) และเป็นประเด็นส่วนปัจเจกบุคคล โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การบิอ์ษัตของท่านศาสดานั้นได้สร้างคลื่นแห่งการตื่นตัว การขับเคลื่อนและความพยายามต่างๆให้เกิดขึ้นในสังคมอิสลาม ดังคำกล่าวของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อะลี (อ.) ที่ว่า ท่านศาสดาองค์สุดท้ายนั้นมียารักษาโรคสำหรับทุกความเจ็บปวดและทุกโรคร้าย ทางปัจเจกบุคคลและทางสังคม ซึ่งในวิถีทางนี้ ไม่ว่าในที่ใดก็ตามที่มีความจำเป็นก็จะใช้ข้อจำกัดและการลงโทษของอิสลามด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวในการปราศรัยของท่านด้วยว่า การปฏิวัติอิสลามนั้นได้ฟื้นฟูความหมายของการบิอ์ษัตในยุคร่วมสมัย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกับการมีนวัตกรรม ความกล้าหาญ การมองการณ์ไกล  และการเสียสละ สามารถที่จะทำให้เส้นทางของการบิอ์ษัตของท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรตินั้นมีคุณค่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังได้แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ในมิติต่างๆ ทั้งทางด้านการเมืองและสังคมของอิสลามอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงการปฏิวัติอิสลาม ด้วยการปฏิบัติตามบิอ์ษัตของท่านศาสดา ได้เผชิญหน้ากับการฉ้อฉล เหล่าทรราช ผู้อหังการ ทั้งยังได้ร่วมอยู่กับบรรดาผู้ถูกกดขี่ทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ด้วยการจัดตั้งรัฐอิสลาม ได้เกิดเหตุการณ์และสถานการณ์เช่นเดียวกันกับที่ได้เกิดขึ้นกับบรรดาศาสดา จนทำให้เหล่าผู้ชั่วร้าย ผู้อหังการของโลกได้ออกมาต่อกรกับประชาชาติอิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการบิดเบือนและการโกหกหลอกลวงของฝ่ายมหาอำนาจ ผู้อหังการ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกเขาได้พูดจาโกหกผ่านการโฆษณาชวนเชื่อของพวกตนว่า สาธารณรัฐอิสลามนั้นมีความขัดแย้งและทำการต่อต้านกับประชาคมโลก ในขณะที่รัฐอิสลาม ตามการเน้นย้ำจากอัลกุรอานที่ว่า จะทำการต่อต้านและต่อสู้กับกลุ่มชนที่แสดงถึงความเป็นศัตรูกับประชาชาติอิหร่านเพียงเท่านั้น  ส่วนประชาชาติอื่นๆและประเทศทั้งหลาย ไม่ว่าจะมาจากศาสนาใดหรือเชื้อชาติใดก็ตาม ก็จะแสดงความสัมพันธ์ทางมิตรภาพกับพวกเขาเหล่านั้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้อีกถึงความเป็นศัตรูอย่างต่อเนื่องกับรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “สำหรับการเผชิญหน้ากับศัตรูนั้นจำเป็นที่จะต้องมีสององค์ประกอบที่สำคัญ กล่าวคือ การมีบะซีเราะฮ์(ความเข้าใจถ่องแท้) ความอดทนและการยืนหยัด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมว่า “การมีบะซีเราะฮ์นั้นหมายถึง การที่มนุษย์มีความเข้าใจในวิถีทางที่ถูกต้อง และจะไม่ประสบกับความผิดพลาดเป็นอันขาด ส่วนความอดทนนั้นก็หมายถึง การยืนหยัดและการยึดมั่นในแนวทางที่เที่ยงตรงด้วยเช่นกัน ซึ่งหากว่ามีสององค์ประกอบนี้ ศัตรูนั้นก็ไม่สามารถที่จะบรรลุยังเป้าหมายของเขาได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความจำเป็นในการรักษาสองลักษณะที่สำคัญนี้ คือ การตักเตือนซึ่งกันและกันในสังคม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หากว่ามีห่วงโซ่ในการตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยกับความอดทนและสัจธรรมในระหว่างประชาชนทั้งหลาย ก็จะไม่มีความรู้สึกในการสิ้นหวัง ความโดดเดี่ยวเดียวดาย และความอ่อนแอทางเจตจำนงในสังคม ทั้งยังมีความกล้าหาญในการดำเนินการอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำถึงหนึ่งในเป้าหมายหลักของศัตรูในสงครามทางจิตวิทยา คือ การทำลายห่วงโซ่แห่งการตักเตือนซึ่งกันและกัน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การตัดขาดกระแสของการตักเตือนซึ่งกันและกันนั้นถือเป็นอันตรายอย่างมาก และบรรดาเยาวชนในฐานะเป็นทหารของสงครามจิตวิทยานั้น ไม่ควรปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า  “ในสงครามทางจิตวิทยา บรรดาเยาวชนควรใช้โอกาสในโลกสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างความหวังให้เกิดขึ้นในสังคม” และท่านผู้นำยังได้แนะนำให้พวกเขายืนหยัดและมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การแสดงออกถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ของศัตรูในสงครามทางจิตวิทยา และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงตัวอย่างของการโกหกหลอกลวง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชนชาวเยเมน ผู้ที่ถูกกดขี่ ได้ตกระกำลำบากใน 6ปีแล้วที่พวกรัฐบาลซาอุดี้ ผู้ที่มีใจหยาบกระด้างและผู้ฉ้อฉล ได้ทิ้งระเบิดและการปิดล้อมทางเศรษฐกิจ อาหารและยารักษาโรค ด้วยกับการได้รับไฟเขียวของรัฐบาลสหรัฐฯ และยังไม่มีการคัดค้านในเวทีระหว่างประเทศและรัฐบาลตะวันตกเลย แต่ขณะนี้ ประชาชนชาวเยเมนที่เต็มไปด้วยขีดความสามารถในการผลิตหรือจัดเตรียมอาวุธยุทธ์โธปกรณ์เพื่อป้องกันและตอบโต้การโจมตีของศัตรู ก็มีเสียงออกมาคัดค้านและการตำหนิต่างๆนานา แม้กระทั่งองค์การสหประชาชาติเองก็ตาม ซึ่งการกระทำของสหประชาชาตินั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการกระทำของพวกสหรัฐเสียอีก”

การครอบครองคลังแสงนิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดและการสังหารหมู่ประชาชนประมาณ 220,000 คนด้วยระเบิดปรมาณู ขณะที่อ้างว่าเป็นการต่อต้านอาวุธทำลายล้างสูง การสนับสนุนรัฐบาลซาอุดิอาระเบียซึ่งได้ฆ่าหั่นศพผู้ที่ต่อต้านตนด้วยกับการเลื่อยหั่นศพออกเป็นชิ้นๆ และในขณะเดียวกันก็อ้างว่าเป็นการสนับสนุนต่อสิทธิมนุษยชน ทั้งการสร้างและการสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้าย เช่น กลุ่มไอซิส และการจัดหาทุนการเงินและสิ่งอำนวยความสะดวกทางด้านสื่อสมัยใหม่ และการจัดเตรียมในการขายน้ำมันของซีเรียโดยพวกเขาเหล่านั้น ในขณะที่อ้างว่าเป็นการต่อสู้กับการก่อการร้าย ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการปลิ้นปล้อนหลอกลวงของรัฐบาลสหรัฐฯที่ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึง

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงความเกลียดชังและความโกรธแค้นของพวกสหรัฐในการปรากฏตัวของอิหร่านในภูมิภาคนี้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “สาธารณรัฐอิสลามได้เข้ามาในทุกที่ ในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นในซีเรีย หรือในอิรัก เพื่อปกป้องรัฐบาลที่ชอบธรรมของประเทศนั้นๆและตามคำร้องขอและความยินยอมของรัฐบาลนั้น ในฐานะที่ปรึกษา  ในขณะที่สหรัฐได้บุกเข้ามายังอิรักและซีเรียอย่างฉ้อฉล ทั้งยังสร้างฐานทัพทหารในที่นั้นอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “แน่นอนว่า สหรัฐฯนั้นจะต้องออกไปจากอิรัก เพราะว่า นี่คือเจตจำนงและกฎหมายของชาวอิรัก และพวกเขาจะต้องออกไปจากซีเรียโดยเร็วที่สุดอีกด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หน้าที่ของทุกคนในการตอบแทนความซื่อสัตย์อันล้ำค่าของการปฏิวัติอิสลาม คือ การตักเตือนซึ่งกันและกันด้วยกับสัจธรรมและการมีขันติธรรม การรู้จักศัตรู และการยืนหยัดและการไม่ยอมจำนนในการเผชิญหน้ากัน ทั้งการไม่ไว้วางใจต่อพวกเขา 

และในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ศูนย์การแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขได้พยายามในการต่อสู้กับภัยพิบัติจากการแพร่ระบาดของโรคโคโรน่า มากว่า 1 ปีแล้ว โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “จำเป็นอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าและประชาชนทั้งหลายนั้นต่างต้องขอกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจต่อบรรดาบุคคลเหล่านี้และพวกเราก็จะขอพรจากพระเจ้าให้กับพวกเขาด้วย

700 /