ประธานและบรรดาสมาชิกสภาผู้ชำนาญการ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า ระบบความหมายทางศาสนา คือ ซอฟต์แวร์(ชุดคำสั่ง) ของโครงสร้างที่สำคัญอันทรงคุณค่าของรัฐอิสลาม และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงความจำเป็นที่จะต้องอัพเดทระบบซอฟต์แวร์นี้ ด้วยกับความเหมาะสมกับชื่อโดเมนของกิจกรรมต่างๆของรัฐอิสลาม ซึ่งมีความท้าทายใหม่ ๆเกิดขึ้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หนึ่งในหน้าที่ๆสำคัญสำหรับนักวิชาการทั้งหลายและบรรดานักคิด คือ การเสริมสร้างพื้นฐานทางความคิดของรัฐอิสลาม เพื่อที่จะนำเอามโนคติทางศาสนา ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สังคมนั้นมีความต้องการไปสู่ภาคปฏิบัติ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า วรรณกรรมล่าสุดของสหรัฐอเมริกาและทั้งสามประเทศชาติยุโรปในกรณีอิหร่าน เป็นวรรณกรรมของการเป็นมหาอำนาจ จอมอหังการ และการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าหนี้ อีกทั้งเป็นสิ่งที่ไม่มีความยุติธรรมอีกด้วย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ผลลัพท์ของวรรณกรรมนี้ รังแต่จะทำให้ประชาชาติอิหร่านนั้นเกลียดชังพวกเขามากขึ้นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน สาธารณรัฐอิสลามนั้น ก็จะไม่ยอมถอยออกจากจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนิวเคลียร์เป็นอันขาด และจะดำเนินการตามความเหมาะสมและความต้องการของประเทศที่อาจจะเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมให้มีความบริสุทธิ์สูงถึง 60% หากว่ามีความจำเป็น”
ในช่วงแรกของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันแห่งการประสูติของท่านอิมามมุฮัมมัด ญะวาด และท่านอิมามอะลี อะมีรุลมุอ์มินีน (อ.) รวมทั้งการกล่าวเทอดเกียรติให้บรรดาสมาชิกผู้ชำนาญการที่ได้เสียชีวิต ซึ่งถือเป็นหนึ่งในความต้องการที่สำคัญของสังคมอิสลาม ในการนำเอาความหมายทางศาสนามาสู่การปฏิบัติ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เมื่อใดก็ตาม ที่ความหมายเหล่านี้ถูกนำมาปฏิบัติ ก็จะทำให้ประชาชาติและสาธารณรัฐอิสลามนั้นมีคุณค่าสูงส่ง และเมื่อใดก็ตามที่เราได้เพิกเฉย ก็ถือว่าเรานั้นหมดโอกาส”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง (ร.ฎ) ได้เข้าร่วมในทุกเหตุการณ์และได้กล่าวอธิบายในความหมายที่สำคัญต่างๆ เช่น การตะวักกุล(การมอบหมายการงานต่อพระเจ้า) การเสียสละ การต่อสู้ การญิฮาด และการเป็นชะฮีด (การพลีชีพ) ซึ่งท่านอิมามได้ทำให้สิ่งเหล่านี้ประจักษ์ในสังคมและการใช้ชีวิตของประชาชน ซึ่งผลที่ได้รับก็คือ การมีชัยชนะของประชาชาติอิหร่านในสงครามระหว่างประเทศในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์แปดปี”
การจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวอิสลาม ทฤษฎีการนำเสนอโครงสร้างของระบบรัฐอิสลามและการขยายตัวของศาสนาไปสู่สังคมและการบริหารจัดการประเทศ โดยท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฎ.) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “อีกตัวอย่างหนึ่งในประเด็นนี้ ก็คือ การนำเอาความหมายของคำว่า ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มาสู่การปฏิบัติโดยประชาชน บรรดาเยาวชน และหน่วยงานภาครัฐ องค์กรการปฏิวัติ และได้ก่อตัวเป็นขบวนการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ในการช่วยเหลืออย่างศรัทธามั่นในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า ซึ่งยังทำให้ปัญหาต่างๆมากมายได้รับการแก้ไข”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การอัพเดทซอฟร์แวร์ของรัฐอิสลาม เป็นหน้าที่ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แน่นอนว่า การอัพเดทนี้ มิได้หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความหมายทางศาสนา แต่ทว่าหมายถึง การค้นพบความจริงที่เหมาะสมกับความต้องการในประเทศและระหว่างประเทศของรัฐอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า มีตัวอย่างอีกมากมายที่เหมาะสมกับประเด็นปัญหาในแต่ละวัน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่รัฐอิสลามได้ประสบปัญหาในการสร้างความกดดันจากศัตรู โดยมีการตั้งเงื่อนไขหลายประการที่จะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งหากรัฐอิสลามได้กระทำจะเป็นเหตุให้เกิดการหันเหและความพินาศ ฉะนั้นรัฐอิสลามจะต้องทำอย่างไร?”
ในคำตอบของคำถามนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “ ในสถานการณ์เช่นนี้ จะต้องทำให้ความหมายทางศาสนาของคำว่า การยืนหยัด และความอดทน กลายเป็นการขับเคลื่อนร่วมกันในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหา ซึ่งบางส่วนนั้นเกิดจากแรงกดดันของศัตรู”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การนำเสนอความหมาย เช่น การตะวักกุล (การมอบหมายการงานต่อพระเจ้า) และการเชื่อมั่นต่อพันธสัญญาของพระองค์เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูหรือการอธิบายในประเด็นที่ว่า พระเจ้าจะทรงตอบสนองอย่างรุนแรงต่อการเพิกเฉยและการไม่ใส่ใจของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย นี่คือ อีกตัวอย่างหนึ่งที่สังคมมีความต้องการ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การโภชนาการของผลลัพท์ทางความคิดของรัฐและการอัพเดทซอฟต์แวร์(ชุดคำสั่ง) ของมัน คือ ภารกิจความรับผิดชอบของบรรดานักคิด ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งพวกเขาจะต้องออกห่างจากการหยุดนิ่งทางความคิด และการทำให้มันเป็นก้อนหิน รวมทั้งความคิดที่ผสมผสานกัน”
ในช่วงที่สองของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้ชี้ถึงประเด็นปัญหานิวเคลียร์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงกฎหมายที่ผ่านโดยรัฐสภาเกี่ยวกับกรณีการลดคำมั่นสัญญาในข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “รัฐสภาได้อนุมัติกฎหมายและรัฐบาลก็ยอมรับ และจนกระทั่ง เมื่อวานนี้ พวกเขาได้กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ และหากพระเจ้าทรงประสงค์ ในวันพรุ่งนี้ อีกกฎหมายหนึ่งก็จะได้รับการอนุมัติด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความแตกต่างในการรับรู้ของรัฐสภาเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลเขา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความแตกต่างเหล่านี้สามารถที่จะแก้ไขได้ และทั้งสองฝ่ายจะต้องแก้ไขปัญหาด้วยความร่วมมือซึ่งกันและกัน และไม่ควรละทิ้งความแตกต่างหรือสร้างความรุนแรงให้ขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นสองเสียงและสองทัศนคติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “ รัฐบาลจะต้องคิดว่าตัวเองนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎหมายนี้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ดี จะต้องมีการปฏิบัติตามอย่างระมัดระวัง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า วรรณกรรมของพวกสหรัฐและสามประเทศชาติยุโรป ที่มีต่อการลดพันธกรณีในข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน เป็นการแสดงถึงความเป็นมหาอำนาจ จอมอหังการ ความไม่ยุติธรรม และเป็นวรรณกรรมที่ไม่ถูกต้อง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นับตั้งแต่วันแรก จนถึงระยะยาวนานมาแล้วสาธารณรัฐอิสลาม ได้ปฏิบัติต่อพันธกรณีของตน ตามคำสั่งของอิสลาม แต่ฝ่ายตรงข้าม นับตั้งแต่วันแรก พวกเขานั้นไม่เคยปฏิบัติต่อพันธกรณีของพวกเขาเลย นั่นก็คือ ทั้งสี่ประเทศนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจะต้องถูกตำหนิและต้องรับผิดชอบอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เมื่อสหรัฐได้ประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ และเหล่าพันธมิตรของเขาก็ร่วมด้วย ซึ่งอัลกุรอานได้รับสั่งว่า เจ้าก็จงออกจากข้อตกลงดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลกลับไม่ยอมถอนตัวออกจากข้อตกลงนั้น แต่กลับมีการลดพันธกรณีของข้อตกลง ซึ่งในกรณีเหล่านี้หากว่ามีการปฏิบัติก็สามารถที่จะกลับเข้าสู่ข้อตกลงดังกล่าวได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผลลัพท์ของวรรณกรรมของมหาอำนาจ จอมอหังการ คือ การเพิ่มความเกลียดชังของชาวอิหร่านที่มีต่อพวกชาติตะวันตก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ขณะเดียวกัน ตัวตลกไซออนิสต์สากล (เนทันยาฮู) กล่าวมาโดยตลอดว่า เราจะไม่ยอมให้อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ในขณะที่เขาควรที่จะรู้ว่า หากสาธารณรัฐอิสลามตัดสินใจที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์แล้วละก็ เขาและผู้อาวุโสของเขา ก็จะไม่สามารถที่จะขัดขวางได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า "สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้สาธารณรัฐอิสลามผลิตอาวุธนิวเคลียร์ คือ ความคิดและพื้นฐานของอิสลาม ซึ่งได้ต้องห้ามการผลิตอาวุธทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาวุธนิวเคลียร์หรืออาวุธเคมีที่จะเป็นเหตุให้มีการสังหารหมู่ประชาชนทั่วไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงการสังหารหมู่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ 220,000 คนในการทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ รวมทั้งการปิดล้อมประชาชนที่ถูกกดขี่ในเยเมน ทั้งการทิ้งระเบิดเข้าใส่ตลาด โรงพยาบาลและโรงเรียนโดยเครื่องบินรบที่ผลิตโดยชาติตะวันตก โดยท่านผู้นำกล่าวว่าเขา “การสังหารพลเรือนและประชาชนผู้บริสุทธิ์ ถือเป็นวิธีการของพวกสหรัฐและชาติตะวันตก ขณะที่สาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่ยอมรับวิธีการนี้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงจะไม่คิดถึงเรื่องอาวุธนิวเคลียร์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเน้นย้ำว่า “แต่เรานั้นมุ่งมั่นที่จะได้รับขีดความสามารถทางด้านนิวเคลียร์ที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ดังนั้น การเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านจะถูกจำกัดเอาไว้ที่ 20% และเราจะเพิ่มขึ้นตามความจำเป็นและความต้องการของประเทศ เช่น แรงขับนิวเคลียร์หรืองานอื่นๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะถึงระดับ 60%”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า มีการบรรลุข้อตกลงในหลายปีที่ผ่านมา หากพวกเขาได้ปฏิบัติมัน เราก็ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นด้วยเช่นกัน แต่พวกชาติตะวันตกต่างก็ทราบดีว่า เราไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์แต่อย่างใด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ ปัญหาอาวุธนิวเคลียร์เป็นข้ออ้างของพวกเขา แม้แต่พวกเขายังไม่เห็นด้วยกับการได้มาซึ่งอาวุธธรรมดาของพวกเราเลย เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาส่วนประกอบของอำนาจจากอิหร่านไปครอบครอง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ความจริงของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ ด้วยการจัดหาพลังงานที่ดีต่อสุขภาพ ความสะอาด และราคาที่ถูกกว่า ซึ่งถือว่าเป็นความต้องการของประเทศในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ การเสริมสมรรถนะนั้นไม่สามารถที่ดำเนินการในวันนั้นได้ แต่จะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับความต้องการ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “พวกชาติตะวันตกนั้น ต้องการที่จะเห็นในวันที่อิหร่านมีความต้องการพลังงานนิวเคลียร์ โดยที่จะต้องการพวกเขา และพวกเขาจะให้การช่วยเหลือด้วยกับการบีบบังคับ และการฉ้อฉลต่างนานา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำอีกว่า “สาธารณรัฐอิสลามนั้น จะไม่ยอมถอยออกจากปัญหานิวเคลียร์ เหมือนกับประเด็นอื่นๆ และจะก้าวไปข้างหน้าด้วยกับความเข้มแข็งในเส้นทางที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศทั้งในวันนี้และในวันพรุ่งนี้”
ก่อนการกล่าวปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุด การปฏิวัติอิสลาม ท่านอยาตุลลอฮ์ ญันนะตี ประธานสภาผู้ชำนาญการและท่านฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน ราอิซี รองประธานสภาผู้ชำนาญการ ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการประชุมสภาผู้ชำนาญการและประเด็นต่างๆ ตลอดจนรายละเอียดในการแก้ไขข้อบังคับในการเลือกตั้งสภาผู้ชำนาญการอีกด้วย