ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวปราศรัยผ่านการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ เนื่องในวันครบรอบปีแห่งการต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองกุม เมื่อวันที่ 19 เดือนเดย์ ปี 1356 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยท่านผู้นำได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องปกป้องความทรงจำและนามของการต่อสู้ที่เป็นตัวกำหนดการต่อสู้นี้ รวมถึงประเด็นทางศาสนาและการต่อต้านสหรัฐฯ และท่านผู้นำยังถือว่า เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เราได้มีการผลิตวัคซีนรักษาโรคโคโรน่าในประเทศ โดยผู้นำกล่าวว่า “การปรากฏตัวของอิหร่านในระดับภูมิภาค ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและการเพิ่มศักยภาพในการป้องกันและขีปนาวุธ จะคงดำเนินการต่อไป ส่วนในกรณีข้อตกลงนิวเคลียร์ เราจะไม่คะยั้นคะยอหรือเร่งรีบที่จะให้สหรัฐกลับเข้าสู่ข้อตกลงอีกครั้ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ การคว่ำบาตรควรถูกยกเลิกในทันทีและอย่างสมบูรณ์”
ก่อนที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามจะกล่าวในประเด็นหลักที่เกี่ยวกับวีรกรรมของชาวเมืองกุม ในวันที่ 19 เดย์ 1356 และบางประเด็นในสถานการณ์ปัจจุบัน ท่านผู้นำได้กล่าวขอบคุณต่อการเข้าร่วมของบรรดาประชาชนในการเทอดเกียรติและร่วมรำลึกถึงชะฮีด นายพลสุไลมานี และชะฮีดอาบูมะฮ์ดี อัลมุฮันดิส โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “การเคลื่อนไหวของประชาชน ถือว่าเป็นการสร้างวีรกรรมครั้งใหญ่ที่เกิดจากความรัก การมีบะซีเราะฮ์ (ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง) และแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา ซึ่งได้ทำให้จิตวิญญาณใหม่เข้าสู่ร่างกายของประเทศชาติ
และท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวขอบคุณในการรวมตัวอันยิ่งใหญ่และน่าทึ่งของประชาชนชาวอิรักในกรุงแบกแดดและอีกหลายเมืองในประเทศอิรัก เนื่องในพิธีการรำลึกถึงชะฮีด ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองและท่านผู้นำยังได้กล่าวเทอดเกียรติต่อบรรดาชะฮีดที่ร่วมเดินทางกับนายพลสุไลมานี และอาบูมะฮ์ดี (กล่าวคือ ชะฮีดพูรญะอ์ฟะรีย์ ,ชะฮีดมุซัฟฟะรีนิยอ ,ชะฮีดฏอริมีย์ และชะฮีดซะมานี นิยอ) และบรรดาชะฮีดชาวอิรักด้วยเช่นกัน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวรำลึกถึงบรรดาชะฮีดที่เสียชีวิตในพิธีการตัชยีอ์ (การแห่ศพ) ของนายพลสุไลมานีในจังหวัดเคอร์มาน และเหล่าชะฮีดที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเหนือน่านฟ้าของกรุงเตหะราน ที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก และท่านผู้นำยังได้วิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงยิ่งใหญ่ โปรดทรงประทานความเมตตา ความกรุณา ความอดทนและความเงียบสงบให้กับบรรดาครอบครัวของพวกเขาด้วย
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ยังมีหน้าที่ด้วยเช่นกันในประเด็นนี้ซึ่งก็ได้มีการเตือนให้พวกเขารับทราบแล้ว
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงวันครบรอบ 40 วันจากการเป็นชะฮีดของนักวิทยาศาสตร์ ผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศ ชะฮีดฟัครีซาเดห์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เราได้สูญเสียนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคน คือ ชะฮีดฟัครี ซาเดห์และท่านอยาตุลลอฮ์ มิศบาฮ์ ยัซดี ทั้งสองคนนั้น เป็นผู้เชี่ยวชาญทางความรู้ที่มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่น ซึ่งจะต้องมีการรักษามรดกอันล้ำค่าของพวกเขาและดำเนินตามแนวทางของพวกเขาอย่างดีที่สุด”
ในส่วนหลักในการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านผู้นำได้เน้นย้ำถึงผลของตัวกำหนดในการต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองกุม เมื่อวันที่ 19 เดย์ ปี1356 โดยถือว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องและรักษาความทรงจำของเหตุการณ์นี้ ตลอดจนความหมายที่ลึกซึ้งในการต่อสู้ของพวกเขา
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “การลุกขึ้นต่อสู้ในวันที่ 19 เดย์ เป็นจุดสูงสุดของการใช้ชีวิตของประชาชนชาวอิหร่าน เพราะว่า ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น เจตจำนงและความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของประชาชน ด้วยเหตุนี้เอง จึงจะต้องมีการรักษาความทรงจำนี้ให้มีชีวิตชีวาและเป็นประกายแสงส่องทาง นำไปสู่อนาคต
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า มือของผู้ทรยศและเหล่านักวิเคราะห์ที่มีอคติได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงเนื้อหาและสาระสำคัญของเหตุการณ์ครั้งใหญ่ของประชาชาติเพื่อบรรลุผลประโยชน์ของเหล่าชาติมหาอำนาจ โดยท่านกล่าวว่า “ด้วยกับการขยายวงกว้างของสื่อมวลชนนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของเหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การบิดเบือนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์สำคัญในประเทศและในโลก ด้วยการใช้ภาษาและปากกาของบุคคลและนักเขียนที่มีชื่อเสียง นั้นเป็นการกระทำที่สำคัญของหน่วยข่าวกรองและฝ่ายความมั่นคง โดยท่านผู้นำยังได้อ้างถึงหนังสือที่เผยแพร่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวดังกล่าวของหน่วยซีไอเอของสหรัฐ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “หนังสือเล่มนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า สาธารณชนทั่วไปต่างเห็นว่า หน่วยซีไอเอได้ครอบงำสื่อมวลชนและสื่อรายใหญ่ของอเมริกาและแม้แต่ในยุโรปโดยทำการบิดเบือนเหตุการณ์และการตีความต่างๆที่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของพวกสหรัฐไปได้อย่างไรกัน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ ได้กล่าวอธิบายถึงความจำเป็นในการปกป้องและรักษาเนื้อหาของการต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองกุม เมื่อวันที่ 19 เดย์ 1356 โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เหตุการณ์ในเมืองกุมนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะกับเมืองนี้เท่านั้น แต่ได้สร้างให้เป็นต้นแบบและมีการแพร่กระจายไปตามเมืองอื่นๆ เพื่อปูทางไปสู่ชัยชนะของการปฏิวัติครั้งใหญ่ของประชาชนชาวอิหร่าน ด้วยเหตุนี้เอง จะต้องมีการปกป้องและรักษาเนื้อหาและสาระสำคัญอย่างดีทีเดียว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความโกรธอันมากมายของประชาชนที่มีต่อระบอบการปกครองจอมเผด็จการที่ชั่วร้ายของปาห์ลาวี เป็นหนึ่งในสองประเด็นหลักของการต่อสู้ในวันที่ 19 เดย์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การเคลื่อนไหวนี้ ได้เป็นตัวกำหนด และมีรากฐานจากศาสนา เพราะว่ามีการพึ่งพายังความเป็นผู้นำสูงสุด ถ้อยแถลงการณ์ คำพูด และบทเรียนต่างๆของท่านอิมามโคมัยนี ในฐานะที่ท่านนั้นเป็นมัรญิอ์ ตักลีด (ผู้นำสูงสุดทางด้านจิตวิญญาณ) และท่านยังเป็นผู้ชี้นำประชาชนให้ปฏิบัติตามหลักการศาสนา ตั้งแต่วันแรกของการต่อสู้ในปี 1341”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเด็นที่สองของการต่อสู้ เมื่อวันที่ 19 เดย์ ปี1356 คือ การต่อต้านสหรัฐฯและชาติมหาอำนาจ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “หลายวันก่อนที่จะมีการลุกขึ้นต่อสู้ ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้นได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า พวกเขาให้การสนับสนุนต่อระบอบจอมเผด็จการของปาห์เลวี ด้วยเหตุนี้เอง การเคลื่อนไหวของประชาชนชาวเมืองกุมในการต่อต้านราชวงศ์ชาห์ปาห์เลวี จึงเป็นการเคลื่อนไหวในการต่อต้านสหรัฐฯด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวสรุปในส่วนนี้ของการปราศรัยของท่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การต่อสู้ทางศาสนาและต่อต้านสหรัฐในวันที่ 19 เดย์ ในความจริงก็คือ การตบด้วยขวานของศาสดาอิบรอฮีมไปยังเรือนร่างของเจว็ด เป็นครั้งแรก และการตบหน้าครั้งต่อไปก็ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงของเจว็ดยิ่งใหญ่แห่งความอหังการ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความล้มเหลวในการเลือกตั้ง” “สิทธิมนุษยชนที่ชนผิวดำกำลังตกเป็นเหยื่อทุกๆสองสามวัน” การเปิดเผยค่านิยมของพวกสหรัฐฯที่กำลังถูกเยาะเย้ยของโลกหรือแม้แต่จากเหล่ามิตรของพวกเขา” เศรษฐกิจที่กำลังเป็นอัมพาต” และ “มีผู้ว่างงาน ผู้หิวโหยและผู้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยหลายสิบล้านคน” ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพที่ไม่เป็นปกติของสหรัฐฯ แต่ไม่ได้ถือเป็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด ขณะที่บางคนนั้นยังมีความหวังและการพึ่งพาสหรัฐอยู่”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “บางคนคิดว่าถ้าเราทำการปรองดองกับพวกสหรัฐแล้วจะทำให้ประเทศกลายเป็นสวรรค์ไปในทันที ซึ่งเหล่าบุคคลเช่นนี้จะต้องมองอิหร่านก่อนการปฏิวัติอิสลามว่า การสนับสนุนของสหรัฐฯนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มันได้ทำให้ประเทศไม่มีความก้าวหน้า มีความยากจนทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางความรู้ได้แพร่กระจัดกระจาย ทั้งมีการทุจริตคอร์รัปชั่น และความยุ่งเหยิงทางวัฒนธรรม ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ของระบอบการปกครองในภูมิภาคที่กำลังตกเป็นเหยื่อทานของพวกสหรัฐนั้นชัดเจนแล้วสำหรับทุกคน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกลับเข้าสู่การครอบงำของชาวนรกก่อนการปฏิวัติอิสลาม คือเป้าหมายหลักของพวกสหรัฐฯในการกดดันอิหร่านตลอด 42 ปี โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ความแตกต่างระหว่างพวกสหรัฐฯกับพวกยุโรปบางส่วน คือ พวกสหรัฐนั้นพยายามที่จะกระทำซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากเคยเข้าครอบงำอิหร่านและภูมิภาคก่อนหน้านี้มาแล้ว และทุกๆคนจะต้องระมัดระวังต่อเป้าหมายอันน่าสพรึงกลัวนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อ้างถึงคำพูดที่ชัดเจนของผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกาที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง โดยท่านกล่าวว่า “พวกสหรัฐฯ ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้ครอบครองภูมิภาคนี้ พวกเขาก็จะแสวงหาผลประโยชน์ของตนเองในการสร้างความไม่มั่นคง ทั้งในอิหร่าน อิรัก ซีเรีย เลบานอนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ซึ่งเป้าหมายนี้ ในบางครั้งพวกเขาได้สร้างสถานการณ์ที่เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1388 ในอิหร่าน และบางครั้งพวกเขาก็ได้สร้างกลุ่มไอซิสขึ้นมา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงเหตุการณ์ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา เช่น การโจมตีสภาคองเกรสและการหลบหนีของสมาชิกรัฐสภาเข้าทางอุโมงค์ลับ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกเขาได้ก่อจราจลในปี 1388 โดยต้องการสร้างความไม่มั่นคง ก่อความวุ่นวายและสงครามกลางเมืองในอิหร่าน แต่พวกเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ประเด็นเหล่านี้ก็ได้เกิดขึ้นกับพวกเขาในปี1399 (2019 ค.ศ) เช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึง 3 ประเด็นที่สำคัญในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่าน กล่าวคือ ประเด็นมาตรการคว่ำบาตร การปรากฏตัวของอิหร่านในภูมิภาค และการมีศักยภาพของประเทศในการป้องกันและขีดความสามารถทางขีปนาวุธ โดยถือว่าเป็นคำตอบที่เด็ดขาดและขั้นตอนสุดท้ายของรัฐอิสลามต่อข้อเรียกร้องของฝ่ายมหาอำนาจที่มีสหรัฐเป็นแกนนำหลัก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำในประเด็นมาตรการคว่ำบาตรว่า ฝ่ายตะวันตกและเหล่าศัตรูทั้งหลายจะต้องยุติการเคลื่อนไหวที่มุ่งร้ายจากการออกมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน ซึ่งถือว่าเป็นการทรยศ อาชญากรรมและเป็นปฏิปักษ์ที่ไร้เหตุผลต่อประชาชน และจะต้องยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดในทันที”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนเราได้เน้นย้ำหลายครั้งแล้วว่า เราจะต้องมีการวางแบบแผนเศรษฐกิจ โดยสมมติว่ากรณีที่ไม่มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อให้ประเทศดำเนินต่อไปได้ด้วยดี และด้วยกับการมีหรือไม่มีมาตรการคว่ำบาตรและด้วยกับผู้เล่นทั้งหลายของศัตรู จะทำให้ไม่เกิดปัญหา ซึ่งการกระทำเหล่านี้ เป็นไปได้ที่จะต้องพึ่งพายังศักยภาพในประเทศและการปฏิบัติตามนโยบายเศรษฐกิจต้านทาน ถึงแม้ว่า การคว่ำบาตรต่างๆกำลังจะไร้ประสิทธิภาพก็ตาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยเหตุนี้เอง คำพูดนี้ของฝ่ายตรงกันข้ามที่บอกว่าจะต้องกระทำอย่างนี้ และไม่กระทำอย่างนั้น ถือว่าไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น และมาตรการคว่ำบาตรที่ถือว่าเป็นการทรยศ อาชญากรรมที่มีต่อประชาชาติ จะต้องถูกยกเลิกไปทั้งหมดด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความหมายและตรรกะของการปรากฏตัวของอิหร่านในภูมิภาค เป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเหล่ามิตรและฝ่ายผู้สนับสนุนสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การปรากฏตัวของสาธารณรัฐอิสลามในภูมิภาคนี้ เป็นการรักษาความมั่นคงและยังเป็นการขจัดความไม่มั่นคง อย่างที่ทุกคนได้เห็นความจริงในซีเรียและอิรักมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เองการปรากฏตัวนี้ จึงต้องมีความแน่นอนและควรที่จะมีอยู่และจะต้องมีอยู่จริงอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวย้อนถึงประสบการณ์อันขมขื่นของประเทศที่ไม่สามารถต้านทานจากการโจมตีทางอากาศของซัดดัมได้ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “อิหร่านในสมัยนั้นไม่มีศักยภาพในการป้องกันจากการทิ้งระเบิด และขีปนาวุธในกรุงเตหะรานและในอีกหลายๆเมือง อิหร่าน ขณะที่สาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะรักษาประเทศให้อยู่ในสภาพเช่นนั้นได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ยกตัวอย่างของศักยภาพในการป้องกันของอิหร่านในปัจจุบัน เช่น การยิงเครื่องบินของสหรัฐที่ละเมิดน่านฟ้าอิหร่านหรือการยิงถล่มฐานทัพอัยนุลอัสซาด โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ เมื่อศัตรูได้พบกับความจริงเหล่านี้ ก็จะต้องยอมรับในศักยภาพและขีดความสามารถในการป้องกันประเทศของอิหร่าน ทั้งจากการคิดคำนวณและการตัดสินใจ”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้กล่าวถึงประเด็นที่มีการกล่าวหลายครั้งในความคิดเห็นของสาธารณชน นั่นคือ ประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์ การไม่ปฏิบัติตามพันธสัญญาบางประการและการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม อีก 20% โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประเด็นเหล่านี้ มีการพูดคุยกันว่าพวกสหรัฐจะกลับเข้าสู่ข้อตกลงหรือไม่กลับนั้น สาธารณรัฐอิสลามต่างเห็นว่าจะไม่คะยั้นคะยอหรือเร่งรีบให้พวกเขากลับเข้าสู่ข้อตกลงอีกครั้ง แต่ทว่าข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของเราก็คือ การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด และการคืนสิทธิที่ถูกริดรอนของประชาชาติอิหร่าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกสหรัฐและพวกยุโรปที่จะต้องปฏิบัติ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “หากมีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร นั่นหมายความว่าสหรัฐฯจะกลับเข้าสู่ข้อตกลงได้ แน่นอนว่าปัญหาเรื่องความเสียหาย ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องของเราก็จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป แต่หากไม่มีการยกเลิกการคว่ำบาตร การกลับเข้าสู่ข้อตกลงของสหรัฐ อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศก็ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในกรณีเหล่านี้ ได้มีการแจ้งให้บรรดาเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติรับทราบ ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการด้วยความถูกต้องและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างครบถ้วน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตัดสินใจของรัฐสภาและการดำเนินการของรัฐบาลในการยกเลิกพันธสัญญาบางส่วนในข้อตกลงนิวเคลียร์ เป็นการกระทำที่ถูกต้องและมีเหตุผลอย่างสมบูรณ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “สาธารณรัฐอิสลามได้ปฏิบัติตามพันธสัญญาทุกประการ แต่ฝ่ายตรงกันข้ามกลับไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวเลย ซึ่งไม่มีความหมายใดๆที่สาธารณรัฐอิสลามจะต้องยืนหยัดในข้อตกลงอีกต่อไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ถ้าหากพวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลง เราก็จะกลับเข้าด้วยเช่นกัน ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวในตอนเริ่มต้นของข้อตกลงนิวเคลียร์แล้วว่า การดำเนินการทั้งหลายจะต้องมีความสอดคล้องกัน ทั้งการกระทำและพันธสัญญาของพวกเขาต้องสอดคล้องกับการกระทำและพันธสัญญาของเรา ซึ่งในช่วงแรกไม่ได้มีการปฏิบัติและในขณะนี้จะต้องนำมาปฏิบัติ”
อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวถึง คือการไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างการบริหารจัดการของบรรดาเยาวชนที่มีแรงจูงใจและมีทักษะในการทำงาน กับการใช้ประโยชน์จากบุคคลที่มีประสบการณ์ และเคยผ่านงานมาแล้ว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ให้เห็นถึงการเผยแพร่ส่วนหนึ่งของคำพูดของท่านในรายการทีวี รายการหนึ่ง โดยท่านได้เน้นถึง “การจัดตั้งรัฐบาลโดยเยาวชนฮิสบุลลอฮ์ และการใช้ประโยชน์จากบุคคลที่มีประสบการณ์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ทั้งสองกรณีนี้ ไม่มีความขัดแย้งกันแต่อย่างใด เพราะว่า ตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา ข้าพเจ้าต่างเชื่อมั่นว่า การพึ่งพายังพลังของเยาวชนนั้น หมายถึง การไว้วางใจพวกเขา และการใช้ประโยชน์จากพวกเขาในการบริหารจัดการในบางส่วนที่สำคัญของประเทศและการยอมรับการมีนวัตกรรม แรงจูงใจและความกระตือรือร้นของพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “จะต้องมีการใช้ประโยชน์จากบรรดาเยาวชนและเด็กๆทั้งหลายในประเทศ ทั้งในการทำงาน การสร้างจิตวิญญาณและการมีความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา แต่ไม่ได้หมายถึงการกำจัดกลุ่มคนรุ่นก่อน ซึ่งเราจำเป็นในสถานที่หนึ่งจะต้องมีผู้บริหารที่เป็นเยาวชนและอีกสถานที่หนึ่งมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ ดั่งเช่นในสมัยของท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ส่วนในกรณีที่เกี่ยวกับรัฐบาลแห่งเยาวชนที่มีอุดมการณ์ฮิสบุลลอฮ์นั้น ข้าพเจ้าจะขอกล่าวอีกครั้งในเวลาที่ใกล้จะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดี”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงชะฮีด นายพลสุไลมานี โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนอย่างยิ่ง บางคนที่อยู่ในวัยกลางคนก็เสมอเหมือนดั่งเยาวชนเช่นกัน เหมือนท่านชะฮีดสุไลมานี ที่มีอายุ 60 ปี แต่ท่านนั้นไม่ได้มีความหวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย ทั้งความพยายามและการขับเคลื่อนของท่านนั้นมีอยู่มากมาย แต่จะเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก หากได้รับทราบมัน”
ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้กล่าวถึงประเด็นการแพร่ระบาดโรคโคโรน่า
ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องในการผลิตวัคซีนป้องกันโคโรนาที่ได้รับการทดสอบ โดยถือว่า วัคซีนนี้ได้สร้างความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติให้แก่ประเทศและท่านผู้นำยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ปฏิเสธในทุกการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาได้ปฏิเสธความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “หลายปีที่แล้ว ขณะที่บรรดาเยาวชนของประเทศได้ผลิตเครื่องหมุนเหวี่ยงนิวเคลียร์ นักวิชาการกลุ่มหนึ่งก็ได้เขียนจดหมายถึงข้าพเจ้าว่า ขอให้ท่านนั้นไม่ถูกหลอกลวงจากข้ออ้างเหล่านี้ และเช่นเดียวกัน หลังจากการประสบความสำเร็จของท่านมัรฮูม กาซิมี และเหล่าเยาวชน ผู้ที่ร่วมงานกับเขาในการผลิตสเต็มเซลล์ก็ได้รับข้อความที่คล้ายคลึงกันนี้ แต่การพัฒนาก้าวหน้าเหล่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่เชื่อถือได้อย่างแท้จริงและหลังจากนั้นก็มีความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้นอีกถึง 10 เท่าด้วยกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวประกาศสั่งห้ามการนำเข้าวัคซีนของอเมริกาและอังกฤษเข้ามาในประเทศอีกด้วย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หากพวกสหรัฐนั้นมีความสามารถผลิตวัคซีนได้จริง สถานการณ์ที่ย่ำแย่จากการแพร่ระบาดโรคไวรัสโคโรน่าก็จะไม่เกิดขึ้นในประเทศของพวกเขาหรอก ซึ่งมีผู้เสียชีวิตในแต่ละวันประมาณ 4,000 คน ด้วยกัน ขณะเดียวกันพวกเขานั้นไม่น่าไว้วางใจและบางครั้งพวกเขาได้ใช้วัคซีนเพื่อการทดลองกับประชาชาติต่างๆ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ข้าพเจ้านั้นไม่ได้มีวิสัยทัศน์ที่ดีต่อพวกฝรั่งเศสเช่นกัน เพราะว่าพวกเขามีประเด็นที่เปรอะเปื้อนเลือด แต่การจัดเตรียมวัคซีนจากประเทศอื่นนั้น มิได้มีปัญหาแต่อย่างใด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดูแลสุขภาพของประชาชนต่อไปและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายเพื่อจัดการกับโคโรน่า โดยท่านกล่าวว่า “บางประสบการณ์ที่ดี ประสบความสำเร็จและผ่านการทดสอบจากยาที่ใช้รักษาโรคโคโรน่า ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาเจ้าหน้าที่ต่างก็ยอมรับ และกรณีเหล่านี้จะต้องไม่มีการปฏิเสธ แต่จะต้องมีการตรวจสอบอีกด้วย”
ในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงประชาชาติอิหร่าน ประชาชนชาวเมืองกุมและสถาบันศึกษาศาสนา โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อวานนี้ อิหร่านอยู่ภายใต้ร่มเงาของเอกภาพ ความมุ่งมั่น การมีศาสนา การปรากฏตัว และการต่อสู้ในเวลาที่เหมาะสม สามารถเปลี่ยนวิถีของโลกและประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้ ด้วยการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่นี้ และในปัจจุบัน ประชาชาติด้วยความขีดสามารถ การมีประสบการณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากขึ้น สามารถเอาชนะเหนืออุปสรรคทั้งหมดในด้านเศรษฐกิจ เช่น การผลิต ค่าสกุลเงินของประเทศและปัญหาทางด้านวัฒนธรรม การเมืองและการทหาร”