บรรดาบะซีจญ์ (อาสาสมัคร)หลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้อธิบายถึงรากฐานของการจัดตั้งองค์กรบะซีจญ์ ถือว่า เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้ทำให้ภัยคุกคามกลายเป็นโอกาส และท่านยังได้กล่าวถึงการดำเนินการและการให้บริการของต้นไม้ที่สวยงามนี้ทางด้านต่างๆของสงครามฮาร์ดแวร์และสงครามจิตวิทยา โดยท่านได้ชี้ถึงการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่านในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา และท่านได้ยังกล่าวขอบคุณอย่างลึกซึ้งต่อการขับเคลื่อนอันทรงพลังนี้ โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “ประชาชาติอิหร่านได้ทำให้แผนการร้ายที่เป็นอันตรายและมีการวางแบบแผนต้องพบกับความล้มเหลว ด้วยกับการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่นี้”
ในช่วงแรกของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในสัปดาห์แห่งบะซีจญ์ โดยท่านได้ชี้ให้เห็นถึงการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ของมวลมหาชนของชาวอิหร่านในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่าน ที่ประชาชาตินี้ด้วยกับการขับเคลื่อนเช่นนี้ได้แสดงพลังและความยิ่งใหญ่ออกมาให้เห็นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น คือ แผนการสมรู้ร่วมคิดอย่างลึกซึ้งและเป็นอันตรายอย่างมาก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เหล่าศัตรูได้ใช้ค่าใช้จ่ายมหาศาลในการวางแผนการสมรู้ร่วมคิดนี้และรอโอกาสเพื่อที่จะออกจากกำบังด้วยกับการใช้ประโยชน์ในการบ่อนทำลายและการสังหารผู้บริสุทธิ์ และการก่อความชั่วร้าย โดยที่พวกเขาต่างคิดว่า ประเด็นเบนซินนั้นเป็นโอกาสที่พวกเขาต้องการ และมีการเตรียมมวลชนของพวกตนเพื่อให้เข้ามาสู่ภาคสนาม แต่ทว่าประชาชาติอิหร่านได้ทำให้การเคลื่อนไหวของศัตรูต้องพบกับความพินาศ ด้วยกับการแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การขับเคลื่อนของประชาชาติอิหร่านในภาคสนาม เป็นการดำเนินการที่สำคัญยิ่งและสูงส่งกว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ทางความมั่นคง กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (ซิพอฮ์) และบะซีจญ์ในการเผชิญหน้ากับความยากลำบาก โดยท่านได้เน้นว่า “ประชาชาติอิหร่านได้เริ่มต้นการขับเคลื่อนโดยเริ่มจากจังหวัดซันญานและเมืองตับรีซ แม้แต่ในบางหมู่บ้านก็เช่นเดียวกัน จนในที่สุด ก็ได้มาจบลงที่กรุงเตหะราน ซึ่งถือว่าเป็นการชกปากชาติมหาอำนาจ จอมอหังการและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องก้าวถอยหลังออกไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นให้เห็นว่า เหล่าศัตรูหลักของประชาชาติอิหร่านนั้นมีความเข้าใจในความหมายและสารของการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ของมวลมหาชนนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา แน่นอนว่า ประชาชาติอิหร่านได้แสดงถึงความยิ่งใหญ่และเราก็ต้องขอขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาประชาชนที่มีเกียรติยิ่งนี้ ด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวต่อในการปราศรัยของท่าน โดยท่านกล่าวอธิบายถึงจุดยืนของสมาชิกและการดำเนินการ รวมทั้งการให้บริการขององค์กรบะซีจญ์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การจัดตั้งองค์กรบะซีจญ์มุสตัฎอะฟีน (องค์กรอาสาสมัครของบรรดาผู้ที่ถูกกดขี่) นั้นเป็นแนวคิดที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใดของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ทรงเกียรติ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปฏิวัติอิสลามและหลักการอิสลาม ในขณะนี้ บะซีจญ์ ได้กลายเป็นเครือข่ายภาคประชาชน ทางวัฒนธรรม สังคม และการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “นี่คือศิลปะของท่านอิมามที่ทำให้ปรากฏการณ์อันไม่เหมือนผู้ใดนี้ได้ปักลงตรงกลางหัวใจของตรอก ซอกซอยของเมืองทั้งหลาย ทั้งยังดำรงอยู่กับประชาชนอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การจัดตั้งองค์กรบะซีจญ์ คือ ตัวอย่างที่เด่นชัดของการทำให้ภัยคุกคามได้กลายเป็นโอกาส โดยท่านกล่าวว่า “เมื่อวันที่ 13 เดือนอาบาน 1358 (ปฏิทินอิหร่าน) หลังจากเหตุการณ์การทำลายรังสายลับและการบุกเข้ายึดสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน พวกสหรัฐ นอกเหนือจากการข่มขู่คุกคามด้วยวาจาแล้ว ยังได้คุกคามด้วยการปฏิบัติและการส่งเรือรบเข้าประจำที่อ่าวเปอร์เซีย ในขณะที่สาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกทางการทหารและการป้องกันที่เหมาะสม แต่ทว่าท่านอิมาม (ร.ฎ) ได้ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือน หลังจากวันที่ 13 เดือนอาบาน ในวันที่ 5 เดือนอาซัร ปี 1358 ด้วยการออกคำสั่งให้จัดตั้งองค์กรบะซีจญ์และท่านอิมามก็ยังได้ทำให้ภัยคุกคามกลายเป็นโอกาสอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินการของท่านอิมาม (ร.ฎ) นั้น เป็นการแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ในการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ โดยท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า “หากว่าในช่วงเวลานั้นเราได้พลาดท่าจากการเผชิญหน้ากับสหรัฐ เราก็จะไม่ทราบได้ว่าชะตากรรมของประเทศจะเป็นเช่นไร ด้วยเหตุนี้เอง ความจริงและตรรกหลักของบะซีจญ์ ก็คือ การขจัดภัยคุกคามและการทำให้ภัยคุกคามได้กลายเป็นโอกาส”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงประเด็นภัยของการหนีรอดและทำให้รัฐอิสลามต้องพบเจอกับภัยคุกคามเหล่านี้มาโดยตลอด โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “รัฐอิสลามนั้นได้รับมาจากพื้นฐานและคุณค่าต่างๆของอิสลาม และอิสลามก็เช่นเดียวกัน เป็นดั่งธงชัยแห่งความยุติธรรมและอิสรภาพในขณะที่อีกมุมหนึ่ง คือ ระบอบมหาอำนาจที่มีพื้นฐานทางความขัดแย้งกับอิสรภาพและความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้เอง ตามธรรมชาตินั้น รัฐอิสลามจึงต้องเผชิญหน้ากับการข่มขู่คุกคามของเหล่าชาติมหาอำนาจ จอมอหังการนี้ด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวอธิบายถึงตัวอย่างในการต่อต้านของระบอบมหาอำนาจกับอิสรภาพและความยุติธรรมในสหรัฐอเมิรกาและในยุโรป รวมทั้งประเทศอื่นๆ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ระบอบมหาอำนาจ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับอิสรภาพของประชาชาติทั้งหลาย โดยถือว่าเป็นการดูหมิ่นดูแคลนต่อพวกเขา และในประเด็นนี้ พวกเขาก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะพูดถึงเจตนาของพวกตน ดั่งเช่นที่พวกสหรัฐได้พูดออกมาอย่างเปิดเผยว่า พวกเขาต้องการน้ำมันจึงบุกเข้ามายังซีเรีย หรือพวกเขาเข้ามายังฐานทัพทหารในอิรักโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตและพวกเขาก็ไม่สนใจต่อรัฐบาลและเมืองหลวงของประเทศนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อิสลามคือจุดที่ตรงกันข้ามกับแนวคิดของมหาอำนาจ โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “อิสลามได้เปิดเผยไปในทิศทางเดียวกันกับความยุติธรรม การปกป้องอิสรภาพและการเผชิญหน้ากับความฉ้อฉลและความอยุติธรรม ดั่งเช่นที่ระบอบสาธารณรัฐอิสลาม ได้คัดค้านกับสหรัฐและการดำเนินการของสหภาพโซเวียตในการละเมิดต่ออัฟกานิสถาน นับตั้งแต่ช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวสรุปในการปราศรัยของท่าน โดยท่านกล่าวว่า “แนวคิดของอิสลาม ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใดก็ตาม ระบอบมหาอำนาจก็จะต่อต้านแนวคิดนี้อย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดของอิสลามที่มาในรูปแบบของรัฐอิสลามและการมีอำนาจทางการเมืองด้วยกับประชาชาติที่ยิ่งใหญ่และกองกำลังทหารและตำรวจ ทั้งยังมีขีดความสามารถทางความรู้ ด้วสถานการณ์เช่นนี้ ได้เกิดภัยคุกคามและความเป็นศัตรูมากเพิ่มอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ระบอบมหาอำนาจและสหรัฐใน 40 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าพวกเขาจะมีขีดความสามารถมากเท่าใด พวกเขาก็ใช้มันทั้งหมดในการเผชิญหน้ากับรัฐอิสลาม แต่ทว่าต้นไม้อันสวยงามนี้ จะมีความเข้มแข็งและมีความมั่นคงที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน และทำให้ศัตรูต้องประจักษ์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเน้นว่า “คำว่า มุกอวิมัต (การยืนหยัด) ด้วยกับพื้นฐานและตรรกะนี้จึงมีความหมายและคำๆนี้ได้เกิดขึ้นในยุคร่วมสมัยของฝ่ายมุกอวิมัต และการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ของอิสลามด้วยกับตรรกะของมุกอวิมัตจึงทำให้ระบอบมหาอำนาจต้องพบกับความพ่ายแพ้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คำว่า “มุกอวิมัต” ในประโยคที่ว่า กองกำลังมุกอวิมัตบะซีจญ์มุสตัฎอะฟีน (บรรดาผู้ที่ถูกกดขี่) นั้นได้รับมาจากแนวคิดอันนี้ โดยท่านกล่าวว่า “บรรดามุสตัฎอะฟีน มีความหมายตรงกันข้ามกับวันนี้ที่เข้าใจว่า หมายถึง บุคคลที่มีอ่อนแอและไร้ความสามารถ แต่ความหมายที่แท้จริงคือ มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นผู้นำโลกแห่งมวลมนุษยชาติและเป็นผู้ปกครองแห่งพระเจ้าบนแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้เอง การยืนหยัดจำต้องมีรากฐานทางจิตวิญญาณ และรากฐานดังกล่าวนี้ก็เป็นอัตลักษณ์ของการขับเคลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของบรรดาเยาวชนทั้งหลาย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายถึงลักษณะอันพิเศษของเยาวชนที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนประเทศเพื่อไปสู่ยังอารยธรรมใหม่แห่งอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เยาวชนเช่นนี้ ด้วยกับการมีแรงจูงใจด้วยความศรัทธา ผู้ที่ปฏิบัติงานและมีนวัตกรรมใหม่ ผู้ที่มอบหมายการงานต่อพระเจ้า มีความเชื่อมั่นตนเอง และรู้จักคุณค่าของความสามารถของตนอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นให้เห็นว่า ในเป็นความจริง องค์กรบะซีจญ์นั้น เป็นองค์กรที่มีคุณลักษณะอันพิเศษเหล่านี้ โดยท่านผู้นำสูงสุดได้ตั้งข้อสังเกตว่า “องค์กรที่กว้างขวางด้วยกับความยิ่งใหญ่ นั่นก็คือ องค์กรบะซีจญ์ในอิหร่าน หรือตัวอย่างอื่นๆในบางประเทศ ที่ระบอบมหาอำนาจนั้นมีความเป็นศัตรูมากกว่าองค์กรอื่นๆ เหมือนดังเช่นกลุ่มฮัชดุชชะอ์บี (อาสาสมัคร) ในอิรัก และกลุ่มฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนก็ถูกต่อต้านและมีการเผชิญหน้าอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ระบอบมหาอำนาจ คือ ศัตรูของประชาชาติอิหร่านทั้งหมด และในขณะเดียวกัน ท่านกล่าวว่า “แต่ความเป็นปฏิปักษ์นี้ ไม่มีผลแต่อย่างใด ขณะที่ชัยชนะจะเกิดขึ้นกับประชาชาติอิหร่านและบะซีจญ์และขบวนการปฏิวัติ เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ว่า หากว่าประชาชาติหนึ่งได้มีการขับเคลื่อนไปในทิศทางและเป้าหมายของพระเจ้า แน่นอนว่าพระองค์ก็จะทรงช่วยเหลือต่อพวกเขาและในการขับเคลื่อนของพวกเขา และด้วยกับการช่วยเหลือของพระองค์จะไม่มีขบวนการใดที่จะสามารถปราชัยเหนือพระองค์ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า บะซีจญ์ต้องเผชิญหน้าด้วยกับสองวิธีการ การต่อสู้ในการป้องกันทางฮาร์ดแวร์ และการป้องกันจากสงครามจิตวิทยา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในการป้องกันทางด้านฮาร์ดแวร์ ความมหัศจรรย์ของบะซีจญ์ได้แสดงให้เห็นในช่วงสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และหลังจากนั้น บะซีจญ์ก็เข้าร่วมในทุกๆเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการเข้าร่วมอันมีประสิทธิภาพของบะซีจญ์ในการป้องกันและสงครามจิตวิทยา เช่น ทางด้านความรู้ วัฒนธรรม การเผยแพร่ศาสนา และการสร้างสรรและการให้บริการ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ทางด้านบะซีจญ์ บุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นตัวอย่าง เช่น ชะฮีดฮุเซน ฟะมีเดะฮ์ เบฮ์นอม มูฮัมมะดี มุฮ์ซิน ฮุญาญี และอิบรอฮีม ฮาดีย์ จนกระทั่ง ชะฮีดฮิมมัต บากิรี คัรรอซี กอซิมี ซัยนุดดีน ซัยยอด และบอบออี และเช่นเดียวกัน บรรดาชะฮีดนิวเคลียร์และบรรดาชะฮีดชัมรอน และออวีนี และบุคคลสำคัญ เช่น กาซิมี ออชทิยอนี ที่จะต้องมีการเทอดเกียรติและนำมาเป็นตัวอย่างให้กับบรรดาเยาวชนทั้งหลาย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการจัดตั้งองค์กรบะซีจญ์ที่ผ่านไป 40 ปีแล้ว และการสร้างโอกาสที่เหมาะสมด้วยในการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ โดยท่านได้กล่าวถึงบรรดาบะซีจญ์ว่า
1.บะซีจญ์ทั้งหลายจะต้องเตรียมพร้อมในทุกภาคสนาม ทั้งในสงครามฮาร์ดแวร์และระดับปานกลางและสงครามจิตวิทยา และจะต้องมีความพร้อมในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆทางยุทธศาสตร์และกลยุทธ์
2.พวกท่านอย่าได้เพิกเฉยเป็นอันขาดในทุกๆกรณี และจะต้องพยายามที่จะเข้าร่วมให้ได้ในทุกๆสถานที่
3.ในสงครามจิตวิทยา พวกท่านอย่าได้มีปฏิกิริยาทางการปฏิบัติ แต่ก็จะต้องมีคำตอบให้ศัตรู เหมือนดั่งเช่น การเล่นหมากรุกที่ผู้เชี่ยวชาญจะนำไปก่อนและแสดงให้ศัตรูได้เห็น
4.พวกท่านจะต้องสร้างความสัมพันธ์กับมัสญิดให้เข้มแข็ง เพราะว่าบะซีจญ์นั้นถือกำเนิดมาจากมัสญิด
5.พวกท่านจะต้องให้ความร่วมมือกับองค์กรและหน่วยงานที่มีเป้าหมายไปในทิศทางเดียวกันกับบะซีจญ์ ทั้งในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศ
6.บะซีจญ์จะต้องมีความฉลาดหลักแหลมและไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้กับผู้ใด
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในข้อแนะนำประการที่ 7 กล่าวคือ การให้ข้อมูลในการให้การบริการของบะซีจญ์ให้กับประชาชน โดยท่านได้อธิบายถึงสถิติอันภาคภูมิใจในการให้บริการของหน่วยงานภาคประชาชนนี้ โดยท่านกล่าวว่า “กลุ่มอาสาสมัครญิฮาดีทั่วประเทศจำนวนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคนซึ่งมีความรับผิดชอบโครงการใหญ่ถึง 40 โครงการ ซึ่งครึ่งหนึ่งในโครงการเหล่านั้นได้กระทำเสร็จแล้ว และเราได้เน้นย้ำมาหลายครั้งแล้วว่า บะซีจญ์(อาสาสมัคร)ในมหาวิทยาลัยเป็นขบวนการที่สำคัญและมีบทบาทอันเฉพาะที่มีจำนวนสี่พันห้าร้อยคนในช่วงเริ่มต้น การจัดตั้งกองทุนกู้ยืมในหนึ่งหมื่นสองพันกองทุนด้วยการเพียรพยายามของบะซีจญ์ บะซีจญ์ในกลุ่มชนเร่ร่อนและบะซีจญ์ในหมู่สตรีทั้งหลายที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในมหกรรมท่านมาลิก อัชตาร บะซีจญ์ในหมู่คณาจารย์ในช่วง 40 ปีแห่งการปฏิวัติ และการดำเนินการอย่างทันเวลาในการจัดพิมพ์จดหมายเปิดผนึกด้วยการลงนามของบรรดาอาจารย์จำนวน 900 คน ขณะที่บางคนต่างหมดหวังและมีคำตอบที่ย้อนแย้ง บะซีจญ์ในกระทรวงต่างๆด้วยกับการจัดตั้งโต๊ะในการให้บริการต่อประชาชนในนมาซวันศุกร์ บะซีจญ์ในเกษตรกรรมด้วยกับนักวิศวกรจำนวน 3 หมื่นคน ได้มีผลผลิตเช่น ข้าวสารี ข้าวบาร์เลย์และข้าวโพดเป็นต้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงความจำเป็นในการให้ข้อมูลในการให้บริการของบะซีจญ์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยการอธิบายถึงข้อเท็จจริงนี้ เป็นที่กระจ่างชัดว่า บะซีจญ์ได้เข้าร่วมในการปกป้องความมั่นคงของประชาชน การต่อสู้กับเหล่าคนชั่วร้าย บรรดาผู้ที่บ่อนทำลาย ผู้เผาสถานที่สาธารณะและภาคเอกชน รวมทั้งบ้านเรือนของประชาชน โดยพวกเขาได้สร้างความภาคภูมิใจในการให้บริการ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นในช่วงท้ายว่า “บะซีจญ์ด้วยกับเหตุผลที่ว่ามีความสำคัญกับประชาชนและประเทศอย่างมาก จึงตกเป็นเป้าหมายในแผนการสมรู้ร่วมคิดและการแทรกแซงของศัตรู เพื่อที่จะทำให้การขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่นี้ต้องเกิดปัญหาภายใน แน่นอนว่า ด้วยกับพลังอานุภาพของพระเจ้า จะทำให้บะซีจญ์นั้นได้รับชัยชนะในการต่อสู้และการต่อกรกับศัตรูอย่างแน่นอน”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นายพล สุไลมานี ผู้อำนวยการองค์กรบะซีจญ์มุสตัฎอะฟีน ได้กล่าวรายงานการดำเนินการและแบบแผนของบะซีจญ์ เช่น การเสริมสร้างฐานแห่งการป้องกัน การช่วยเหลือให้เกิดผลกระทบทางสังคมให้น้อยลง การขยายวงกว้างของกลุ่มต่างๆและการให้บริการแบบญิฮาดี และการเผชิญหน้ากับสงครามจิตวิทยา โดยเขากล่าวว่า “การจัดตั้งองค์กรบะซีจญ์มุสตัฎอะฟีนในบางประเทศ การรวมตัวของบะซีจญ์ในประชาชาติหนึ่งเดียวกันในรูปแบบของอารยธรรมใหม่แห่งอิสลาม และบรรดาบะซีจญ์ของอิหร่าน จะเป็นผู้ถือธงชัยในการปลดปล่อยอัลกุดส์ (กรุงเยรูซาเล็ม) รวมทั้งการล้มสลายของรัฐเถื่อนไซออนิสต์”