ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวปราศรัยเนื่องในวโรกาสครบรอบปีแห่งการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองทาบริซ (Tabriz) เมื่อวันที่ 29 เดือนบะฮ์มัน 1356 (18 กุมภาพันธ์ คศ.1978) ในการพบปะกับประชาชนชาวแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออกและชาวเมืองทาบริซ โดยผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์(การประชุมทางไกลด้วยภาพและเสียง) ซึ่งจัดขึ้น ณ มุศ็อลลา อิมามโคมัยนี เมืองทาบริซ โดยท่านผู้นำถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองทาบริซ เป็นการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์และไม่อาจที่จะลืมเลือนได้ ซึ่งถือเป็นอีกมุมหนึ่งของความภาคภูมิใจที่มีต่อประชาชนในภูมิภาคนี้อย่างมากมาย และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นว่า เหล่าศัตรูจอมอหังการ มหาอำนาจ ผู้ครอบงำ ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับประชาชาติอิหร่านมาอย่างต่อเนื่องด้วยกับระบอบของการครอบงำ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติอิสลามนั้นมีผลผลิตอันยิ่งใหญ่อย่างมากมายที่พวกเราจะต้องใช้ประโยชน์จากมันในการกำจัดจุดอ่อน และสิ่งที่ไม่เป็นที่ยอมรับ อาทิเช่น ปัญหาค่าครองชีพ และความเหลื่อมล้ำทางสังคม เป็นต้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมอย่างมากมายของประชาชนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีหน้า และในอันดับต่อมา คือ การเลือกตั้งอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะเป็นการหลักประกันต่ออนาคตของประเทศ และในกรณีข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ครั้งนี้ สาธารณรัฐอิสลามจะไม่ยอมรับคำมั่นสัญญาและคำพูดอีกเป็นอันขาด แต่มาตรฐานก็คือ การกระทำของฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การสร้างชนชั้นนำทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะศาสตร์และรัฐศาสตร์การเมือง การปลูกฝังจิตวิญญาณในการพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศ คือ สองคุณลักษณะพิเศษของชาวเมืองอาเซอร์ไบจาน โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “อาเซอร์ไบจานนั้น เป็นดั่งป้อมปราการที่มั่นคงของอิหร่านมาโดยตลอด ในการเผชิญหน้ากับการโจมตีของพวกต่างชาติ และหากว่าไม่มีการยืนหยัดและการเสียสละของชาวเมืองนี้แล้วก็ เหล่าศัตรูก็จะทำการละเมิดในเมืองต่างๆอย่างแน่นอน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความผูกพันธ์อย่างลึกซึ้งต่ออิสลาม และการรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติยศอย่างมากของชาวอิหร่าน คือ สองลักษณะพิเศษอันเป็นอัตลักษณ์ที่สำคัญของชาวแคว้นอาเซอร์ไบจานโดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประชาชนในภูมิภาคนี้ได้แสดงบทบาทที่โดดเด่นในทุกประเด็นของปัญหาของประเทศในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ดั่งเช่น ท่านมีรซา ญะวาด ออกอ มุจญ์ตะฮิด ทาบรีซี ในประเด็นของการคว่ำบาตรยาสูบ ท่านซัตตารคาน และท่านบากิรคาน ในประเด็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ท่านเชคมุฮัมมัด คิยาบานี ท่านชะฮีดอยาตุลลอฮ์ กอฎี ฏอบาฎอบาอี และท่านอยาตุลลอฮ์ มะดะนี ในยุคแห่งการปฏิวัติอิสลาม และท่านชะฮีดบากิรี ในยุคสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวสรุปในส่วนนี้ของการปราศรัยของท่าน โดยท่านกล่าวว่า “หากไม่มีการรายงานที่ถูกต้องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาเซอร์ไบจาน ไม่ว่า การรายงานใดก็ตามที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอิหร่านก็จะไม่มีความสมบูรณ์และไม่ถูกต้อง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงมิติต่างๆของการลุกขึ้นต่อสู้ทางประวัติศาสตร์ของชาวเมืองทาบริซ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1978 ( 29 เดือนบะฮ์มัน ตามปฏิทินอิหร่าน) ที่ปรากฏในสาส์นของท่านอิมามโคมัยนี หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า
“ท่านอิมามโคมัยนี ผู้ทรงเกียรติ ถือว่า ชาวเมืองทาบริซ มีลักษณะพิเศษที่สำคัญอยู่สามประการ กล่าวคือ ความกล้าหาญ การรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติยศ และความเคร่งครัดต่อศาสนา ซึ่งคุณลักษณะทั้งสามประการนี้คือ ลักษณะอันพิเศษในการประเมินผลและการทำให้มนุษย์นั้นมีคุณค่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ประเด็นที่สำคัญก็คือ ประชาชนชาวเมืองทาบริซ ได้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของระบอบการปกครองชาห์ ปาห์ลาวี ในการปราบปรามการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองกุม เมื่อวันที่ 9 มกราคม(19 เดือนเดย์) แต่ด้วยกับคุณลักษณะที่ท่านอิมามโคมัยนีได้กล่าวไว้ เมื่อถึงสี่สิบวัน หลังจากเหตุการณ์ในการรำลึกถึงบรรดาชะฮีดชาวเมืองกุม ประชาชนได้ออกมาลุกขึ้นต่อสู้ ซึ่งพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะทำให้การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองกุมเป็นที่ลืมเลือนไปได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้อธิบายถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความกล้าหาญ การรักษาศักดิ์ศรีและเกียรติยศ และความเคร่งครัดต่อศาสนาของประชาชนเมืองทาบริซ ในการเผชิญหน้าอย่างดุเดือดกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม การสร้างวีรกรรมของกองทัพที่ทำลายล้างแห่งอาชูรอ และผู้บัญชาการ ผู้กล้าหาญ อย่างท่านชะฮีดบากิรี ในการเผชิญหน้ากับวิกฤติของกลุ่มการเมืองพรรค คัลเกมุซัลมาน (Muslim People Party) ในช่วงปีแรกๆของการปฏิวัติอิสลามและการเข้าร่วมของประชาชนชาวเมืองทาบริซอย่างมีความเข้าใจในเหตุการณ์วิกฤติปี 2009 (1388 ปฏิทินอิหร่าน) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในเดือนธันวาคม ปี 2009 ประชาชนชาวเมืองทาบริซได้ออกมาประท้วงต่อต้านวิกฤติการก่อจราจลโดยที่เร็วกว่าประชาชนในเมืองอื่นๆ หรือแม้แต่ในกรุงเตหะราน และในอีกหลายเมืองต่างๆในประเทศก็ตาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ค้นหาคำตอบสำหรับคำถามสำคัญนี้ที่ว่า บทเรียนของการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองทาบริซ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1978 สำหรับสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันคืออะไร ? โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายถึงรากเหง้าของความปฏิปักษ์ของเหล่าชาติมหาอำนาจกับการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ในช่วงเวลาแห่งชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม เหล่าชาติมหาอำนาจได้แบ่งโลกออกเป็นสองส่วนด้วยกัน กล่าวคือ ผู้ที่ครอบงำ และผู้ที่ถูกครอบงำ แต่การปฏิวัติอิสลามได้ปฏิเสธการจัดสรรนี้ ซึ่งถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของระบบมหาอำนาจ จอมอหังการ และเหล่าผู้ครอบงำทั้งชาติตะวันตกและตะวันออกก็ด้วยเหตุผลนี้ และด้วยกับความขัดแย้งกันของพวกเหล่านั้น พวกเขาจึงได้ก่อตั้งแนวร่วมที่กว้างขวางในการเผชิญหน้ากับประชาชาติอิหร่านขึ้นมา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า อย่าได้ลืมสาเหตุหลักของความเป็นศัตรูของชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ ที่มีต่อสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำได้กล่าวเสริมว่า “ แน่นอนว่า พวกเขาได้ใช้แผนการสมรู้ร่วมคิดและการต่อต้าน ภายใต้ข้ออ้างต่างๆ รวมถึง สิทธิมนุษยชน ข้อบังคับแบบอิสลาม อาวุธนิวเคลียร์ ขีปนาวุธ ปัญหาระดับภูมิภาค และปัญหาอื่นๆ แต่พวกเราจะต้องตระหนักว่า ประเด็นเหล่านี้นั้นเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างทั้งสิ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นอีกถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างต่อเนื่องของเหล่าชาติมหาอำนาจ โดยท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า “ประชาชาติอิหร่านนั้นเพื่อที่จะได้รับชัยชนะเหนือการโจมตีต่างๆเหล่านี้ จึงมีความต้องการในสองประการ กล่าวคือ การเสริมสร้างองค์ประกอบแห่งอัตลักษณ์ และการเพิ่มพลังอำนาจภายใน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การดำรงอยู่ของโครงสร้างพื้นฐานและระบบทางปัญญาและอุดมการณ์ คือ องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการเสริมสร้างอัตลักษณ์ของชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “โครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคงทางปัญญาของการปฏิวัติอิสลามนั้น ได้รับมาจากอิสลาม และมีการอธิบายในสุนทรโอวาทอันทรงคุณค่าของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฎ) และบทเรียนต่างๆของบรรดานักคิด ดังเช่น ท่านชะฮีดมุเฎาะฮะรี และท่านชะฮีดเบเฮชตี แต่ทว่า องค์ประกอบของบรรดานักคิด ก็จะต้องทำให้ระบบทางปัญญาเหล่านี้ได้รับคำตอบที่ใหม่สำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นมาใหม่อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การต่อต้านอุดมการณ์เหล่านี้ที่บางคนได้กระทำมันอย่างซ้ำซาก ซึ่งผลลัพท์ของมันก็คือ การหันเหออกจากเส้นทางของการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “ แน่นอนว่า โครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาที่เป็นอิสระนั้นไม่เพียงพอ และในการปฏิบัติ จะต้องมีคุณลักษณะที่สำคัญเหล่านี้ คือ ความไม่หวาดกลัว ความไม่เหน็ดเหนื่อย ความไม่สิ้นหวัง ความไม่เกียจคร้าน การที่จะต้องรู้ว่าไม่เป็นแผนการร้ายของศัตรู และเมื่อถึงเวลาที่จำเป็น ก็จงเตรียมพร้อมในการเสียสละ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของคุณลักษณะอันโดดเด่นเหล่านี้ในประชาชาติอิหร่านและการเสียสละของบรรดาชะฮีด โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชาติอิหร่านนั้นไม่เคยรู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยเลย ซึ่งเราจะเห็นได้ในตัวอย่างต่างๆในการจัดงานพิธีแห่ศพที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใดมาก่อนของท่านชะฮีดสุไลมานี และเหตุการณ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ในปีนี้ เมื่อวันที่ 22 เดือนบะฮ์มัน (10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา)
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำว่า “หากว่า มีการยืนหยัดและการไม่หันเหออกจากเส้นทางไปพร้อมกับการต่อสู้เหล่านี้ ปัญหาต่างๆก็จะได้รับการแก้ไข”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปฏิวัติอิสลามนั้นได้รับผลผลิตอันยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง และท่านยังได้กล่าวติเตือนต่อการความบกพร่องในการนำเสนอผลผลิตเหล่านี้ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติอิสลามได้ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศ จากประเทศหนึ่งที่มีความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ ความอ่อนหัดทางการเมืองของอำนาจต่างๆ และทางเศรษฐกิจ และการพึ่งพา กลายเป็นประเทศที่เป็นอิสระ มีเสรีภาพ มีเกียรติ มีความภาคภูมิใจ มีศักดิ์ศรี และได้รับความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเปลี่ยนแปลงของประชาชาติอิหร่านจากภาวะที่ตกต่ำ ไร้จุดหมาย และการที่จะต้องพึ่งพายังประชาชาติที่เต็มไปด้วยกับการขับเคลื่อนต่างๆ กลายเป็นประเทศที่มีชีวิตชีวาและมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน คือ อีกหนึ่งในผลผลิตของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำได้กล่าวเสริมว่า “การจัดตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์หลายพันแห่งในประเทศและการจัดกิจกรรมทางสังคมอย่างกว้างขวางของบรรดาเยาวชน เช่น การช่วยเหลืออย่างเชื่อมั่นในเหตุการณ์ของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า คือ ตัวอย่างที่โดดเด่นในการขับเคลื่อนและการมีชีวิตชีวาของประชาชาติอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเปลี่ยนแปลงในการบริหารประเทศจากรัฐบาลจอมเผด็จการ ราชาธิปไตย และรัฐบาลปัจเจกบุคคล กลายเป็นรัฐบาลของประชาชน สาธารณรัฐและประชาธิปไตย คือ อีกหนึ่งในผลผลิตของของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ ในวันนี้ ประชาชนคือผู้ที่กำหนดชะตากรรมของประเทศและพวกเขาเป็นผู้ที่เลือกคัดสรรเอง เป็นไปได้ว่า ในบางครั้งพวกเขาอาจจะเลือกสิ่งที่ดี และในบางครั้งพวกเขาได้เลือกในสิ่งที่ไม่ดี แต่พวกเขาเป็นผู้ที่เลือกสรรด้วยตัวของพวกเขาเอง ในขณะที่ก่อนการปฏิวัติอิสลาม พวกเขานั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะกระทำเช่นนี้ได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างประเทศ คือ อีกผลผลิตหนึ่งของการปฏิวัติอิสลาม และท่านยังแสดงความประหลาดใจที่บางคนได้ละเลยจากการให้บริการอย่างกว้างขวางเหล่านี้ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “โครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศในภาคส่วนต่างๆเช่น การสร้างเขื่อน การจ่ายน้ำประปา การไฟฟ้า การจ่ายก๊าซ การสร้างถนน การพัฒนาทางอุตสาหกรรม การเกษตรและการขยายตัวของมหาวิทยาลัยอันน่าอัศจรรย์ ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นผลงานต่างๆของการปฏิวัติอิสลามทั้งสิ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเสริมสร้างกองกำลังทางทหารและการป้องกันประเทศ และการทำให้อิหร่านได้กลายเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในระดับภูมิภาค คือ อีกผลผลิตหนึ่งของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหตุผลหลักสำหรับแผนการสมรู้ร่วมคบคิดต่างๆของสหรัฐอเมริกาและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และบางรัฐบาลในยุโรป ก็ด้วยกับการขับเคลื่อนไปข้างหน้าเหล่านี้ของการปฏิวัติอิสลาม และหากพระเจ้าทรงประสงค์ ด้วยกับการมีอำนาจของประชาชาติและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจะทำลายแผนการร้ายเหล่านี้อย่างแน่นอน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “นอกเหนือจากผลผลิตเหล่านี้ เรานั้นไม่เคยซ่อนเร้นถึงความล้าหลังในบางภาคส่วนเลย และเรายังเชื่อมั่นว่าความล้าหลังเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในศักดิ์ศรีของการปฏิวัติอิสลามและไม่เป็นสิ่งที่ถูกยอมรับ ซึ่งจะต้องได้รับการชดเชย และเรานั้นในฐานะเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย จะต้องรับผิดชอบต่อความล้าหลังเหล่านี้ และแน่นอนว่าประชาชนนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องในบางภาคส่วนด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “เหตุผลหลักที่ทำให้เกิดความล้าหลังเหล่านี้ คือ การที่ไม่ได้ปฏิบัติตามการปฏิวัติอิสลาม เมื่อใดก็ตามที่เราได้ปฏิบัติตามการปฏิวัติอิสลาม เมื่อนั้นเราไม่ได้เกิดความล้าหลัง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราได้เพิกเฉยต่อการปฏิวัติอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนไปอย่างเบื่อหน่าย หรือเกิดความประมาท เมื่อนั้นเราก็จะเกิดความล้าหลัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ในประเด็นความล้าหลังต่างๆ ประการแรก คือ สภาพความเป็นอยู่ของกลุ่มชนชั้นที่ด้อยโอกาสและปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งจะต้องมีการกำจัดความล้าหลังเหล่านี้และจะต้องสร้างความยุติธรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “แน่นอนว่าด้วยกับสถานการณ์ของประเทศที่มีความล้าหลังเหล่านี้ ได้ล้ำหน้าเหนือสถานการณ์ของประเทศ ก่อนการปฏิวัติอิสลามเสียอีก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการที่ศัตรูมุ่งเน้นไปที่ความล้มเหลวและความเพิกเฉยต่อผลผลิตต่างๆและการปฏิบัติการทางจิตวิทยาและการพูดจาโกหกเพื่อสร้างความผิดหวังและการทำให้ประชาชนและบรรดาเยาวชน มีวิสัยทัศน์ที่ไม่ดีต่อการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ช่างน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่บางองค์ประกอบในประเทศ เนื่องจากการเพิกเฉย และบางคนด้วยความลำเอียงก็ได้พูดจาที่ซ้ำซากซึ่งมาจากคำพูดของศัตรู”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงความรู้สึกอ่อนไหวส่วนมากของประชาชนในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อความไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะในประเด็นต่างๆ เช่น การทุจริตคอร์รัปชั่นและการเกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความรู้สึกอ่อนไหวนี้ เป็นสิ่งที่ดีอย่างมากและแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของประชาชนต่ออุดมคติของการปฏิวัติอิสลาม และด้วยเหตุผลนี้เอง ไม่ว่าที่ใดก็ตามที่มีการต่อสู้กับการทุจริตหรือการขับเคลื่อนไปสู่การช่วยเหลือกลุ่มชนผู้ด้อยโอกาสและการสร้างความยุติธรรม พวกเขาจะให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นย้ำว่า “เรานั้นมีหน้าที่ในการแก้ไขความล้มเหลวด้วยกับการใช้ประโยชน์จากผลผลิตอันมากมายของการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งในผลผลิตเหล่านี้ ก็คือ บรรดาเยาวชนที่มีความสนใจ ผู้มีความคิดสร้างสรร และพร้อมที่จะทำงาน ซึ่งจะต้องใช้ขีดความสามารถเหล่านี้ควบคู่ไปกับความร้อนรุ่มในการปฏิวัติอิสลามของประชาชนเพื่อที่จะแก้ไขความล้มเหลวต่างๆ”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านผู้นำได้ชี้ถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะเข้ามาถึง โดยถือว่าเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แน่นอนว่า ฝ่ายที่ต่อต้านของสาธารณรัฐอิสลามต่างไม่ต้องการให้รัฐอิสลามได้ใช้โอกาสนี้และขีดความสามารถที่สำคัญสำหรับความก้าวหน้าของประเทศ แต่ทว่าการเข้าร่วมของประชาชน นักปฏิวัติอย่างมากมายในการเลือกตั้ง จะทำให้ประเทศเกิดความมั่นคง และเป็นการผลักดันให้ศัตรูต้องถอยห่างและการลดความละโมบของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เอง เราจะต้องไม่ปล่อยโอกาสให้สูญเปล่า”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในการเลือกตั้งที่มีความเข้มข้นและมีกระแสตอบรับจากประชาชนอย่างมากเท่าไหร่ ผลลัพท์และผลประโยชน์ของประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของศัตรูในข้ออ้างซ้ำๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง คือการทำให้ประชาชนต้องหมดกำลังใจ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “แม้ว่าจะมีข้ออ้างเหล่านี้ การเลือกตั้งสำหรับประเทศ คือ เป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้และเป็นเสบียงสะสมที่สำคัญ ซึ่งจะมาพร้อมกับการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ และแน่นอนว่า หากว่าการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเลือกตั้งที่ถูกต้อง หมายถึง การเลือกพลังงานที่มีทักษะ พร้อมด้วยกับการมีความศรัทธา การมีแรงจูงใจ ความสนใจ และความขยันหมั่นเพียร ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างมากและเป็นหลักประกันให้กับอนาคตของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “การเยียวยาต่อความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องของประเทศ คือ การเลือกตั้งอย่างเข้มข้นและการเข้าร่วมของประชาชนทั่วไป และหลังจากนั้นคือ การเลือกบุคคลที่ถูกต้องและเหมาะสมในการเลือกตั้งประธานาธิบดี”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ในส่วนท้ายของการปราศรัยของท่าน เกี่ยวกับประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์ และการอธิบายถึงนโยบายของรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในกรณีข้อตกลงนิวเคลียร์นั้น มีคำพูดและคำมั่นสัญญาต่างๆมากมาย แต่เราได้ยินในคำพูดและคำมั่นสัญญาที่ดีอย่างมาก ซึ่งได้มีการละเมิดและการดำเนินการที่ขัดแย้งกับคำพูดเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง คำพูดและคำมั่นสัญญานั้นไม่มีประโยชน์ใดๆอีกต่อไป แต่ครั้งนี้ การกระทำเท่านั้นที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “หากว่าเราได้เห็นการกระทำของฝ่ายตรงข้าม เราก็จะกระทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งสาธารณรัฐอิสลามจะไม่ยอมจำนนต่อคำพูดและคำมั่นสัญาอีกต่อไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวแสดงความยินดี เนื่องในการเข้าสู่กับเดือนรอญับ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แม้ว่า การรวมตัวในการทำอะมั้ลอิบาดัต จะไม่ได้มีการจัดขึ้นชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์ที่พิเศษของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า แต่ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์อย่างเพียงพอในบ้านของพวกท่าน จากบทขอพรที่ดีอย่างมากและมีความหมายของเดือนนี้
ทั้งการตะวัซซุลและการวิงวอนรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้าอย่างเต็มที่”
ก่อนการกล่าวปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน อาลิฮาชิม ผู้แทนของผู้นำสูงสุดในแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออก และอิมามนมาซวันศุกร์ของเมืองทาบริซ ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับความพยายามอย่างกว้างขวางของภาคส่วนต่างๆของประชาชนและกลุ่มญิฮาดีของจังหวัดในการต่อสู้กับโรคโคโรน่าและการช่วยเหลือด้านสาธารณสุขของกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชน”