ประชาชนทุกหมู่เหล่าหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีโดยท่านผู้นำถือว่า การเดินขบวนในวันที่ 22 เดือนบะห์มันและการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภานั้น เป็นสองบททดสอบอันยิ่งใหญ่ และท่านผู้นำยังได้อธิบายถึงคุณสมบัติที่เหมาะสมของผู้สมัครสมาชิกรัฐสภา และท่านยังถือว่า การเข้าร่วมกันอย่างมากมายของประชาชาติและด้วยกับการมีความเข้าใจของประชาชนทุกคนในการเลือกตั้งวันที่ 2 เดือนอิสฟันด์นั้น มีผลต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศและระหว่างประเทศ โดยท่านยังได้เน้นย้ำว่า “ผู้ใดก็ตามที่มีเขานั้นความรักและห่วงใยต่อความมั่นคงและเกียรติยศของอิหร่าน รวมถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆ เขานั้นก็จะต้องเข้าร่วมในการลงคะแนนเสียงเพื่อที่จะทำให้เจตนามุ่งมั่นของชาวอิหร่านได้ประจักษ์ขึ้นอีกครั้ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า แผนการสันติภาพตะวันออกกลางของสหรัฐฯที่เรียกกันว่า “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” นั้นเป็นแผนการที่โง่เขลาและชั่วร้ายและจะต้องพบกับความล้มเหลวอย่างแน่นอน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “วิธีการเผชิญหน้ากับแผนการนี้ก็คือ การยืนหยัดและการต่อสู้อย่างกล้าหาญของประชาชาติและขบวนการต่างๆของปาเลสไตน์ที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากโลกอิสลามและวิธีการเยียวยาหลักในปัญหาปาเลสไตน์ ก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลที่ประชาชนชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดทุกคนเป็นผู้คัดเลือกด้วยตัวของพวกเขาเอง โดยที่มีการลงประชามติแบบทั่วไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สัปดาห์แห่งสิบวันแห่งรุ่งอรุณ(ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม) คือ สัปดาห์ที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใดและการสำแดงถึงอำนาจและเจตนามุ่งมั่นของประชาชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชาติอิหร่านในช่วงสิบวันแห่งรุ่งอรุณ ด้วยกับการมีเจตนามุ่งมั่นของตนและการชี้นำของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ทรงเกียรติ ในฐานะผู้นำที่ไม่เหมือนผู้ใดในโลก ได้ทำให้โครงสร้างที่เก่าแก่และชั่วร้ายในหลายพันปีของระบอบทรราช จอมเผด็จการ ผู้ฉ้อฉลที่ชั่วร้าย การปกครองของต่างชาติ และการไม่สนใจต่อสิทธิของประชาชนถูกคว่ำลงและมีการสถาปนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเข้ามาแทนที่”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การจัดเลือกตั้งต่างๆ นับจากช่วงเริ่มต้นในชัยชนะการปฏิวัติอิสลาม จนถึงปัจจุบัน แสดงถึงการมีความมั่นคงของรัฐอิสลามด้วยกับคะแนนเสียงของประชาชน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่ารัฐอิสลาม นอกเหนือจากความเป็นประชาชนแล้ว ยังมีความเป็นศาสนาเข้าร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เอง ประชาธิปไตยในอิหร่าน จึงเป็นประชาธิปไตยในรูปแบบอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ถือว่า การอบรมบุคคลเฉกเช่น ชะฮีดสุไลมานี บรรดาทหารในยุคสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และการป้องกันฮะรอม (สถานศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา)ทั้งการมีจิตวิญญาณอันแข็งกล้าและการยืนหยัดของครอบครัวทั้งหลายของบรรดาชะฮีด คือ ผลลัพท์ของระบอบการปกครองแบบศาสนา โดยท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “หนึ่งในคุณลักษณะเด่นชัดของชะฮีดสุไลมานี คือ การรักษาคำมั่นสัญญาและการมีความศรัทธา ในเวลาที่ความศรัทธานั้นอยู่ควบคู่กับการประพฤติคุณงามความดี รวมถึงการมีจิตวิญญาณในการต่อสู้ จึงทำให้มีบุคคลเช่นชะฮีดสุไลมานีเกิดขึ้น แม้แต่ศัตรูเองก็ยังได้ยกย่องในบุคลิกภาพอันพิเศษของท่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ต่อถึงการเดินขบวนทั่วประเทศในวันที่ 22 เดือนบะห์มัน ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชาติอิหร่าน ในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเกิดอากาศหนาวและเยือกเย็นปานใด พวกเขาก็จะเข้าร่วมในการเดินขบวนวันที่ 22 บะห์มันอย่างยิ่งใหญ่ และยังได้ทำให้ประชาคมโลกประจักษ์ชัดถึงการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งข้าพเจ้าก็ต้องขอกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจต่อประชาชาติอิหร่านทุกคน มา ณ ที่นี้ด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ช่วงเวลาวันที่ 22 บะห์มันของปีนี้ ประจวบเหมาะกับช่วงสี่สิบวันของการเป็นชะฮีดของนายพลกอเซ็ม สุไลมานี เป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ประชาชนนั้นมีแรงจูงใจที่เพิ่มมากขึ้น โดยท่านผู้นำยังได้เน้นว่า “หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ ด้วยกับการเข้าร่วมของประชาชาติอิหร่านในการเดินขบวนครั้งยิ่งใหญ่ในวันที่ 22 บะห์มันนี้ จะเป็นการตบหน้าอย่างสาสมต่อนโยบายของศัตรูอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่าน โดยท่านได้ชี้ถึงการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาในวันที่ 2 เดือนอิสฟันด์ เป็นการเลือกตั้งของประเทศชาติและประชาชาติ ซึ่งเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่และเป็นภัยคุกคามให้กับเหล่าศัตรูอีกด้วย โดยท่านผู้นำยังกล่าวเสริมว่า “การจัดเลือกตั้งอย่างยิ่งใหญ่และการเข้าร่วมลงคะแนนเสียงอย่างมากมายของประชาชนทุกคนนั้นจะเป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับประเทศ เพราะว่าเหล่าศัตรูต่างหวาดกลัวต่อการสนับสนุนของประชาชนที่มีต่อรัฐมากกว่าการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์เสียอีก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเลือกตั้ง คือ การแสดงถึงความยิ่งใหญ่ การมีพลังอำนาจและการมีบะศีเราะฮ์(การรู้แจ้งเห็นจริง) ของประเทศชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศ ล้วนแล้วแต่มาจากมาตรการคว่ำบาตรทั้งสิ้น และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การทำงานต่างๆที่ลดน้อยลง แต่ด้วยกับการมีปัญหาเหล่านี้ ประชาชนก็จะออกมาสู่สนามในการเลือกตั้งเพื่อรักษาเกียรติและความมั่นคงของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ถือว่า การเลือกตั้งนั้นมีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาต่างๆระหว่างประเทศได้ด้วยเช่นกัน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การตัดสินใจของเหล่าผู้สังเกตุการณ์ระหว่างประเทศที่มีต่อประเทศนั้นๆก็มีผลต่อประเด็นต่างๆ เช่น อัตราในการเข้าร่วมของประชาชนในการเลือกตั้ง วิธีการในการเข้ามาปฏิบัติงานของบรรดาเจ้าหน้าที่และหน่วยงานต่างๆเช่น รัฐสภา เป็นต้น ฉะนั้น การเข้าร่วมกันอย่างมากมายของประชาชนในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาจึงมีความจำเป็นอย่างมากในมุมมองนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกรัฐสภาก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้ามาของแนวความคิดใหม่ๆและวิธีการใหม่ในการตัดสินใจของประเทศ โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “โดยเฉพาะในเวลาที่ประชาชนเลือกผู้ที่มีความเหมาะสม ก็จะเกิดวิสัยทัศน์และวิธีการใหม่เกิดขึ้นในกระบวนการในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศและประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเลือกตั้งในมิติทั่วไป คือ ประเด็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของประเทศ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประเด็นเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความก้าวหน้าของประเทศ ประเด็นเหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก แต่พื้นฐานหลักของประเด็นทั้งหมดเหล่านี้ คือ ประเด็นการเลือกตั้ง เพราะว่า หากว่าการเลือกตั้งทั่วไปมีความเข้มแข็งและถูกต้องชอบธรรม ก็จะทำให้ปัญหาต่างๆทั้งหมด จะคลี่คลายลงทีละเล็กทีละน้อยอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังรู้สึกเสียใจและกล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อบางคำพูดที่เป็นการทำลายการเลือกตั้ง โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “ในขณะที่การเลือกตั้งในมิติต่างๆนั้นมีความสำคัญและมีผลอย่างมาก ก็จะต้องไม่มีคำพูดใดๆที่เป็นการบ่อนทำลายในการเลือกตั้งด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความพยายามอย่างต่อเนื่องของเหล่าศัตรูของอิหร่านในการสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ขณะที่บางสื่อของต่างชาติ ผู้ทรยศ เรียก ประชากรอันยิ่งใหญ่หลายล้านคนนั้นเป็นเพียงหลายพันคน แต่ยังบอกว่าการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ร้อยคนตามท้องถนนนั้นเป็นประชาชาติอิหร่าน แน่นอนว่า ประชาชนก็จะไม่ไว้วางใจต่อสื่อจำพวกนี้ แต่ด้วยกับเงื่อนไขที่ว่าในประเทศนั้นจะต้องไม่มีการเผยแพร่สื่อเหล่านี้ในทางที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “เหล่าผู้พูดที่พวกเขานั้นมีกระบอกเสียงหรือโดยผ่านจุดยืนของพวกเขา ที่พวกเขาสามารถพูดตามสื่อต่างๆหรือในสังคมออนไลน์ พวกเขานั้นไม่ควรแสดงความคิดเห็นที่จะทำให้ศัตรูเอาไปขยายความเพื่อสร้างความหมดหวังให้กับประชาชนได้เป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเลือกตั้งในอิหร่าน เป็นการเลือกตั้งที่มีความปลอดภัยมากที่สุดจากการเลือกตั้งในโลก และท่านผู้นำยังกล่าวถึงผู้ที่บ่อนทำลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เวลาที่พวกท่านพูดจาโกหกว่า การเลือกตั้งนี้มีการออกแบบหรือไม่ใช่การเลือกตั้ง แต่เป็นการแต่งตั้งก็จะทำให้ประชาชนต้องหมดหวัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังรู้สึกประหลาดใจที่บางคำพูดของบางคนไปถึงเป้าหมายโดยผ่านประเด็นการเลือกตั้งและยังทำให้เกิดคำถามในการเลือกตั้ง โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “จะเป็นอย่างไรกันหรือในเมื่อการเลือกตั้งนั้นมีผลประโยชน์กับพวกท่าน พวกท่านก็บอกว่า เป็นการเลือกตั้งที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ แต่ในเวลาใดก็ตามที่การเลือกตั้งนั้นไม่มีผลประโยชน์กับท่าน พวกท่านก็บอกว่าการเลือกตั้งนั้นเป็นโมฆะ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ในระหว่างการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ได้มีบางคนเขียนจดหมายมาหลายครั้งว่า มีการทุจริตหรือการเลือกตั้งนั้นมีปัญหา ข้าพเจ้าก็ตั้งคณะกรรมการเพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง และหลังจากนั้น ก็เป็นที่กระจ่างว่า รายงานและจดหมายเหล่านี้ไม่มีความถูกต้องเลย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “เรานั้นไม่สามารถฟ้องร้องต่อศัตรูได้ แต่นักเขียนบางคนที่เกี่ยวข้องกับโลกออนไลน์ สมาชิกรัฐสภาหรือเจ้าหน้าที่รัฐฯบางคน จะต้องมีความระมัดระวังและไม่ใช่ว่า เราบอกว่า ประชาชนจงเข้ามาร่วมในการเลือกตั้ง แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นข้อผิดพลาดในคำพูดของพวกเราที่จะทำให้ประชาชนต้องหมดหวังจากการเข้าร่วมในการเลือกตั้ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การโจมตีสภาผู้พิทักษ์รัฐธรรรมนูญเป็นการกระทำที่ผิดพลาดที่สุด โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สภาพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยนักนิติศาสตร์ 6 คน ที่มีความยุติธรรม และนักกฏหมายอีก 6 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจากรัฐสภา มีบทบาทที่สำคัญในรัฐธรรมนูญ ทั้งยังเป็นองค์กรที่เชื่อถือได้ และจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่มนุษย์จะกล่าวหาต่อองค์กรนี้ว่ามีความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับบางบุคคล”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ในการปราศรัยของท่านในการนมาซวันศุกร์ครั้งล่าสุดที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอิหร่านในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูต่างชาติที่ไร้ซึ่งความเมตตา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “รัฐสภาที่แข็งแกร่งนั้น เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่จะทำให้อิหร่านมีความแข็งแกร่งและการจัดตั้งสภาที่มีความแข็งแกร่งก็ขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงที่สูงของประชาชาติด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า คำร้องเรียนของประชาชนส่วนมาก ด้วยสิทธิของพวกเขาในปัญหาค่าครองชีพนั้นเกี่ยวข้องบางข้อกฏหมายและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่บางคน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “คำร้องเรียนต่างๆของประชาชนไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักของการเลือกตั้งเลย แต่คำร้องเรียนนี้เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นและประชาชาตินั้นก็รู้จักถึงคุณค่าของสภาที่แข็งแกร่งที่เป็นของทั้งหมดทุกคนในประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปทั้งหมดเข้าร่วมในการเลือกตั้ง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เป็นไปได้ว่าบางคนไม่ชอบใจข้าพเจ้า แต่หากว่าพวกเขามีความรักและห่วงใยต่ออิหร่าน พวกเขาก็จะต้องมาลงคะแนนเสียง ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่มีความรักต่ออิหร่าน ต่อความมั่นคงของประเทศ การแก้ไขปัญหาต่างๆ และการปฏิบัติอย่างถูกต้องของบรรดานักอัจฉริยบุคคล พวกเขาก็จะต้องเข้ามาร่วมในการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “บุคคลที่มีศรัทธาและนักการปฏิวัติด้วยกับแรงจูงใจอันแข็งกล้าจะเข้ามาร่วมในการเลือกตั้ง แต่บุคคลที่ไม่มีแรงจูงใจทางศาสนาและการปฏิวัติอิสลาม แต่ทว่าเขานั้นรักและห่วงใยต่อประเทศชาติ เขาก็จำเป็นที่จะมาลงคะแนนเสียงด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อในการปราศรัยของท่าน โดยท่านผู้นำได้ชี้ถึงประเด็นลักษณะเด่นต่างๆในการเลือกตั้งที่ถูกต้องและคุณสมบัติของตัวแทนประชาชน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “จะต้องเลือกบุคคลที่มีความศรัทธา นักการปฏิวัติ ผู้กล้าหาญ มีจิตวิญญาณในการต่อสู้ มีประสบการณ์และด้วยความหมายที่แท้จริงเป็นผู้ที่อยู่ในฝ่ายยุติธรรม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “ผู้ที่มีความหวาดกลัวในคำพูดที่ต่อต้านมหาอำนาจต่างชาติ เขานั้นไม่เหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนด้วยกับเกียรติและพลังอำนาจและความกล้าหาญของอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวขอบคุณต่อมติของรัฐสภาที่ถูกต้องและกล้าหาญในการต่อต้านสหรัฐฯหลังจากการเป็นชะฮีดของท่านนายพลสุไลมานี โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จะต้องมีการเลือกบุคคลที่พวกเขานั้นสามารถที่จะชูธงชัยแห่งความยุติธรรมในประเด็นต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ สิทธิมนุษยชน และการเมือง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “ประชาชนจะต้องทำความรู้จักคุณลักษณะเหล่านี้ และลงคะแนนเสียงให้กับพวกเขา แต่หากว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะทำความรู้จักได้ พวกเขาก็จะต้องใช้ประโยชน์จากการปรึกษาหารือกับบุคคลที่มีวิสัยทัศน์ที่ดีและเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ ดังนั้น จะต้องไม่มีผู้ใดกล่าวว่า เนื่องจากเราไม่รู้จักบุคคลเหล่านี้ เราจะไม่ไปลงคะแนนเสียงให้ ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งหมดทุกคนจะต้องพึ่งพายังพระผู้เป็นเจ้าเพื่อจะได้เข้ามาสู่สนามในการลงคะแนนเสียง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่าน โดยกล่าวถึง การเปิดตัวของแผนการสันติภาพตะวันออกกลางของพวกสหรัฐฯ ผู้ฉ้อฉล ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ”โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกสหรัฐต่างดีใจที่คิดว่า การตั้งชื่อที่ใหญ่โตจะทำให้แผนการของพวกเขาที่ต่อต้านประชาชาติปาเลสไตน์นั้นประสบความสำเร็จ ในขณะที่การกระทำเช่นนี้ เป็นการกระทำที่โง่เขลาและชั่วร้าย และจะเป็นตัวสร้างความเสียหายให้กับพวกเขาเองด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นย้ำอีกว่าแผนการนี้จะล้มเหลวและตายลงก่อนการตายของนายทรัมป์ โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “การกระทำเช่นนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน ดังนั้น การเดินทางไป-กลับ และการเสียค่าใช้จ่ายอย่างมาก การประโคมข่าวและการเปิดตัวมันถือว่าเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดี”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติออิสลาม ถือว่า แผนการที่เรียกว่า ข้อตกลงแห่งศตวรรษ เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการหลอกลวงของพวกสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พวกสหรัฐได้ร่วมมือกับพวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์โดยได้มีการทำข้อตกลงในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ขณะที่ปาเลสไตน์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวปาเลสไตน์และการตัดสินใจก็เฉพาะกับพวกเขาด้วย แล้วพวกคุณล่ะมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยที่จะไปตัดสินใจในแผ่นดินและบ้านเรือนของผู้อื่นเขา? นี่แสดงถึงสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย เจ้าเล่ห์จอมหลอกลวงและการมีพฤติกรรมที่เลวร้ายของพวกคุณ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า แผนการร้ายล่าสุดนั้นเป็นการสร้างความเสียหายต่อพวกสหรัฐเอง และเป็นเหตุให้ประเด็นปาเลสไตน์นั้นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การตอบรับและการตบมือของแกนนำชาติอาหรับ ผู้ทรยศหลายคนในหมู่ประเทศทั้งหลายนั้นไม่มีคุณค่าและไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี ทั้งยังไม่มีความสำคัญอีกด้วย ซึ่งตรงกันข้ามกับนโยบายอันคงที่ของฝ่ายมหาอำนาจ ก็คือ การทำให้ปัญหาปาเลสไตน์ถูกลืมเลือน และจากการกระทำดังกล่าวนี้ได้ทำให้ปัญหาปาเลสไตน์กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และยังจะได้ทำให้โลกทั้งหมดได้พูดจากันถึงชื่อและการถูกกดขี่ข่มเหงของปาเลสไตน์และชาวปาเลสไตน์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความพยายามของเหล่ามหาอำนาจ จอมอหังการ ในการรุดหน้าของแผนการนี้ด้วยการพึ่งพายังอาวุธ และเงินตรา ในขณะที่วิธีการเยียวยาหลัก ก็คือ การยืนหยัดและการต่อสู้อย่างกล้าหาญ โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “ประชาชน องค์กร หน่วยงานต่างๆของปาเลสไตน์นั้นจะต้องมีการต่อสู้อย่างเสียสละ โดยการปิดกั้นต่อศัตรู สหรัฐและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ทั้งยังจะต้องทำให้โลกอิสลามต่างให้การสนับสนุนต่อการยืนหยัดเหล่านี้ด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มมุกอวิมัต(กลุ่มยืนหยัดต้านทาน) ได้ขยายวงกว้างมากเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ในภูมิภาคของเอเชียตะวันตกในการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจ โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “เรานั้นเชื่อว่า องค์กรต่างๆที่ติดอาวุธของปาเลสไตน์จะลุกขึ้นต่อสู้และกลุ่มมุกอวิมัตก็จะมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน สาธารณรัฐอิสลามนั้นมีหน้าที่เช่นกันในการสนับสนุนต่อกลุ่มต่างๆของปาเลสไตน์ ดังนั้นไม่ว่าในรูปแบบใดที่มีความสามารถก็จะให้การสนับสนุนต่อพวกเขา และการสนับสนุนนี้ ก็คือ ความต้องการของรัฐอิสลามและประชาชาติอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วิธีการหลักของปัญหาปาเลสไตน์ คือ วิธีการแก้ไขในหลักการที่ประกาศโดยสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในศูนย์กลางของโลก นั่นหมายถึง การลงประชามติของประชาชนชาวปาเลสไตน์ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “วิธีการเดียวในการเกิดสันติภาพและการแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์ คือ การลงประชามติของผู้ที่มีเชื้อชาติปาเลสไตน์ ไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิม คริสเตียน หรือยิวก็ตาม โดยมีการลงคะแนนทั่วไปในการจัดตั้งระบบการปกครองตามทัศนะที่พวกเขานั้นมีความต้องการในแผ่นดินปาเลสไตน์ ส่วนในประเด็นเนทันยาฮูหรือบุคคลอื่นๆ พวกเขาก็จะต้องตัดสินใจกันเอาเอง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวเน้นย้ำในช่วงท้ายว่า “หากพระเจ้าทรงประสงค์ เป้าหมายนี้ก็จะบรรลุผลและพวกท่านเยาวชนทั้งหลายจะได้เห็นในวันนั้น และด้วยเตาฟีก(อานุภาพ)ของพระองค์ พวกท่านทั้งหลายจะทำการนมาซในบัยตุลมุก็อดดัส(กรุงเยรูซาเล็ม) อย่างแน่นอน”