คณะผู้บัญชาการทหารอากาศและหน่วยป้องกันภัยทางอากาศของกองทัพอิหร่าน เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพทุกเหล่าทัพ โดยท่านผู้นำถือว่า การให้สัตยาบันทางประวัติศาสตร์ของกองทัพอากาศกับท่านอิมามโคมัยนี เมื่อวันที่ 19 เดือนบะฮ์มัน ปี 1357 (ปฏิทินอิหร่าน ตรงกับ 1978 ค.ศ) เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความประหลาดใจและเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญของชัยชนะในการปฏิวัติอิสลาม ทั้งยังเป็นการแสดงถึงการคิดคำนวณที่ผิดพลาดของพวกสหรัฐฯอีกด้วย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การเข้าร่วมของประชาชนในภาคสนาม การทำงานและความพยายามอย่างมุ่งมั่น ความเป็นเอกภาพระหว่างบรรดาเจ้าหน้าที่ฯ ความไว้วางใจต่อพันธสัญญาของพระเจ้า และการเพิ่มมากขึ้นขององค์ประกอบในพลังอำนาจแห่งชาติทางการปฏิบัติ คือ สิ่งที่จำเป็นที่จะต้องทำให้การขับเคลื่อนในการปฏิวัติอิสลามนั้นมีความต่อเนื่องอย่างรวดเร็วที่สุด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังถือว่า กรณีที่น่าละอายใจล่าสุดของสหรัฐและการล่มสลายของทรัมป์ ซึ่งทำให้สหรัฐต้องไร้เกียรติ อำนาจ ระเบียบทางสังคมและการเมือง และท่านผู้นำยังได้ชี้ให้เห็นถึงการแสดงความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ชาวยุโรปและสหรัฐที่เกี่ยวกับประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์และมาตรการคว่ำบาตร โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “พวกสหรัฐฯและชาวยุโรปนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไข เพราะว่า พวกเหล่านั้นไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ ขณะที่สาธารณรัฐอิสลามควรที่จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเองต่างหาก เพราะว่าพวกเรานั้นได้ยึดมั่นในพันธกรณีทั้งหมด ฉะนั้น อิหร่านจะกลับเข้าสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์อีกครั้ง สหรัฐก็จะต้องยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดทางการปฏิบัติ มิใช่เพียงคำพูด หรือการเขียนลงบนกระดาษ และในกรณีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรนั้น อิหร่านจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง นี่คือ นโยบายที่เด็ดขาดและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ของสาธารณรัฐอิสลาม ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหมดต่างยอมรับและไม่มีผู้ใดที่จะบิดเบือนมันได้”
ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพทุกเหล่าทัพ ถือว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เดือนบะฮ์มัน ปี 1357 เป็นหนึ่งในวันทั้งหลายแห่งพระเจ้า โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การแยกส่วนสำคัญของกองทัพออกจากกันและการเข้าร่วมของพวกเขากับท่านอิมามโคมัยนีและประชาชน ดุจดั่งเป็นปาฏิหาริย์หนึ่ง เพราะว่า ระบอบทรราชชาฮ์ปาห์เลวี ถือว่า กองทัพและเหล่าทหารซาวัก เป็นสิ่งที่พึ่งพาหลักของพวกเหล่านั้น และในที่สุด พวกเหล่านั้นก็ได้รับความเสียหายที่ไม่อาจคาดคิดได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลเดโมแครตของสหรัฐฯในสมัยนั้น ได้เกิดความผิดพลาดจากการคิดคำนวณที่แปลกประหลาด ในการประเมินผลสถานการณ์ของประเทศและประชาชน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกสหรัฐนั้นมีความหวังอย่างมากต่อกองทัพของระบอบชาฮ์ ตามรายงานที่แน่นอนระบุชัดว่า มีการวางแผนในการก่อรัฐประหารเพื่อทำการจับกุมแกนนำทั้งหลายในการปฏิวัติอิสลาม และด้วยการใช้ความรุนแรงต่อประชาชนอย่างมาก เพื่อไม่ให้ระบอบทรราชต้องล่มสลาย แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แผนการชั่วร้ายของพวกเหล่านั้นพบกับความล้มเหลว ก็คือ การขับเคลื่อนของกองทัพอากาศในวันที่ 19 เดือนบะฮ์มันนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นให้เห็นว่า พวกสหรัฐยังคงมีความผิดพลาดจากการคิดคำนวณที่มีต่ออิหร่านอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำได้กล่าวเสริมว่า “หนึ่งในตัวอย่างของการคิดคำนวณที่ผิดพลาดของสหรัฐฯ ก็คือ ในเหตุการณ์การก่อจลาจล(ฟิตนะฮ์) ปี 1388 ขณะที่ประธานาธิบดีเดโมแครตของสหรัฐ คิดว่า ภารกิจของเขาจะสิ้นสุดลง โดยประกาศให้การสนับสนุนต่อฟิตนะฮ์ในครั้งนั้นอย่างเป็นทางการ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า มาตรการคว่ำบาตรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้ มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มอิหร่าน คือ อีกตัวอย่างหนึ่งของการคิดคำนวณที่ผิดพลาดของสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หนึ่งในบรรดาคนโง่เขลาอันดับหนึ่งคนนั้น (จอห์น โบลตัน)ได้พูดไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า “เราจะมาเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่กันในปี 2019 ที่กรุงเตหะราน” แต่ในขณะนี้ ผู้นั้นได้ถูกส่งลงไปในถังขยะของประวัติศาสตร์และหัวหน้าของเขาได้ถูกเตะไล่ออกจากทำเนียบขาวอย่างน่าอับอายที่สุด แต่สาธารณรัฐอิสลามนั้นได้ยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ ด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำให้เห็นว่า อย่าได้ปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายในการเผชิญหน้ากับศัตรูและข้อบกพร่องของหน่วยงานการคิดคำนวณของพวกเหล่านั้นเป็นอันขาด โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการขับเคลื่อนตลอดช่วง 42 ปีของการปฏิวัติอิสลาม ก็คือ การทำงาน ความพยายามอย่างมุ่งมั่น การเข้าร่วมของประชาชนในภาคสนามและความศรัทธาของพวกเขาในความจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วม และความไว้วางใจต่อพันธสัญญาของพระเจ้าและการวางแผนในการต่อกรกับแผนการร้ายของศัตรู”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า “การนิ่งเฉยๆและการมองเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆก้าวไปข้างหน้าได้ ซึ่งบรรดาเจ้าหน้าที่ฯจะต้องเข้าร่วมในสนามแห่งการทำงานและการปฏิบัติ ด้วยความไว้วางใจต่อพระเจ้า การเพิ่มมากขึ้นในพลังอำนาจแห่งชาติอย่างต่อเนื่องและมีการผลิตกำลัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในสัญลักษณ์ของการผลิตกำลัง คือ การเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารอย่างแข็งแกร่งที่เหมาะสมในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ ซึ่งท่านผู้นำยังได้กล่าวขอบคุณต่อการปฏิบัติการซ้อมรบครั้งล่าสุด โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปฏิบัติการซ้อมรบที่ยิ่งใหญ่และสร้างความประหลาดใจในสถานการณ์ของการคว่ำบาตรเช่นนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป็นการสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของบุตรหลานของประเทศชาติในกองทัพแห่งประเทศ ทั้งยังเป็นการสร้างความภูมิใจอย่างมากอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความจำเป็นของการผลิตกำลังในกองทัพ นอกเหนือจากการเสริมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ การรักษาและการส่งเสริมขวัญกำลังใจ ความศรัทธาและความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณของกองกำลังทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ข้อผิดพลาดอันใหญ่หลวงของบางประเทศในภูมิภาค คือ พวกเขาได้เรียกร้องความมั่นคงแห่งชาติของตนจากพวกต่างชาติ และด้วยกับการจ่ายค่าใช้จ่ายหลายพันล้านล้านดอลลาร์ จนเกิดความอัปยศอดสูและได้รับการดูหมิ่น จนในที่สุด พวกเขาก็รู้สึกไม่ปลอดภัยในสถานที่หลบภัยของตน ดังที่เราได้เห็นในกรณีของอียิปต์และตูนิเซีย เมื่อหลายปีที่แล้ว หรือในชะตากรรมของมุฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำเตือนถึงความจำเป็นในการระมัดระวังความผิดพลาดและข้อผิดพลาดในประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หนึ่งในความผิดพลาดครั้งใหญ่ คือ ความหวาดหลัวต่ออำนาจของศัตรูหรือการที่เราต้องพึ่งพาศัตรูในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นย้ำว่า ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เกินความจริงที่เกี่ยวกับความเข้มแข็งและศักยภาพในประเทศ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “แต่เราจะต้องมองถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นภายในและยกสถานภาพให้ดียิ่งขึ้นแล้วเราก็จงรู้ไว้ว่า หากเราหวาดกลัวด้วยกับขีดความสามารถทั้งหมดของศัตรูนั้น แน่นอนว่าเราก็จะต้องพบกับความล้มเหลว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงผู้ที่มีการประเมินขีดความสามารถของสหรัฐฯและบางชาติมหาอำนาจโดยที่ไม่ตรงกับความจริง ก็จะต้องย้อนกลับไปยังกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “เหตุการณ์ล่าสุดที่น่าอับอายในสหรัฐฯนั้นไม่ใช่เป็นประเด็นเล็กๆ และไม่ควรประเมินในบริบทของการล่มสลายของประธานาธิบดีที่น่ารังเกียจ แต่เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้สหรัฐนั้นไร้เกียรติ อำนาจและระเบียบสังคม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อ้างถึงคำพูดของผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองชาวสหรัฐที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกเขาบอกว่า ระบบสังคมของสหรัฐนั้นได้เน่าเฟะจากภายในและบางคนก็พูดคุยกันถึงยุคหลังอเมริกา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “หากว่าเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในสหรัฐได้เกิดขึ้นในสถานที่ใดก็ตามของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่สหรัฐฯนั้นมีปัญหากับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ทว่าอาณาจักรข่าวสารต่างๆนั้นอยู่ในกำมือของพวกเหล่านั้น และพวกเขาต่างพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวต่างๆได้จบลงแล้ว ในขณะที่มันยังไม่จบสิ้นและยังคงดำเนินต่อไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลในความรีบเร่งและความสับสนของระบอบการปกครองที่เชื่อมโยงกับสหรัฐฯในภูมิภาค โดยเฉพาะระบอบรัฐเถื่อนยิวไซออนิสต์และการพูดจาที่ไร้สาระครั้งล่าสุดของพวกเขา คือ การเกิดความหวาดกลัวและความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของการล่มสลายของสหรัฐในสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศและในประเทศ”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ซึ่งท่านผู้นำได้ชี้ถึงการแสดงความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯและยุโรปในกรณีการคว่ำบาตร โดยท่านกล่าวว่า “ประการแรก ในสาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่มีผู้ใดที่เป็นหนี้บุญคุณจากความพยายามของผู้ที่พูดจาคลุมเครือโดยปราศจากความรับผิดชอบในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ประการที่สอง ตามหลักตรรกะและเหตุผล สหรัฐอเมริกาและสามประเทศในยุโรปได้ละเมิดพันธกรณีของข้อตกลงนิวเคลียร์ จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะกำหนดเงื่อนไขสำหรับข้อตกลงดังกล่าวนี้อีก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเน้นย้ำว่า “ในช่วงแรก พวกเขาได้ทำการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนเพียงชั่วคราวในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ในภายหลัง ก็พวกเขากลับมาคว่ำบาตรอีกระลอกหนึ่ง แม้กระทั่งได้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นด้วย ฉะนั้น พวกเหล่านั้นจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขในข้อตกลงดังกล่าว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำอีกว่า “ขณะที่ฝ่ายที่มีสิทธิ์ในการกำหนดเงื่อนไขที่จะทำให้ข้อตกลงนิวเคลียร์ดำเนินการต่อไป คือ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เพราะว่า อิหร่านนั้นได้ปฏิบัติตามพันธกรณีทั้งหมด นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่พวกเหล่านั้นกลับได้ละเมิดต่อพันธกรณีต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงนโยบายที่แน่วแน่ของสาธารณรัฐอิสลามที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมดต่างยอมรับ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หากต้องการให้อิหร่านกลับเข้าสู่พันธกรณีของข้อตกลงนิวเคลียร์ สหรัฐฯจะต้องยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดทางการปฏิบัติ ไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดหรือเขียนลงบนกระดาษ หลังจากที่สาธารณรัฐอิสลามได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงของการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรแล้วก็จะกลับเข้าสู่พันธกรณีในข้อตกลงดังกล่าวอีกครั้ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ให้คำแนะนำโดยเน้นย้ำต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ฯและผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการของประเทศ ให้มีความเป็นเอกภาพและเป็นเสียงเดียวกัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ความเป็นเอกภาพของประชาชนและบรรดาเจ้าหน้าที่ฯ คือ ปัจจัยหลักในการก้าวผ่านของปัญหาต่างๆในตลอดช่วง 42 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการมีความสามัคคีและการเป็นเสียงเดียวกันนั้น จะต้องดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ท่านผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพทุกเหล่าทัพ ได้ให้คำแนะนำต่อกองทัพให้มีการผลิตกำลังต่อไป และในช่วงท้ายสุด ท่านผู้นำได้เน้นย้ำว่า “ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าและคำอธิษฐานของอิมามมะฮ์ดี(อ.ญ) อนาคตของประชาชาติและประเทศอิหร่าน จะต้องดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน และจะดีขึ้นกว่าวันนี้อีกด้วย”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นายพลจัตวา อะมีร นาซีร์ ซาเดห์ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับรูปแบบแผนของกองกำลังนี้ เมื่อปีที่แล้ว โดยกล่าวว่า “กองทัพอากาศในอดีตที่ผ่านมานั้น ได้เข้าร่วมในการปฏิวัติอิสลามอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาผลผลิตของการปฏิวัตินี้ แต่ในวันนี้ กองทัพอากาศนั้นซึ่งเต็มไปด้วยกับแนวคิดของการยืนหยัดต้านทานและคำสอนของสำนักคิดชะฮีดสุไลมานี รวมทั้งความก้าวหน้าไปด้วยกับแรงจูงใจที่เพิ่มมากขึ้นในวิถีของการยกระดับอำนาจทางอากาศของประเทศชาติ”