สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

สัมมนาสัปดาห์แห่งเอกภาพอิสลามและทุตานุทูตของประเทศอิสลามเข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

การกำจัดอิสราเอลหมายถึง เจ้าของแผ่นดินที่แท้จริงคือชาวปาเลสไตน์

บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ และบรรดาแขกผู้เข้าร่วมในการสัมมนาสัปดาห์แห่งเอกภาพอิสลาม ทุตานุทูตประเทศอิสลามและประชาชนในทุกภาคส่วนจำนวนหนึ่งได้เข้าพบปะกับท่านผู้สูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  โดยท่านผู้นำถือว่า สาเหตุของความโศกเศร้าของโลกอิสลามในวันนี้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เลวร้ายในปาเลสไตน์ เนื่องจากความอ่อนแอในการสร้างเอกภาพระหว่างอิสลามด้วยกัน และท่านผู้นำยังได้เน้นว่า การกำจัดอิสราเอล หมายถึง การกำจัดระบอบการปกครองจอมปลอมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์และการจัดตั้งรัฐบาลที่ประชาชนชาวปาเลสไตน์เป็นผู้เลือกด้วยตัวของพวกเขาเอง ไม่ว่า เขาจะเป็นชาวมุสลิม คริสต์ หรือชาวยิวก็ตาม โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เหล่าศัตรูของอิสลาม โดยมีแกนนำหลัก คือ สหรัฐนั้นได้ต่อต้านกับหลักการอิสลามและประเทศทั้งหมดของอิสลาม ซึ่งอาวุธหลักของพวกเขาในภูมิภาคของเรา(ตะวันออกกลาง)   ก็คือ การแทรกซึมในศูนย์กลางต่างๆที่มีความสำคัญในการตัดสินใจ การสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นกับประชาชาติทั้งหลาย และการเสนอให้ยอมรับต่อสหรัฐ ถือว่าเป็นวิธีการในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งวิธีการเยียวยาในแผนการณ์เหล่านี้ คือ การสร้างความกระจ่างชัดและการยืนหยัดในแนวทางที่เป็นสัจธรรม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวโรกาสวันประสูติของท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติแห่งอิสลาม (ศ็อลฯ)และท่านอิมามญะอ์ฟัร ศอดิก (อ) โดยท่านถือว่า ท่านศาสดา ผู้ทรงยิ่งใหญ่แห่งอิสลาม คือ อัลกุรอานที่เดินได้ เป็นสิ่งถูกสร้างที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุดของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นรัศมีอันเจิดจรัส เป็นสื่อกลางในการดำรงชีพและเป็นแสงสว่างให้กับสังคมแห่งมวลมนุษยชาติ โดยท่านผู้นำ ยังกล่าวอีกว่า มนุษย์ทั้งหลายจะเข้าใจในความจริงเหล่านี้ และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะได้เห็นในวันที่โลกอิสลามนั้นมีความปลื้มปิติยินดี เนื่องในสัปดาห์แห่งวันประสูติของท่านศาสดา และจะไม่มีความทุกข์เศร้าระทมอีกต่อไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการสถาปนาสัปดาห์เอกภาพในสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ในช่วงวันที่ 12 ถึง 17 เดือนรอบีอุลเอาวัล  ว่า เป็นการสร้างความเป็นเอกภาพที่มิใช่การขับเคลื่อนทางการเมืองและเชิงกลยุทธ์ แต่เป็นการสร้างเอกภาพของประชาชาติอิสลาม ด้วยกับความศรัทธาและการมีความเชื่อด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ โดยท่านผู้นำ กล่าวเสริมว่า “ความศรัทธานี้นั้นมีรากฐาน แม้แต่ก่อนการสถาปนาสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน บุคคลที่สนับสนุนแนวคิดนี้ ก็คือ ท่านอยาตุลลอฮ์ บุรุจญิรดี ท่านมัรญิอ์ผู้ยิ่งใหญ่ของชีอะฮ์ในยุคสมัยนั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ระดับขั้นที่ต่ำที่สุดและเป็นก้าวแรกของความเป็นเอกภาพของโลกอิสลาม คือ การออกห่างจากการละเมิดและการสร้างความเสียหายในสังคม รัฐบาล ชาติพันธุ์ และสำนักคิดต่างๆ ของอิสลาม โดยท่านกล่าวว่า “ในระดับขั้นที่สูงกว่า ประเทศทั้งหลายของอิสลามนั้น จะต้องให้ร่วมมือด้วยกันทั้งทางด้านความรู้ ความมั่งคั่ง ความมั่นคงและการมีอำนาจทางการเมืองเพื่อที่จะทำให้อารยธรรมใหม่ของอิสลามนั้นเกิดขึ้น และความพยายามที่จะทำให้สาธารณรัฐอิสลามได้ไปถึงยังจุดนี้ กล่าวคือ การไปถึงยังอารยธรรมใหม่ของอิสลาม ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายสุดท้าย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นในโลกอิสลาม เช่น ประเด็นปัญหาปาเลสไตน์ การทำสงครามหลั่งเลือดในเยเมน เอเชียตะวันตก และแอฟริกาเหนือล้วนเกิดขึ้นมาจาการไม่ยึดมั่นต่อหลักการในการหลีกเลี่ยงจากความขัดแย้งและการสร้างความเป็นเอกภาพในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูร่วมกัน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความโศกเศร้าระทมที่ใหญ่ที่สุดของโลกอิสลามในวันนี้ คือ ประเด็นปาเลสไตน์ที่ประชาชาติปาเลสไตน์ต้องเร่ร่อนลี้ภัยออกจากภูมิลำเนาและบ้านเกิดของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงจุดยืนของท่านอิมามโคมัยนี ผู้ทรงสูงส่ง ในช่วงแรกของขบวนการเคลื่อนไหวแห่งอิสลาม โดยการประกาศถึงอันตรายจากการแทรกซึม การแทรกแซงและความฉ้อฉลของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และถือว่า จุดยืนสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ในประเด็นปาเลสไตน์ คือ จุดยืนที่แน่วแน่และมีหลักการ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นับจากช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม จนกระทั่งถึงวันนี้ ยังคงมีจุดยืนเหมือนเดิม หมายความว่า เราได้ช่วยเหลือประเด็นปาเลสไตน์และชาวปาเลสไตน์อย่างไม่มีเงื่อนไขและจะช่วยเหลือต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเราถือว่านี่คือหน้าที่ของโลกอิสลามทั้งหมด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความพยายามของเหล่าศัตรูในการดัดแปลงความหมายที่เน้นย้ำของท่านอิมามโคมัยนีและบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯที่เกี่ยวกับการกำจัดและการลบอิสราเอลออกจากแผนที่โลก โดยท่านผู้นำ กล่าวว่า “เรานั้นยืนเคียงข้างฝ่ายสนับสนุนปาเลสไตน์ อิสรภาพและการปล่อยปล่อยพวกเขา และการกำจัดอิสราเอล มิได้หมายถึงการกำจัดประชาชนชาวยิว เพระว่า เรานั้นไม่มีการกระทำใดๆกับพวกเขา ดังเช่นที่ประเทศของเรา ก็มีชาวยิวจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างปลอดภัยที่สุด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การกำจัดอิสราเอล หมายถึง การล้มสลายของระบอบการปกครองจอมปลอมของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และท่านผู้นำได้เน้นว่า “ชาวปาเลสไตน์ ไม่ว่าจะเป็นชาวมุสลิม คริสต์ และชาวยิว พวกเขาเหล่านั้นคือ เจ้าของแผ่นดินที่แท้จริง และพวกเขาก็จะต้องมีความสามารถที่จะเลือกรัฐบาลด้วยตัวของพวกเขาเองและทำให้พวกต่างชาติและผู้ที่สร้างความเสียหาย เช่น นายเนทันยาฮูนั้นไม่มีสิทธิในการบริหารจัดประเทศของพวกเขา ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อโดยถือว่า ความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐและรัฐเถื่อนไซออนิสต์และเหล่าศัตรูของเอกภาพอิสลาม นั้นพุ่งเป้ายังประเทศทั้งหมดของอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “อัตลักษณ์ของอิสลาม คือ การปฏิเสธความฉ้อฉล ความอหังการและการยึดครอง ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงทำการต่อต้านกับหลักการของอิสลามและประเทศทั้งหมดของอิสลาม และภาพลักษณ์ที่ว่าความเป็นศัตรูของพวกเขา เฉพาะกับสาธารณรัฐอิสลามนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้คำพูดที่เหยียดหยามของพวกสหรัฐเกี่ยวกับชาวซาอุดี้ โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขาได้พูดอย่างชัดเจนว่า ชาวซาอุดี้นั้น นอกจากเงินแล้วไม่มีสิ่งใดเลย หมายความว่า เราจะต้องเข้าไปครอบงำมัน และนี่คือ ความเป็นศัตรูที่ชัดเจนต่อประเทศและประชาชาติหนึ่ง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขาก็จะต้องเข้าใจด้วยว่าในทางตรงกันข้ามกับการเหยียดหยามเช่นนี้ที่มีต่อความกระดากอายของชาวอาหรับและเกียรติยศของอิสลามนั้นมีหน้าที่อะไรบ้าง?

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปรากฏตัวของสหรัฐในภูมิภาค เป็นสาเหตุในการสร้างความชั่วร้าย ความเลวร้าย ความไม่ปลอดภัยและการเกิดขึ้นของกลุ่มต่างๆ เช่นกลุ่มดาอิช (ไอซิส) และท่านผู้นำยังเน้นถึงความจำเป็นของประชาชาติทั้งหลายของอิสลามที่จะต้องทำความรู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงและผู้กลับกลอกของสหรัฐ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “อาวุธหลักของสหรัฐในวันนี้ ในภูมิภาคของเรา (ตะวันออกกลาง) คือ การแทรกซึมในศูนย์กลางต่างๆที่สำคัญและการตัดสินใจของประเทศ การสร้างความแตกแยกและการสั่นสะเทือนในเจตนามุ่งมั่นของประชาชาติทั้งหลาย การสร้างความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชาติและรัฐบาลต่างๆ การยุ่งเกี่ยวในการคำนวณของผู้ตัดสินและการทำให้ประเด็นเหล่านี้กลายเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆ การยอมรับสหรัฐและการยอมอยู่ใต้ธงของสหรัฐ คือ อาวุธที่อันตรายอย่างมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วิธีการในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู คือ การปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า กล่าวคือ การยืนหยัดบนเส้นทางแห่งสัจธรรม โดยท่านผู้นำได้กล่าวเสริมว่า “แต่ทว่าในการยืนหยัดนี้ก็มีความยากลำบากด้วยเช่นกัน แต่การมีความอดทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ คือ การปฏิบัติการกระทำที่ดีและแน่นอนว่า พระเจ้าทรงประทานรางวัลตอบแทนให้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน การยอมรับศัตรูก็จะเกิดความยากลำบากที่มากกว่าอีก และพระองค์ก็จะทรงลงโทษต่อผู้ที่ยอมรับในความฉ้อฉลอีกด้วย”

ในช่วงท้าย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านถือว่า การขับเคลื่อนและการดำเนินการของ

โลกอิสลามบนทิศทางของความเป็นอิสรภาพทางการเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจของประชาชาติอิสลาม การสร้างเอกภาพและการมีอำนาจของประชาชาติอาลาม การช่วยเหลือประชาชน และบรรดาผู้ที่ด้อยโอกาส การเผยแพร่ความจริงและการต่อสู้กับการมโนภาพ การส่งเสริมความรู้และการวิจัย เช่น พลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือ การกระทำที่ดีงามอย่างยิ่ง และท่านผู้นำ ยังได้กล่าวว่า “ พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันตินั้นเป็นสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายนั้นมีความต้องการ แต่พวกตะวันตกกับต้องการที่จะผูกขาดพลังงานเหล่านี้เพียงผู้เดียว  และในทางตรงข้าม เกียรติยศ ศักดิ์ศรี และอิสรภาพของประชาชาติทั้งหลายที่จะให้กับพวกเขาเพียงทีละน้อย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “พวกตะวันตกนั้นรู้ดีว่า เราไม่แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งทางด้านหลักการพื้นฐานและด้วยหลักศรัทธา ดังนั้น สาเหตุที่พวกเขาต่อต้านในการขับเคลื่อนของสาธารณรัฐอิสลาม คือ การยับยั้งอิหร่านไม่มีความก้าวหน้าทั้งทางความรู้ อุตสาหกรรมและการมีศักยภาพทางนิวเคลียร์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หน้าที่ของบรรดาปัญญาชนและนักวิชาการของโลกอิสลาม นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านได้เน้นว่า “พวกท่านนั้น จะต้องปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของพวกท่านและอย่าได้หวาดกลัวต่อศัตรูเป็นอันขาด และจงรู้ไว้เถิดว่า พวกท่านจะเห็นโลกอิสลามที่เต็มไปด้วยกับความหวังอันสว่างไสว ซึ่งด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ในอนาคตที่ไม่ไกลไปจากนี้อย่างแน่นอน

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม  ฮุจญตุลอิสลาม โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน กล่าวว่า “การประสูติของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลาม เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่โลกเต็มไปด้วยการแบ่งชนชั้นวรรณะ สงครามและการหลั่งเลือด”

พณฯท่านโรฮานี กล่าวเสริมว่า “ท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติได้นำพระมหาคัมภีร์แห่งฟากฟ้า มาตราวัด ความซื่อสัตย์ ความรู้ ความศรัทธาและความเป็นเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวใจ ซึ่งถือว่าท่านนั้นเป็นแบบฉบับที่ดีที่สุดของโลกและสังคมทั้งหลาย”

ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังได้กล่าวอธิบายถึงการมีอิทธิพลของสาธารณรัฐอิสลามในภูมิภาค ด้วยกับเหตุผลการเชิญชวนของการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวว่า “อิทธิพลของการปฏิวัติอิสลามนั้นมีพลังดึงดูดหัวใจทั้งหลาย และหากว่าในวันนี้ ประชาชาติซีเรีย เลบานอน เยเมน อิรักและบาห์เรน รู้สึกมีความใกล้ชิดกับสาธารณรัฐอิสลาม ก็เพราะว่าเหตุผลจากสาส์นแห่งการปฏิวัติ”

ท่านโรฮานี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า บุตรหลานของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้นได้เสียสละชีวิตตนเพื่อปกป้องประชาชาติซีเรียและอิรักด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ โดยเขาได้เน้นว่า “หากว่าบรรดาบุตรหลานของเราได้เข้าร่วมในซีเรีย อิรักและเลบานอน ก็เพราะว่าพวกเขานั้นต้องการความเป็นอิสรภาพของมนุษย์ทั้งหลาย และการดำเนินรอยตามแนวทางของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ และในวันนี้ เรานั้นต้องการเอกภาพ ความเป็นพี่น้องกัน และการปฏิบัติตามแนวทางของท่านศาสนทูต ผู้ทรงเกียรติแห่งอิสลาม”

ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังได้เน้นให้เห็นอีกว่า วิธีการเดียวที่ทำให้โลกในวันนี้รอดพ้นจากความแตกแยก ความล้าหลัง และความก้าวร้าวของสหรัฐและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ คือ การปฏิบัติตามแนวทางของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์  โดยเขากล่าวเสริมว่า “ในวันประสูติของท่านศาสดา ผู้ทรงเกียรติของอิสลาม เราต้องการเห็นโลกอิสลามมีความเป็นเอกภาพ ความเป็นพี่น้องกัน และการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับความฉ้อฉลและการละเมิด เพื่อที่จะได้รับชัยชนะเหนือสิ่งต่างๆเหล่านี้

ในช่วงท้ายของการเข้าพบปะกัน บรรดาแขกจำนวนหนึ่งในการสัมมนาสัปดาห์แห่งเอกภาพอิสลาม ได้เข้าพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามอีกด้วย

 

 

 

700 /