ประธานรัฐสภา และบรรดาสมาชิกรัฐสภา เข้าพบปะกับท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ด้วยการสื่อสารทางวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยท่านผู้นำถือว่า รัฐสภาสมัยที่ 11เป็นการแสดงออกถึงการมีความหวังและความคาดหวังของประชาชน และท่านยังได้เน้นถึงการมีโครงสร้างอันแข็งแกร่งและศักยภาพทางวัตถุของประเทศ ขีดความสามารถทางด้านจิตวิญญาณและความศรัทธาของประชาชน โดยท่านกล่าวว่า “เรานั้นเชื่อมั่นว่าปัญหาที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น จะได้รับการแก้ไขและรัฐสภานี้ก็จะต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาต่างๆ โดยหลีกเลี่ยงให้ออกจากประเด็นปลีกย่อย ทั้งยังมีการทำงานอย่างบริสุทธิ์ใจเพื่อประชาชนในกระบวนการแก้ไขปัญหาอย่างที่สามารถสัมผัสได้”
และเช่นเดียวกัน ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เนื่องจากการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโคโรน่า โดยท่านได้เรียกร้องให้ทุกๆคนต้องปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติด้านสุขภาพอย่างเต็มที่ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชนจะต้องเติมเต็มประเทศอีกครั้งในการให้ความช่วยเหลือต่อกลุ่มชนที่ด้อยโอกาสและครอบครัวที่มีความต้องการ ด้วยกับการขยายวงกว้างของขบวนการในการช่วยเหลือ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนจำนวนมากในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลำบากและการโฆษณาชวนเชื่อของศัตรูที่น่าผิดหวัง แสดงให้เห็นถึงความหวังและความคาดหวังของประเทศในการแก้ไขปัญหา และท่านผู้นำยังได้ให้ข้อตักเตือนกับบรรดาสมาชิกรัฐสภาโดยกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายนั้น จะต้องรู้ถึงคุณค่าของสถานภาพที่สำคัญเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รัฐสภาสมัยที่ 11 เป็นสภาที่มีความแข็งแกร่งที่สุดและมีความเป็นนักการปฏิวัติอิสลามมากที่สุด ภายหลังจากการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การมีส่วนร่วมของบรรดาเยาวชนที่เต็มไปด้วยกับแรงจูงใจ ความศรัทธา ความสามารถ การศึกษาและการมีประสิทธิภาพ ที่พวกเขาเหล่านั้นอยู่เคียงข้างบรรดาผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในการทำงาน และบรรดาผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ในการเป็นสมาชิกรัฐสภามาก่อน ก็จะทำให้สภาสมัยที่ 11นี้ กลายเป็นสภาที่ดีเป็นอย่างมากและมีความหวังอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้แสดงความพึงพอใจต่อการอ่อนไหวของสภาสมัยที่ 11 ที่มีต่อประเด็นในการปฏิวัติอิสลามและการจัดตั้งประธานคณะกรรมาธิการและคณะกรรมาธิการต่างๆอย่างรวดเร็ว โดยท่านกล่าวเสริมว่า “โอกาสของการเป็นสมาชิกรัฐสภาในระยะเวลา 4 ปี ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการดำเนินการขับเคลื่อนประเทศและจะส่งผลอย่างมากมายในกระบวนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งความก้าวหน้าและอนาคตของอิหร่าน”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้กล่าวเปรียบเปรยว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆมากมายในประเทศ เหมือนดั่ง ความเจ็บป่วยและการเป็นโรค ในขณะเดียวกัน ท่านก็ได้เน้นย้ำว่า “ด้วยกับโครงสร้างที่แข็งแกร่งและการมีพลังอำนาจในการป้องกันประเทศ จะทำให้ประเทศได้รับชัยชนะเหนือโรคนี้ได้อย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย ในขณะที่เหล่าศัตรูต่างยอมรับว่า วันนี้ แม้แต่มีมาตรการคว่ำบาตรอย่างรุนแรงและความกดดันในทุกด้านก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายในการต่อต้านอิหร่านได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัญหาเงินเฟ้อ การลดค่าสกุลเงินแห่งชาติ สินค้าราคาแพงอย่างไม่สมเหตุสมผล ปัญหานายหน้าและปัญหาอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากการคว่ำบาตรทั้งสิ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ยากลำบากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวอธิบายถึงขีดความสามารถของประเทศ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การจัดตั้งบริษัทความรู้ขั้นพื้นฐาน การดำเนินการหลายร้อยโครงการในโครงสร้างพื้นฐาน การใช้ประโยชน์จากโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ความก้าวหน้าอันน่าทึ่งในอุตสาหกรรมทางการทหารและความสำเร็จที่น่าชื่นชมในประเด็นอวกาศ ทั้งหมดนี้นั้น เป็นผลที่จะได้รับจากการใช้ศักยภาพอันมากมายของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ศักยภาพทางด้านจิตวิญญาณของประเทศ คือ สิ่งที่มีรากฐานอยู่ในความศรัทธาทางศาสนาและการปฏิวัติอิสลามของประชาชน จะทำให้ศักยภาพต่างๆมากมายทางธรรมชาติ ทางภูมิศาสตร์และทางประวัติศาสตร์นั้นมีความสมบูรณ์แบบ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จะต้องให้ความสนใจและใช้ประโยชน์จากศักยภาพทางด้านจิตวิญญาณที่ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างมากทีเดียว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าส่วนร่วมอย่างตรงเวลา และการเสียสละของประชาชนในการเผชิญกับคลื่นลูกแรกของไวรัสโคโรน่า การให้บริการที่มีคุณค่าอย่างมากของประชาชาติในกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือต่อครอบครัวที่ด้อยโอกาส และ การเข้าร่วมของประชาชนอย่างมากมายในการส่งศพนายพลสุไลมานี ทั้งหมดนี้คือ ตัวอย่างของศักยภาพทางด้านจิตวิญญาณอันลึกซึ้งของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “ประชาชนได้เทอดเกียรติต่อการสำแดงในอำนาจแห่งชาติและการต่อสู้ของชาวอิหร่าน กล่าวคือ ชะฮีดสุไลมานี ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขานั้นมีความศรัทธาในการต่อสู้และการยืนหยัดต้านทานในการเผชิญหน้ากับชาติมหาอำนาจ และการให้คุณค่าที่สูงส่งต่อวีรบุรุษแห่งชาติของพวกเขาอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวรำลึกถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการรับมือกับภัยพิบัติ เช่นในเหตุการณ์เมื่อปี 1378 (2521) และ1388 ( 2531) โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติได้ทำให้ศัตรูต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อประชาชาติได้เผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวในการต่อต้านรัฐอิสลาม ในทุกๆรูปแบบ และการมีศักยภาพและขีดความสามารถที่มากกว่านี้สำหรับประเทศหนึ่งนั้นจะเป็นไปได้กระนั้นหรือ?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ ได้กล่าวในบทสรุปของการปราศรัยในส่วนนี้ โดยท่านถือว่า “ส่วนหนึ่งของปัญหาที่มีอยู่ ล้วนเกิดขึ้นมาจากความเพิกเฉยและการขาดความเอาใจใส่ของบรรดาเจ้าหน้าที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากแนวคิดของการพึ่งพาตนเองและความเชื่อมั่นต่อชาติ โดยเฉพาะในหมู่เยาวชน ดั่งที่ได้มีการขยายวงกว้าง และการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างอันแข็งแกร่งของประเทศและการทำให้เกิดความอ่อนแอในความหวังที่ผิดพลาดและการตั้งเงื่อนไขในเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งข้าพเจ้านั้นเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าปัญหาทางเศรษฐกิจ จะได้รับการแก้ไข”
หลังจากนั้น ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ก็ได้ให้คำแนะนำแก่บรรดาสมาชิกสภาสมัยที่ 11
“การมีเจตนาอันบริสุทธิ์ใจต่อพระเจ้า การทำงานเพื่อประชาชน และการออกห่างจากการสร้างบรรยากาศ” คือ คำแนะนำประการแรกของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ที่มีต่อบรรดาสมาชิกรัฐสภา
คำแนะนำอีกประการหนึ่งของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ที่เกี่ยวกับพิธีการสาบานตนของบรรดาสมาชิกรัฐสภา โดยท่านกล่าวว่า “การกล่าวสาบานตนของบรรดาเจ้าหน้าที่ในการเริ่มต้นการทำงานของสภา คือ การสาบานทางหลักศาสนบัญญัติ และด้วยเหตุนี้ จะต้องมีความจริงจังในการปกป้องสิทธิของอิสลามและการป้องกันผลผลิตของการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวในคำแนะนำประการที่สาม โดยท่านได้เน้นย้ำถึงประเด็นการให้ความสนใจในประเด็นสำคัญของประเทศ การหลีกเลี่ยงจากการให้ความสำคัญในประเด็นปลีกย่อย และการจัดลำดับความสำคัญในประเด็นปลีกย่อย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในสถานการณ์ปัจจุบัน ประเด็นหลักของประเทศในด้านเศรษฐกิจ คือ การผลิต การสร้างงาน การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การจัดการระบบการเงินและสถาบันการเงิน และการไม่พึ่งพารายได้ของประเทศด้วยการขายน้ำมัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงประเด็นปัญหาสังคม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประเด็นสถานที่อยู่อาศัย ถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างมากและเป็นปัญหาหลัก ปัญหาการแต่งงานของเยาวชนทั้งหลายและวิธีการที่อำนวยความสะดวกให้กับพวกเขา ปัญหาในการคลอดบุตรและการออกห่างจากการขับเคลื่อนประเทศไปยังการสูงอายุของประชากร ปัญหาของการบริหารสื่อออนไลน์ในระยะสั้นและระยะกลาง คือ อีกปัญหาหลักของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เสนอคำแนะนำประการที่สี่แก่บรรดาสมาชิกรัฐสภา สมัยที่ 11 คือ การมีปฏิสัมพันธ์และการทำงานร่วมมือกันของสภาทั้งหลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แผนทั่วไปของการมีปฏิสัมพันธ์ของสภาทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากหน่วยงานบริหารจัดการและสภาตุลาการสูงสุด ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาอย่างละเอียดและดำเนินการอย่างสมบูรณ์แบบ และจะไม่อนุญาตให้มีการล่าช้าในประเด็นเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “การมีปฏิสัมพันธ์ของรัฐสภานี้ ก็จะต้องมีการพิจารณาในญัตติ ศักยภาพ และความเป็นจริงของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงประเด็นการมีปฏิสัมพันธ์ของสภาทั้งหลายโดยกล่าวกับบรรดาสมาชิกรัฐสภาว่า “ความสัมพันธ์ของรัฐสภากับรัฐบาล จะต้องเป็นไปตามกฎหมายและหลักศาสนบัญญัติ ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีคำถามและการตรวจสอบในฐานะที่เป็นสิทธิของรัฐสภา แต่ทว่าการดูหมิ่น การพูดจาว่าร้ายและใส่ร้าย และการให้ความสัมพันธ์กับรัฐบาลโดยปราศจากความรู้ ถือว่าเป็นสิ่งที่จะไม่อนุญาตเป็นอันขาด และบางส่วนก็ถือว่าเป็นที่ต้องห้ามทางด้านหลักศาสนบัญญัติ”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ยังตั้งได้ข้อสังเกตว่า “การปรากฏตัวของบรรดารัฐมนตรีในช่วงเดือนแรกๆของการทำงานของรัฐสภาและการนำเสนอรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศนั้น เป็นสิ่งที่ดีอย่างมาก แต่ทว่า บรรดารัฐมนตรีเหล่านั้น จะไม่ต้องถูกดูหมิ่นหรือถูกใส่ร้าย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “จะต้องหลีกเลี่ยงจากการเผชิญหน้ากันทางอารมณ์และการไม่มีตรรกะ และการแสดงความคิดเห็นและทัศนคติของฝ่ายตรงกันข้ามที่มั่นคง แข็งแกร่งและว่าด้วยเหตุและผล”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเกี่ยวกับความร่วมมือกันของรัฐสภากับสภาอื่นๆ โดยท่านระบุว่า “ประชาชนนั้นมีความคาดหวังในรัฐสภาและอีกสองสภา ที่จะต้องแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงและการติดตามผลของมัน และการออกห่างจากการโต้เถียงและการสร้างความตึงเครียดในระหว่างสภาทั้งหลาย ซึ่งทุกๆคนก็จะต้องรับรู้ว่าบรรยากาศในความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับบรรดาหัวหน้าของหน่วยงานต่างๆนั้น จะทำให้สาธารณชนได้รับความเสียหายและเป็นสิ่งน่าเศร้าใจอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเป็นเอกภาพและความสามัคคีในประเทศและการมีเสียงเดียวกัน ในการเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูที่กว้างขวาง คือ ภารกิจหน้าที่ของบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหมดทุกคนและสภาทั้งหลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในวันนี้ ฝ่ายศัตรูที่มีความชั่วร้ายที่สุดและน่ารังเกียจที่สุด คือ สหรัฐ ที่พวกเหล่านี้ได้ใช้ทุกขีดความสามารถทั้งหมดทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขาในการทำให้ประชาชาติอิหร่านที่แข็งแกร่งต้องยอมคุกเข่าศิโรราบ และในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะมีความแตกต่างทางด้านรสนิยมและความคิดเห็นในประเทศ แต่เราจะต้องร่วมมือกันและพูดเป็นเสียงเดียวกันในการเผชิญหน้ากับศัตรูที่พูดจาไร้สาระ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บทบาทในการตรวจสอบของรัฐสภา เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บทบาทดังกล่าวนี้ จะต้องมีความมั่นคง การใช้สติปัญญา และการไม่ออกห่างจากกรอบที่ได้กำหนดไว้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงปีสุดท้ายของรัฐบาล โดยท่านกล่าวว่า “ปีสุดท้ายของรัฐบาล มักจะเป็นปีที่มีความอ่อนไหวและจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความอ่อนแอในการติดตามปัญหาต่างๆ และด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้านั้นเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลทั้งหลายจะต้องทำงานในหน้าที่ จนกระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย และหลังจากการสิ้นสุดของรัฐบาลสมัยนั้น ก็จะต้องส่งมอบให้กับรัฐบาลอื่นต่อไปในสภาพที่มีความมั่นคง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “ในสถานการณ์ที่มีความอ่อนไหวในปีสุดท้ายของรัฐบาล และเช่นกัน ในปีแรกของรัฐสภา ซึ่งทั้งสองสภา จะต้องมีการบริหารจัดการบรรยากาศในลักษณะที่ไม่เป็นอันตรายต่องานสำคัญของประเทศ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ศูนย์วิจัยของรัฐสภาและศูนย์ตรวจสอบในการปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา เป็นสองศูนย์กลางที่สำคัญอย่างมาก โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์สูงสุดจากวิสัยทัศน์ของผู้เชี่ยวชาญในศูนย์วิจัยแห่งนี้”
ในส่วนสุดท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าและการเสียชีวิตรายวันของผู้ป่วยจำนวนมาก เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง และท่านผู้นำยังกล่าวยกย่องการให้บริการที่ยอดเยี่ยมและการเสียสละของบรรดาเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ซึ่งบางคนกำลังป่วยด้วยโรคร้ายนี้ เนื่องจากการให้บริการประชาชน หรือบางคนก็เสียชีวิต โดยท่านผู้นำ กล่าวว่า “ถึงจะมีให้บริการต่างๆเหล่านี้ แต่ทว่าการกระทำที่ง่ายดาย เช่น บางคนที่ไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งข้าพเจ้านั้นรู้สึกละอายใจยิ่งนักต่อแพทย์และพยาบาล ผู้ให้บริการพวกเขาที่ได้เสียสละในการให้บริการประชาชนทั้งหลาย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความเป็นจริงอันขมขื่นของการออกห่างของประเทศจากความสำเร็จในครั้งแรกในการเผชิญหน้ากับไวรัสโคโรน่า ซึ่งท่านผู้นำได้กล่าวกับทุกหน่วยงานและกลุ่มต่างๆที่ให้บริการและประชาชนทุกคน โดยท่านได้เน้นว่า “ทุกๆคนจะต้องปฏิบัติตามบทบาทของตนเองอย่างดีที่สุด และในระยะสั้น ก็จะต้องมีการลดในการแพร่ระบาด และการนำประเทศให้รอดพ้นจากโรคร้ายนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีส่วนร่วมอย่างมากมายของประชาชนในการเคลื่อนไหวเพื่อบริการประชาชนในช่วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่มีคุณค่าและการแก้ไขปัญหาในการดำรงชีพของกลุ่มชนที่ด้อยโอกาส โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเคลื่อนไหวในการช่วยเหลือ จะต้องมีการพัฒนาต่อไปอย่างกว้างขวาง และผู้ใดก็ตามที่มีความช่วยเหลือและดูแลในทุกวิถีทางที่เขาสามารถจะกระทำได้ เพื่อไม่ให้มีผู้ที่มีต้องการนั้นตกหล่นไป”
ในท้ายที่สุด ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ขอพรจากพระเจ้า พระผู้ทรงสูงส่ง ให้กับทุกๆคน โดยเฉพาะเยาวชนทั้งหลาย เพื่อขจัดความชั่วร้ายให้ออกไปจากพวกเขาทั้งหมด
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นาย กอลีบอฟ ประธานรัฐสภาฯได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติและแบบแผนงานของรัฐสภา โดยระบุว่า “เป้าหมายหลักของบรรดาเจ้าหน้าที่ คือ การแก้ไขปัญหาของประชาชนและการเปลี่ยนแปลงสภาเป็นองค์กรแห่งการปฏิวัติอิสลาม โดยประธานรัฐสภา กล่าวว่า “การปรับปรุงโครงสร้างงบประมาณ การจัดระบบภาษี การสนับสนุนกลุ่มชนที่ด้อยโอกาส การขจัดอุปสรรคในการมุ่งหน้าสู่การผลิต" และการเปลี่ยนแปลงทางด้านการค้าระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้คือ แกนหลักของการเปลี่ยนแปลงของรัฐสภาสมัยที่ 11 ทางด้านเศรษฐกิจ
นาย กอลีบอฟ ถือว่า การจัดระเบียบในกิจการของบรรดาเจ้าหน้าที่และการปกป้องพวกเขา ความโปร่งใสในกระบวนการทางกฎหมาย และความสนใจพิเศษในการตรวจสอบข้อกฎหมาย คือ อีกแบบแผนของโครงงานของรัฐสภา
ประธานรัฐสภาฯ ยังได้เน้นย้ำว่า “การพูดถึงในประเด็นปลีกย่อยที่จะทำให้ปัญหาของประชาชนนั้นไม่ได้รับการแก้ไข ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาด” และเขายังเน้นถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันกับสภาทั้งหลายอีกด้วย