ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวในคุฏบะฮ์(ธรรมเทศนา)ของนมาซวันศุกร์ ด้วยการเข้าร่วมของประชาชนอย่างมหาศาล ณ มุศ็อลลา อิมามโคมัยนี โดยท่านผู้นำ ถือว่า การเข้าร่วมอย่างมหัศจรรย์ของประชาชาติที่มีความเข้าใจในพิธีการตัชยีอ์(พิธีการแห่ศพ) ร่างอันบริสุทธิ์ของฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานีและบรรดามิตรสหายของเขา และการโต้ตอบที่บดขยี้ของกองกำลังซิพอฮ์(กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม)ในการโจมตีฐานทัพของสหรัฐที่อัยน์ อัลอัสซาด เป็นสองวัน ของวันแห่งพระเจ้า ที่เป็นบทเรียนและตัวบ่งชี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติที่มีจิตวิญญาณได้สำแดงให้ศัตรูได้เห็นถึงการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับเหล่าซาตานในการเข้าร่วมกันครั้งนี้ และวิธีการเดียวในการดำเนินตามแนวทางอันทรงเกียรติยิ่งนี้อย่างต่อเนื่อง ก็คือ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอิหร่านในทุกๆด้าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวในช่วงเริ่มต้นของคุฏบะฮ์แรกของนมาซ โดยท่านกล่าวเตือนให้ทุกคนมีความระมัดระวังต่อตักวา (การมีความยำเกรงต่อพระเจ้า)การช่วยเหลือ ความสำเร็จและการแก้ไขปัญหาต่างๆทั้งทางปัจเจกบุคคลและทางสังคมต้องมาจากการมีความยำเกรงต่อพระองค์ทั้งสิ้น หลังจากนั้น ท่านผู้นำได้กล่าวถึงประเด็นหลักโดยยกโองการอัลกุรอานจากบทอิบรอฮีม ซึ่งเกี่ยวกับการรำลึกถึงวันแห่งพระเจ้าและการรู้จักขอบคุณต่อความโปรดปรานทั้งหลายในวันต่างๆเหล่านี้
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พระบัญชาของพระเจ้าที่มีต่อศาสดามูซา (อ)ในการทำให้ประชาชนได้เข้าร่วมรำลึกถึงวันแห่งพระเจ้า แสดงถึงความสำคัญและการกระทำที่สำคัญยิ่งในการชี้นำต่อบุคคลที่มีความอดทนและการรู้จักการขอบคุณ หมายถึง ผู้ที่มีความอดทนและการยืนหยัดอย่างมาก รวมทั้งผู้ที่รู้จักขอบคุณ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ผู้ที่มีความอดทนอย่างมาก หมายถึง ประชาชนที่มีความเป็นเอกภาพในการมีความอดทนและการยืนหยัดและการไม่ถอยออกจากภาคสนาม แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม และผู้ที่รู้จักขอบคุณ หมายถึง ผู้ที่เข้าใจในความโปรดปรานต่างๆและการเข้าถึงมิติต่างๆทั้งที่เปิดเผยและที่ซ่อนเร้น โดยเป็นผู้ที่รู้จักบุญคุณและรู้สึกรับผิดชอบต่อความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเขา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่าโองการนี้ได้ถูกประทานลงที่เมืองมักกะฮ์ ในช่วงเวลาที่มีการต่อสู้ของชาวมุสลิมและการยืนหยัดของพวกเขาในการเผชิญหน้ากับฝ่ายผู้ปฏิเสธ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “โองการเหล่านี้ได้แจ้งข่าวดีให้กับชาวมุสลิมในขณะที่เกิดสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานวันของพระองค์ให้กับพวกท่าน และด้วยกับการขอบคุณต่อพระองค์ของพวกท่านก็จะทำให้ความคาดหวังของพวกท่านในการมีชัยชนะนั้นเพิ่มมากขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่ออีกว่า ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์ที่เป็นข้อยกเว้นและเต็มไปด้วยกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งเหตุการณ์ที่ขมขื่นและหอมหวาน ทั้งยังเป็นบทเรียนให้กับประชาชาติอิหร่านอีกด้วย และท่านผู้นำ ยังถือว่า วันแห่งพระเจ้า คือ การแห่งการลุกขึ้นของประชาชนในอิหร่านและในอิรักจากการเทอดเกียรติและการยกย่องต่อบรรดาชะฮีด นักต่อสู้ โดยท่านกล่าวว่า “วันแห่งพระเจ้า หมายถึง วันที่พวกท่านได้เห็นถึงอำนาจของพระองค์ในเหตุการณ์ต่างๆ ฉะนั้น เวลาที่ประชาชนหลายล้านคนในอิหร่านและหลายแสนคนในอิรักและในบางประเทศได้ออกมาตามท้องถนนในการรำลึกถึงความเสียสละชีพของผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์ และการแสดงให้เห็นถึงพิธีการแห่ศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งหมดนี้คือ วันต่างๆแห่งพระเจ้า เพราะว่าไม่มีปัจจัยใดๆที่จะทำให้ความยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นมาได้ นอกจากอำนาจของพระองค์เท่านั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามทำการบดขยี้ต่อฐานทัพสหรัฐด้วยการยิงขีปนาวุธเข้าใส่ ก็เป็นวันแห่งพระเจ้าอีกด้วยเช่นกัน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประชาชาตินี้ได้ตบหน้าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ ผู้ฉ้อฉล ด้วยกับความสามารถเช่นนี้และการมีจิตวิญญาณ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่คืออำนาจของพระเจ้า ดังนั้น วันอันยิ่งใหญ่นี้ คือวันแห่งพระเจ้า ด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า วันแห่งพระเจ้า คือ วันแห่งการสร้างประวัติศาสตร์และแป็นจุดเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ที่มีผลสะท้อนอันถาวรและนิรันดร์ ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างจิตวิญญาณและการกระทำให้กับประชาชาติทั้งหลาย และท่านผู้นำได้กล่าวถึงประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวว่า “สังคมอิหร่านเป็นสังคมที่มีความอดทนเป็นอย่างสูงและมีการรู้จักการขอบคุณ ตลอดเวลาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยกับการยืนหยัดที่เป็นตัวอย่าง พร้อมกับทั้งการขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระเจ้าตลอดมา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงมิติต่างๆทางวัตถุและทางจิตวิญญาณของปรากฏการณ์ในพิธีการแห่ศพของชะฮีด สุไลมานี โดยท่านได้ตั้งคำถามนี้ว่า จะมีปัจจัยใดและอำนาจใดกระนั้นหรือที่ในช่วง 41 ปี หลังจากชัยชนะแห่งการปฏิวัติอิสลาม ที่ได้ทำให้ปาฏิหาริย์เหล่านี้เกิดขึ้นมา ทั้งการเข้ามาสู่ภาคสนามของมวลชนที่มีความรักอันไม่เหมือนผู้ใดเช่นนี้ นอกจากอำนาจของพระเจ้าเท่านั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ผู้ที่วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆด้วยกับปัจจัยทางวัตถุ คือ ผู้ที่ไร้ความสามารถในการมองเห็นอำนาจของพระเจ้าในเหตุการณ์ต่างๆ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “พิธีการแห่ศพอันยิ่งใหญ่และการขับเคลื่อนแห่งพระเจ้านี้ แสดงให้เห็นถึงมิติด้านในและการมีจิตวิญญาณของการเทอดเกียรติของประชาชนและการแสดงถึงความเป็นจริงที่ว่า ความประสงค์ของพระเจ้า จะทำให้ประชาชาติอิหร่านนั้นได้รับชัยชนะ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สาส์นอีกประการหนึ่งในการเข้าร่วมพิธีแห่ศพชะฮีด สุไลมานี ของมวลมหาประชาชนหลายสิบล้านคน คือ การให้สัตยาบันกับแนวทางของท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่งและการทำให้แนวทางนี้มีชีวิตชีวาในหมู่ประชาชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหตุการณ์นี้ เหล่าเผด็จการทางการสื่อของรัฐเถื่อนไซออนิสต์และเจ้าหน้าที่ผู้ก่อการร้ายของระบอบสหรัฐได้พยายามอย่างเต็มที่ในการกล่าวหาว่า นายพล ผู้ทรงเกียรติและยิ่งใหญ่ของพวกเรานั้น เป็นผู้ก่อการร้าย แต่ทว่าพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงฉากนนั้นใหม่ โดยที่ว่าไม่ใช่เฉพาะในอิหร่านเท่านั้น ทั้งในประเทศต่างๆก็มีการยกย่องเทอดเกียรติต่อจิตวิญญาณของนายพล ผู้ทรงเกียรตินี้และยังได้มีการจุดไฟเผาธงชาติของสหรัฐและไซออนิสต์อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเป็นจริงเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงอำนาจและการชี้นำของพระผู้อภิบาลทั้งในประเทศและในสังคม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “นอกเหนือจากพิธีการแห่ศพของบรรดานักต่อสู้ หลักการของการเป็นชะฮีดก็เป็นสัญญาณของการมีอำนาจของพระเจ้า เพราะว่า การลอบสังหารนายพล สุไลมานีนั้น คือ การทำลายผู้บัญชาการที่ถูกรู้จักมากที่สุดและมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในการต่อสู้กับการก่อการร้ายทั่วทั้งภูมิภาคนั้น เป็นสาเหตุทำให้รัฐบาลสหรัฐนั้นต้องไร้เกียรติและพบกับความต่ำต้อย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงตัวอย่างในการเข้าร่วมของชะฮีด สุไลมานีอย่างกล้าหาญในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายและถูกปิดล้อมไปด้วยศัตรู และการชี้นำของเขาในการปฏิบัติการณ์ จนเป็นเหตุทำให้ศัตรูต้องหลบหนีออกไป โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การลอบสังหารชะฮีด ผู้กล้าหาญ ที่พวกสหรัฐนั้นไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาในสมรภูมิรบ แต่ทว่าพวกเหล่านั้นได้ก่ออาชญากรรมนี้อย่างจอมโจรและขี้ขลาด ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาต้องมีภาพลักษณ์ที่หม่นหมองเพิ่มมากขึ้น”
ท่านอยาตุลลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงรูปแบบของการก่ออาชญากรรมนี้ คือ การลอบสังหารบรรดาแกนนำของขบวนการยืนหยัดต่อสู้นั้นเฉพาะกับพวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าพวกสหรัฐได้ก่ออาชญากรรมต่างๆมากมายทั้งในอิรัก และอัฟกานิสถาน แต่คราวนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกมายอมรับด้วยตัวเองว่า “เรานั้นคือ ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งถือว่าเรื่องที่อื้อฉาวมากกว่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า วันแห่งพระเจ้า อีกวันหนึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา หมายถึง การให้คำตอบอย่างมีอำนาจของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามต่อพวกสหรัฐ โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “การมีปฏิกิริยาที่เข็มแข็งนี้ได้สร้างความเสียหายเป็นอย่างมากทางทหารของพวกเขา และสิ่งที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ การสร้างความเสียหายทางภาพลักษณ์ของสหรัฐ ชาติมหาอำนาจของโลก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างความเสียหายของกองกำลังซิพอฮ์ให้กับพวกสหรัฐ ได้ทำให้พวกเขานั้นไร้เกียรติและศักดิ์ศรี โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การสร้างความเสียหายทางภาพลักษณ์ที่มั่นคงนั้นไม่สามารถชดเชยด้วยกับสิ่งอื่นใดได้เลยและการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งเมื่อหลายวันที่ผ่านมานี้พวกสหรัฐได้มีการพูดถึงกัน ก็ไม่ได้ทำให้เกียรติและศักดิ์ศรีที่หายไปนั้นกลับคืนมาอีกครั้ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การแสดงออกถึงอำนาจของพระเจ้าในการตอบโต้แบบบดขยี้ของกองกำลังซิพอฮ์ คือ ผลลัพท์ของการต่อสู้อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ไม่ว่าในที่ใด หรือการงานใดก็ตามที่มีความบริสุทธิ์ใจ แน่นอนว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้การงานนั้นมีเกียรติและมีความสูงส่ง ทั้งยังจะทำให้ทุกคนได้รับเกียรติอันนี้และจะดำรงอยู่ต่อไปอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมของประชาชนด้วยกับความรัก การหลั่งน้ำตาและความโศกเศร้าของพวกเขาในพิธีการแห่ศพของฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี และบรรดาชะฮีดที่ร่วมด้วยกับเขาและการทำให้จิตวิญญาณทางการปฏิวัติอิสลามของประชาชาติได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ คือ ผลลัพท์ที่สามารถสัมผัสได้ในของการมีความบริสุทธิ์ใจของนายพล ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวอิหร่านและบรรดาชะฮีด ผู้ที่เข้าร่วมแนวทางกับเขา
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความจำเป็นในการมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การกำหนดคุณค่าและรู้จักคุณค่าของวันแห่งพระเจ้า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น คือ ความเป็นจริงนี้ โดยที่จะต้องไม่มองฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานีและอะบูมะฮ์ดี ด้วยสายตาของบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่ก็จงมองพวกเขาให้เป็นสำนักคิดและแนวทางและเป็นโรงเรียนหนึ่งที่ให้บทเรียน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้อีกว่า อย่าได้มองกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม เป็นเพียงองค์กรหรือเป็นหน่วยงานภาครัฐ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “กองกำลังซิพอฮ์ เป็นองค์กรของมนุษย์และมีแรงจูงใจอันยิ่งใหญ่และการทำให้รอดพ้น และด้วยกับมุมมองนี้ การเทอดเกียรติและการทำให้พิธีการแห่ศพของผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์มีความยิ่งใหญ่ ก็แสดงให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ทั้งกองทัพ กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอสิลาม กองทัพบก และองค์กรบะซีจ (อาสาสมัคร) อยู่ภายใต้แนวคิดและการพึ่งพายังเป้าหมายของพระเจ้า โดยที่กองกำลังกุดส์นั้นอยู่ในฐานะภาพที่เป็นทหารไร้พรมแดน ไม่ว่าในที่ใดที่มีความต้องการ การช่วยเหลือต่อประชาชาติต่างๆในภูมิภาค และการรักษาเกียรติของบรรดาผู้ที่ด้อยโอกาส ด้วยกับขีดความสามารถที่มีอยู่ของตนในการปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การออกห่างจากเงาของสงคราม และการลอบสังหาร รวมทั้งการบ่อนทำลายอิหร่าน เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้เน้นว่า “ภาคส่วนที่สำคัญของความมั่นคงของอิหร่านได้เกิดขึ้นมาจากผลของความพยายามของบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของฮัจญ์ กอเซ็ม ผู้มีเกียรติที่เขานั้นเสียสละชีพในการต่อสู้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บรรดาเยาวชนเหล่านี้ได้ให้การช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์และในพื้นที่อื่นๆ แต่ในความเป็นจริง พวกเขานั้นได้ทำให้ประชาชนชาวอิหร่านมีความมั่นคงเกิดขึ้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เป้าหมายสุดท้ายของสหรัฐจากการสร้างและการสนับสนุนต่อกลุ่มดาอิช (ไอซิส) คือ การโจมตีและการทำให้เขตพรมแดนและเมืองต่างๆของอิหร่านนั้นไม่มีความมั่นคงและความปลอดภัย ทั้งจากการก่อจราจลและการทำให้ครอบครัวชาวอิหร่านต้องเกิดความกังวลใจ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บรรดาเยาวชน ผู้ที่เสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อพวกเรา ได้ช่วยเหลือต่ออิรักและซีเรีย ซึ่งในความเป็นจริงก็คือ การทำลายแผนการร้ายเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า เหล่าผู้ที่ในวันหนึ่งพวกเขากล่าวสโลแกนที่ว่า “เราไม่เอากาซาและไม่เอาเลบานอน” โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บุคคลเหล่านี้ พวกเขาจะไม่เสียสละชีวิตของตนเพื่ออิหร่านหรอก แม้ว่าพวกเขาไม่มีความสุขสบายและผลประโยชน์ของตนในการรักษาความมั่นคงก็ตาม แต่ทว่านายพล สุไลมานีและบรรดามิตรสหายของเขาได้เสียสละชีวิตและมีความรีบเร่งยังสมรภูมิในการปกป้องอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้เห็นว่า มีประชาชนหลายคนเข้าร่วมในพิธีการแห่ศพ ในกรุงเตหะราน เคอร์มาน และในหลายเมือง การจัดพิธีไว้อาลัยในหลายเมืองและการหลั่งน้ำตาให้กับการจากไปของฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชนชาวอิหร่านหลายสิบล้านคนได้แสดงให้เห็นถึงการมีจิตวิญญาณด้านในของเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ และยังได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ประชาชาติจากทุกพรรคการเมือง ทุกฝ่าย และทุกองค์กร รวมทั้งทุกชาติพันธุ์และทุกพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ด้วยกับความเป็นเอกภาพที่เป็นตัวอย่างนั้นได้ให้การสนับสนุนต่อการปฏิวัติอิสลาม ระบอบการปกครองแบบอิสลาม การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับการกดขี่ และพวกเขาจะกล่าวว่าเราไม่เอาความทะเยอทะยานต่างๆของรัฐบาลของชาติมหาอำนาจ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติอิหร่านได้แสดงให้เห็นในมิติต่างๆที่ไม่เหมือนผู้ใดในการป้องกันแนวทางของการต่อสู้อย่างกล้าหาญ ที่ไม่ใช่ผู้ที่ยอมแพ้ และมีความรักต่อสัญลักษณ์แห่งการยืนหยัด ส่วนผู้ที่พยายามวาดภาพลักษณ์ของประเทศเป็นอื่น ทั้งในประเทศและนอกประเทศ เขาจะไม่ได้ปฏิบัติตามด้วยความซื่อสัตย์และความโปร่งใสต่อประชาชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงตัวตลกของพวกสหรัฐที่ต่ำต้อย ขณะที่ เมื่อหลายวันที่ผ่านมานี้ด้วยกับข้ออ้างที่ว่าเขานั้นยืนเคียงข้างประชาชนชาวอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “กลุ่มผู้คนเหล่านี้ที่ได้ดูถูกเหยียดหยามต่อรูปของนายพล ผู้ที่เมตตาและสร้างความภาคภูมิใจให้กับประชาชาติ พวกเขานั้นเป็นประชาชนชาวอิหร่าน หรือว่ากลุ่มมวลชนที่มีจำนวนมหาศาลและมีความยิ่งใหญ่ที่ได้ออกมาตามท้องถนนเพื่อแสดงถึงการมีความรักต่อฮัจญ์ กอเซ็ม พวกเขานั้นเป็นประชาชนชาวอิหร่านใช่หรือไม่?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นว่า “พวกสหรัฐนั้นไม่เคยยืนเคียงข้างประชาชาติอิหร่านเลย และได้โกหกอย่างเปิดเผยว่า หากว่าเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะใช้มีดที่อาบยาพิษทิ่มแทงข้างหลังประชาชาติ แต่จนถึงขณะนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถและหลังจากนี้ก็ไม่สามารถกระทำความผิดพลาดอะไรอีกได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติในพิธีการแห่ศพ แสดงให้เห็นถึงรากฐานทางความคิดและการแสดงออกถึงความรู้สึกที่ซื่อสัตย์ของประชาชาติและท่านผู้นำยังกล่าวเสริมอีกว่า “การป่าวตะโกน “การแก้แค้น” ดังกึกก้องไปทั่วประเทศ ในความเป็นจริงก็คือ เชื้อเพลิงที่แท้จริงของขีปนาวุธในการทำลายฐานทัพของสหรัฐนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงบางคนที่พยายามจะทำให้วันแห่งพระเจ้าที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องถูกลืมเลือนและได้นำเสนอประเด็นอื่นเข้ามาแทน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “จะต้องไม่ทำให้ประเด็นอื่นใดเข้ามาบดบังวันแห่งความทรงจำเหล่านี้ได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งเนื่องในเหตุการณ์เครื่องบินตก โดยท่านกล่าวว่า “เหตุการณ์อันขมขื่นอย่างมากนี้ได้ทำให้หัวใจของพวกเราถูกเผาไหม้อย่างแท้จริงและยังสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก แต่ทว่าบางคนที่ปฏิบัติตามสื่อของสหรัฐและอังกฤษต่างพยายามทำให้เหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจนี้ เป็นสาเหตุให้ลืมพิธีการแห่งศพอันยิ่งใหญ่และการตอบโต้ที่บดขยี้ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม แต่ทว่าบางคนเป็นเยาวชนที่มีความรู้สึกอ่อนไหว แต่ก็ยังมีบุคคลที่ไม่ต้องการเข้าใจถึงผลประโยชน์ของชาติและการยืนหยัดต่อมัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ขณะที่เราและประชาชาติกำลังเศร้าใจและมีความเสียใจ เหล่าศัตรูต่างดีใจ เพราะว่าพวกเขาเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถทำให้เกิดคำถามกับกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม กองทัพและรัฐอิสลามได้ แต่ทว่าแผนการร้ายของพวกเขานั้นไม่อาจที่จะมีผลต่ออำนาจของพระเจ้า และวันแห่งพระองค์ คือ วันแห่งพิธีการแห่ศพและวันที่ฐานทัพของสหรัฐถูกบดขยี้ ซึ่งจะไม่มีวันลืมมันเลยและด้วยความโปรดปรานของพระองค์ ก็จะทำให้มันมีชีวิตชีวาเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวทั้งหลายในความโศกเศร้าครั้งนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราต้องขอกล่าวขอบคุณต่อเจ้าของความโศกเศร้า บรรดาบิดาและมารดาทั้งหลายด้วยหัวใจของพวกเขาที่เต็มไปด้วยกับความเจ็บปวดและการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับการกระซิบกระซาบและแผนการร้ายของเหล่าศัตรูโดยพวกเขากล่าวออกมาที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตน ทั้งเราต้องขอคารวะและแสดงความเคารพต่อพวกเขาทั้งหลายอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นถึงความคลุมเครือที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์เหล่านี้และกล่าวขอบคุณต่อบรรดาผู้บัญชาการกองกำลังซิพอฮ์ในประเด็นนี้ และการติดตามผลอย่างจริงจังในการป้องกันเหตุการณ์เหล่านี้ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การป้องกันนั้นสำคัญกว่าการติดตามผล เพื่อที่จะทำให้เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ไม่เกิดขึ้นมาอีก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การดำเนินการของรัฐบาลของทั้งสามประเทศยุโรปในการคุกคามอิหร่านเพื่อที่จะทำให้ประเด็นนิวเคลียร์ต้องถูกส่งถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ คือ หนึ่งในความพยายามที่ทำให้วันแห่งพระเจ้า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นต้องถูกบดบัง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯได้ตอบโต้ให้กับพวกเขาอย่างมั่นคงและแข็งแกร่งและประชาชาติก็ยังจำได้ว่า ทั้งสามประเทศเหล่านี้นั้นเคยทำอย่างไรกับพวกเราในช่วงสงครามแปดปีไว้บ้าง โดยพวกเขาเหล่านั้นได้รับใช้ต่อจอมเผด็จการ ซัดดาม ฮุสเซนและการก่ออาชญากรรมของเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวมาตั้งแต่แรกแล้วว่า อย่าได้ไว้วางใจต่อคำพูดของพวกยุโรป หลังจากนั้น เราก็จะไม่มีข้อตกลงนิวเคลียร์ ขณะที่พวกเขาก็ไม่ได้กระทำการอะไร นอกจาก พวกเขานั้นได้รับใช้สหรัฐ บัดนี้เป็นที่กระจ่างแล้วว่า พวกเหล่านี้เป็นผู้ต่ำต้อยและเป็นสมุนรับใช้ของสหรัฐอย่างแท้จริง และพวกเขายังคิดว่าจะทำให้ประชาชาติต้องยอมคุกเข่ายอมรับพวกเขา แม้แต่นายใหญ่ของพวกเขาเอง หมายถึง สหรัฐ ก็ยังไม่สามารถที่กระทำอะไรได้เลย แล้วพวกเขาจะกระทำอะไรได้อย่างไรกันเล่า
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเจรจากับพวกยุโรป เป็นการกระทำที่ปะปนไปด้วยกับการหลอกลวงด้วยเช่นกัน โดยท่านกล่าวว่า “บุรุษที่เข้ามานั่งบนโต๊ะเจรจา ในความเป็นจริงแล้วก็คือ ผู้ที่ก่อการร้ายในสนามบินแบกแดดที่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้านั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวสรุปในคุฏบะฮ์แรก โดยท่านถือว่า ความอุตสาหะพยายามของชาติเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอิหร่าน คือ วิธีการเดียวในการทำให้ชาวอิหร่านทั้งหลายได้รับเกียรติอย่างต่อเนื่อง โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “เราไม่มีความหวาดกลัวต่อการเจรจา ยกเว้นกับสหรัฐ แต่เราก็มีจุดแข็งและพลังอำนาจ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “ประชาชาติอันมีเกียรติยิ่งนี้และประเทศนี้ด้วยกับความกรุณาของพระเจ้า จะมีความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เฉพาะในมิติทางการทหารเท่านั้น แต่ในมิติต่างๆทางด้านเศรษฐกิจและการก้าวกระโดดทางวิชาการและเทคโนโลยีที่สนับสนุนต่อเป้าหมายนี้ การเข้าร่วมของประชาชาติด้วยกับความอดทนและการยืนหยัดในสนามแห่งการต่อสู้และความเพียรพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายและประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า ประชาชาติและประเทศนี้จะไปถึงจุดที่ศัตรูไม่อาจจะข่มขู่คุกคามอีกได้เลยในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวในคุฏบะฮ์ที่สองเป็นภาษาอาหรับ และก่อนที่ท่านจะกล่าว ท่านได้ชี้ถึงความสำคัญในการเข้าร่วมของประชาชนทั้งหลายในการเลือกตั้ง โดยท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงประเด็นการเลือกตั้ง หลังจากนี้ต่อไป หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ การเลือกตั้งนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำให้ประเทศมีอำนาจ เป็นการปกป้องประเทศและการทำให้ศัตรูต้องพบกับความผิดหวัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความพยายามของเหล่าศัตรูในการทำให้ประชาชนไม่มีแรงจูงใจในการเข้าร่วมในการเลือกตั้ง โดยท่านกล่าวว่า “เราทั้งหมดทุกคนจะต้องมีความระมัดระวังว่าอย่าทำให้ความต้องการของศัตรูนั้นบรรลุผล และการเลือกตั้งนั้นจะไม่มีสีสัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวในคุฏบะฮ์ที่สองของนมาซวันศุกร์โดยให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของภูมิภาค โดยท่านผู้นำได้กล่าวเป็นภาษาอาหรับถึงบรรดาพี่น้องชาติอาหรับทั้งหลาย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้การก่ออาชญากรรมที่ขี้ขลาดในการลอบสังหารนายพล ผู้ยิ่งใหญ่และกล้าหาญชาวอิหร่านและนักต่อสู้ ผู้เสียสละชีพและมีความบริสุทธิ์ใจชาวอิรัก ด้วยคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐ ผู้ก่อการร้าย โดยท่านกล่าวว่า “นายพล สุไลมานีได้เข้าร่วมในแถวหน้าและมีอันตรายอย่างกล้าหาญ เขาเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการกำจัดกลุ่มก่อการร้าย เช่น ดาอิช (ไอซิส)และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆในซีเรียและอิรัก แต่พวกสหรัฐโดยที่ไม่มีกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาในการต่อสู้ในสมรภูมิรบ พวกเหล่านี้ได้โจมตีต่อเขาอย่างขี้ขลาด ในขณะที่เขาได้รับคำเชิญจากรัฐบาลอิรักให้เดินทางไปยังประเทศนี้ ณ สนามบินนานาชาติของอิรัก เลือดอันบริสุทธิ์ของเขาและบรรดาผู้ที่ร่วมติดตามเขาได้ถูกหลั่งออกมาเต็มพื้นดิน เพื่อที่จะได้ทำให้เลือดของลูกหลานชาวอิหร่านและชาวอิรักได้นั้นผสมเข้าด้วยกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างความเสียหายและการปฏิบัติการณ์อย่างเร่งด่วนของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านในการบดขยี้ฐานทัพของสหรัฐด้วยการยิงขีปนาวุธเข้าใส่ เป็นเหตุทำให้รัฐบาลสหรัฐ จอมอหังการ ผู้กดขี่ต้องไร้เกียรติและศักดิ์ศรีและท่านได้เน้นว่า “การลงโทษหลัก คือ การขับไล่พวกเขาให้ไปออกจากภูมิภาค”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงพิธีการส่งศพของชะฮีด สุไลมานีและชะฮีด อะบูมะฮ์ดี ด้วยการเข้าร่วมประชาชนชาวอิหร่านหลายสิบล้านคนและเช่นกันในพิธีการแห่ศพอย่างมีเกียรติของนักต่อสู้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง ในเมืองต่างๆของอิรัก และการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อประชาชนในหลายเมืองด้วยกับการเข้าร่วมของประชาชนจำนวนมหาศาล โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เหล่าศัตรูต่างพยายามอย่างมาก ด้วยกับค่าใช้จ่ายอันมหาศาล การใช้ประโยชน์จากมนุษย์ที่ไม่มีความรับผิดชอบ และการโฆษณาชวนเชื่อที่ชั่วร้าย ได้ทำให้ทั้งสองประเทศ อิหร่านกับอิรักต้องเกิดวิสัยทัศน์ที่ไม่ดีต่อกัน แต่ด้วยกับการเป็นชะฮีดที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ทำให้ความพยายามอันชั่วร้ายทั้งหมดและการกระซิบกระซาบของมารร้ายนั้นต้องถูกทำลายลง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีอำนาจแห่งอิสลามของประชาชาติทั้งหลายในภูมิภาค คือปัจจัยในความล้มเหลวของชาติมหาอำนาจที่เลวร้าย โดยท่านผู้นำได้ชี้ถึงการยึดครองของพวกตะวันตกต่อประเทศต่างๆในภูมิภาค ด้วยการสนับสนุนจอมปลอมทางวิชาการและเทคโนโลยี อาวุธยุทโธปกรณ์และการโฆษณาชวนเชื่อและนโยบายที่แฝงด้วยกลอุบาย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เมื่อใดที่พวกเขามีความจำเป็นต้องออกจากประเทศนั้นๆ เนื่องด้วยกับการเคลื่อนไหวของประชาชน พวกเขาก็ไม่ละทิ้งแผนการร้าย การแทรกซึมทางข้อมูล การครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่เนื้อมะเร็งร้าย คือ รัฐเถื่อนไซออนิสต์ ถือว่าเป็นภัยคุกคามที่ถาวรของประเทศทั้งหลายในภูมิภาคเอเชียตะวันตก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม เป็นสาเหตุทำให้เกิดความเสียหายทางการเมือง และทางทหารต่อระบอบการยึดครองของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และความล้มเหลวของมหาอำนาจที่มีสหรัฐนั้นเป็นแกนนำหลัก ทั้งในอิรัก และซีเรีย จนกระทั่งกาซา เลบานอน เยเมน จนถึงอัฟกานิสถาน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สื่อของศัตรูต่างกล่าวหาว่าอิหร่านใช้สงครามตัวแทน ในขณะที่ นี่คือการโกหกอันใหญ่หลวงและประชาชนทั้งหลายในภูมิภาคต่างก็ตื่นตัวขึ้นมาแล้ว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ขีดความสามารถของอิหร่านในการยืนหยัดในระยะยาวในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายของสหรัฐในภูมิภาคและการมีจิตวิญญาณของประชาชนทั้งหลาย โดยท่านได้เน้นว่า “ชะตากรรมอันสว่างไสวของภูมิภาค คือ การรอดพ้นจากการครอบงำของมหาอำนาจเยี่ยงสหรัฐและการปลดปล่อยปาเลสไตน์ให้พ้นจากการยึดครองของระบอบต่างชาติของยิวไซออนิสต์ ด้วยกับความเพียรพยายามของประชาชนทั้งหลายนั้น จะต้องทำให้เวลาที่เข้าถึงยังเป้าหมายนั้นใกล้เข้ามายิ่งขึ้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การออกห่างจากปัจจัยที่สร้างความแตกแยกในโลกอิสลาม คือ ความจำเป็น และท่านยังได้เน้นในหลายกรณี เช่น ความเป็นเอกภาพในระหว่างบรรดานักการศาสนาในการค้นหาแนวทางของอิสลามในวิถีการดำเนินชีวิตแห่งอิสลามที่ทันสมัย การร่วมมือกันในระหว่างมหาวิทยาลัยของอิสลามในการยกฐานะภาพทางความรู้และเทคโนโลยีและการสร้างรากฐานของอารยธรรมสมัยใหม่ ความสามัคคีของสื่อมวลชนของอิสลามในการปรับปรุงรากฐานทางวัฒนธรรมโดยทั่วไป การมีความสัมพันธ์ของกองทัพของอิสลามในการออกห่างจากการทำสงครามและการละเมิดต่อภูมิภาค การเชื่อมสัมพันธ์ในระหว่างตลาดของอิสลามในการขับไล่จากการครอบงำของบริษัทต่างๆที่เข้ามายึดครองเศรษฐกิจของประเทศทั้งหลาย การเดินทางไปมาของประชาชนทั้งหลายเพื่อเสริมสร้างภาษา เอกภาพและมิตรภาพ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นวิธีการในการส่งเสริมความเป็นเอกภาพและการออกห่างจากความแตกแยก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นให้เห็นว่า เหล่าศัตรูของอิหร่านและอิสลามต่างต้องการทำให้เศรษฐกิจของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยกับแหล่งทรัพยากรของประเทศของพวกเรา เกียรติของพวกเขาด้วยความต่ำต้อยของพวกเรา การเป็นอันดับหนึ่งของพวกเขาด้วยการแตกแยกของพวกเรา และทำให้พวกเราต้องมาทำลายกันเองด้วยกับน้ำมือของพวกเรา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “สหรัฐ ถือว่า ปาเลสไตน์นั้นไม่มีทางป้องกันจากรัฐเถื่อนไซออนิสต์ อาชญากรได้หรอก ซีเรียและเลบานอนก็จะถูกยึดครองด้วยกับรัฐบาลที่เชื่อมโยงและสมุนรับใช้ต่อพวกเขา อิรักและความมั่งคั่งทางด้านน้ำมันก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขาและเพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายอันเลวร้ายของพวกเขา พวกเขาได้ก่อความเลวร้ายและความกดขี่ที่ใหญ่ที่สุด เช่น การทดสอบที่ยากลำบากในซีเรียในหลายปี การก่อความวุ่นวายและจราจลในเลบานอนและการบ่อนทำลายอย่างต่อเนื่องในอิรัก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลอบสังหารอย่างเปิดเผยต่อชะฮีด อะบูมะฮ์ดี ผู้บัญชาการ ผู้ที่กล้าหาญของกองกำลังฮัชดุชชะอ์บี และนายพล ผู้ยิ่งใหญ่ ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ชะฮีด สุไลมานี คือ หนึ่งในตัวอย่างของการสร้างความวุ่นวายของพวกสหรัฐในอิรัก โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขาต้องการให้เป้าหมายอันสกปรกของตนในอิรักนั้นบรรลุผล ก็จะทำให้เกิดความวุ่นวายและสงครามกลางเมือง และในที่สุดก็จะทำให้อิรักต้องถูกแยกออกเป็นส่วนๆและการตัดขาดจากกองกำลังของผู้ศรัทธา นักต่อสู้และผู้รักชาติ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเปิดเผยของพวกสหรัฐอย่างไร้ยางอายต่อคำตัดสินของรัฐสภาอิรักในการขับไล่พวกเขาออกจากประเทศนี้ คือ อีกตัวอย่างหนึ่งของการสร้างความวุ่นวายของพวกเขา โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกเขาบอกว่าเป็นผู้สนับสนุนประชาธิปไตย แต่พวกเขาก็ไม่มีการปฏิเสธ และบอกว่า เราจะอยู่ในอิรักและจะไม่ออกจากประเทศนี้ไปเป็นอันขาด”
ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในคุฏบะฮ์ที่สองของนมาซ ท่านได้กล่าวถึงประชาชนชาวมุสลิมทั้งหลาย โดยเน้นย้ำว่า “โลกอิสลามนั้นจะต้องมีหน้าตาใหม่และมีการปลุกจิตสำนึกและหัวใจของผู้ศรัทธา การเชื่อมั่นต่อตนเองว่าจะต้องมีการปลุกจิตสำนึกให้เกิดขึ้นกับประชาชนทั้งหลาย และทั้งหมดทุกคนก็จะต้องรู้ไว้ด้วยว่า วิธีการเดียวที่จะทำให้ประชาชาติทั้งหลายต้องรอดปลอดภัยได้ ก็คือ การวางแผนที่รอบคอบ การยืนหยัดและการไม่หวาดกลัวศัตรู”
หลังจากการกล่าวคุฏบะฮ์ทั้งสอง ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้นำนมาซวันศุกร์ร่วมกับประชาชนผู้ศรัทธาอย่างพร้อมเพียงกัน