บรรดนักเรียนและนักศึกษาหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในวโรกาสวัน 13 เดือนอาบาน (ปฏิทินอิหร่าน) ซึ่งตรงกับวันแห่งการต่อสู้ของชาติกับมหาอำนาจของโลก โดยท่านผู้นำถือว่า รุ่นเยาวชนที่เต็มไปด้วยกับความสามารถ มีความสดใส และการมีแรงบันดาลใจ คือ ความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่และเป็นเสบียงสะสมอันทรงคุณค่าของอิหร่าน และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงความต่อเนื่องในความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐกับประชาชาติอิหร่าน ในเหตุการณ์รัฐประหารปี 1332 (ปฏิทินอิหร่าน) (1964 คศ. )จนถึงในปัจจุบันนี้ โดยท่านได้เน้นว่า “พวกสหรัฐนั้นที่มีนิสัยเยี่ยงสุนัขจิ้งจอก จอมเจ้าเล่ห์ แต่ทว่ายังมีความอ่อนแอและความป่าเถื่อนที่มากกว่า ในขณะเดียวกัน สาธารณรัฐอิสลามนั้นกลับมีการป้องกันที่แข็งแกร่งและการห้ามในการเข้าร่วมการเจรจา จะเป็นวิธีทางเดียวในการปิดกั้นการแทรกซึมอีกครั้งของสหรัฐที่มีต่อประเทศชาตินี้ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การส่งเสริมการผลิต คือ กุญแจที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประชาชน เช่น ปัญหาสินค้าราคาแพง อัตราเงินเฟ้อ ปัญหาการลดค่าสกุลเงินแห่งชาติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เราอย่าได้เหมือนกับในช่วงเวลาที่เรานั้นต้องรอคอยจากข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยไร้ประโยชน์และเสียเวลาเปล่า ขณะที่ในปัจจุบัน เราก็จะไม่รีรอในการดำเนินการของพวกยุโรป หรือประเด็นใดก็ตาม แต่ทว่าเราจะต้องคาดหวังจากในประเทศ และเราจะใช้ขีดความสามารถทั้งหมดในการส่งเสริมการผลิตอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า จุดเริ่มต้นของความเป็นปฏิปักษ์ที่ชัดเจนของมหาซาตานกับประชาชาติอิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า "ชาวอเมริกาไม่ได้มีความเมตตา แม้แต่รัฐบาลมุซัดดิกเองที่ไว้วางใจต่อพวกเขาก็ตาม และด้วยการล่มสลายของรัฐบาลแห่งชาติ ก็ได้นำรัฐบาลที่ต้องพึ่งพาและการทุจริตคอร์รัปชัน และระบอบเผด็จการเข้ามาแทนที่ และนี่คือความเป็นปฏิปักษ์อันใหญ่มากที่สุดที่มีต่อสิทธิของประชาชาติอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “รัฐบาลที่ถูกโค่นล้มโดยการก่อรัฐประหาร ในความเป็นจริงนั้นไม่ได้รับความไว้วางใจจากมหาซาตานเลย และพวกสหรัฐก็ได้มีอำนาจโดยผ่านระบอบปาห์เลวี จนกระทั่งสามารถเข้าควบคุมกองทัพ น้ำมัน การเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และในภาคส่วนอื่นของประเทศได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่า พวกสหรัฐบางคนได้พยายามที่จะทำการบิดเบือนประวัติศาสตร์ และจุดเริ่มต้นในการเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐกับอิหร่านนั้นมีความสัมพันธ์กับการบุกยึดรังสายลับ ของสหรัฐ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในช่วงแรก พวกสหรัฐได้ทำทีว่ามีความสัมพันธ์กับอิหร่านแบบผิวเผิน แต่ทว่า ในข้างในนั้นเต็มไปด้วยความเป็นศัตรู ซึ่งเมื่อวันที่ 28 เดือนโมรดาด (ปฏิทินอิหร่าน) ความเป็นศัตรูนั้นก็ได้เกิดขึ้นอย่างเปิดเผย และช่วงเวลานี้เอง เป็นช่วงเวลาการเริ่มต้นในการเป็นปฏิปักษ์อย่างทางการของสหรัฐกับอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การก่อรัฐประหารในเดือนโมรดาด ปี 1332 (ปฏิทินอิหร่าน) ทำให้ประชาชาติได้มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยท่านกล่าวเสริมว่า “สิบปี หลังจากนั้น ในปี1342 (ปฏิทินอิหร่าน) การต่อสู้แห่งอิสลามและประชาชนได้เริ่มต้นขึ้น และท่านอิมามโคมัยนีได้อธิบายถึงข้อเท็จจริงด้วยกับความเข้าใจในความเป็นจริงและการมีหัวใจร่วมของประชาชน ซึ่งในสายตาของประชาชาติอิหร่านนั้น ไม่มีผู้ใดที่น่ารังเกียจมากที่สุด เท่ากับประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงความจริงที่ว่าสหรัฐนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น นับตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขาก็มีความเลวร้ายเหมือนเดิม และมีคุณลักษณะสุนัขจิ้งจอก จอมเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม ทั้งยังก็มีความพยายามในการสร้างระบอบจอมเผด็จการระหว่างประเทศเหมือนเดิม นั่นคือ การมีเข้ามามีอำนาจโดยไม่มีขอบเขต ขณะเดียวกันในวันนี้ สหรัฐนั้นมีความป่าเถื่อนและมีความดุร้ายที่มากกว่าเดิมเสียอีก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงความกดดันและระบอบที่มืดมิดของยุคสมัยการปกครองของจอมเผด็จการที่เชื่อมโยงกับสหรัฐในอิหร่าน โดยท่านกล่าวว่า “การปฏิวัติอิสลามด้วยกับหลักการในการต่อต้านกับสหรัฐและระบอบเผด็จการที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐ โดยประชาชนทั่วไปด้วยการนำของท่านอิมามโคมัยนีที่สามารถทำลายระบอบกษัตริย์เช่นนี้ได้ และต่อมาก็มีการสถาปนาสาธารณรัฐอิสลามขึ้นมา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวถึงการดำเนินการบางอย่างของพวกสหรัฐใน 41 ปีที่ผ่านมา เช่น การข่มขู่คุกคาม รัฐประหาร การคว่ำบาตร การยั่วยุชาติพันธุ์ การแบ่งแยกดินแดน การสร้างความโกลาหล ความวุ่นวาย การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ การแทรกซึมและวิธีการอื่นๆ โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “พวกเขาจะใช้ความสามารถในช่วงเวลาเหล่านี้ในการต่อต้านกับองค์กรและหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับการปฏิวัติอิสลาม โดยเฉพาะในแผนการร้ายที่มีต่อสาธารณรัฐอิสลาม ที่ได้กระทำไปแล้ว และเราก็มีความสามารถในการเผชิญหน้ากับทุกๆการกระทำและเรายังได้จะทำให้กรณีต่างๆมากมายของฝ่ายตรงข้ามได้พบกับความปราชัยมาแล้ว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปิดกั้นเส้นทางในการแทรกซึมทางการเมืองอีกครั้งและการครอบงำอิหร่านครั้งใหม่ของสหรัฐ คือ คำตอบที่สำคัญอย่างยิ่งของสาธารณรัฐอิสลามในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายของเหล่าผู้ปกครองของวอชิงตัน โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “การไม่เข้าร่วมเจรจาอีกครั้งกับสหรัฐ คือ หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญในการปิดกั้นเส้นทางการแทรกซึมของพวกเขาต่ออิหร่านที่มีเกียรติยิ่งนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การโต้แย้งของสาธารณรัฐอิสลามกับสหรัฐนั้นมีตรรกะที่มั่นคง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “นี่คือ วิธีการที่ว่าด้วยเหตุและผล ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการในการปิดกั้นการแทรกซึมของพวกสหรัฐ โดยจะต้องพิสูจน์ให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และการมีพลังอำนาจของอิหร่าน และเห็นถึงความต่ำต้อยของฝ่ายตรงกันข้าม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความเหย่อหยิ่งและนิสัยความอหังการของสหรัฐ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “พวกสหรัฐได้สร้างบุญคุณให้กับเหล่าผู้นำของประเทศต่างๆในการเจรจา ด้วยกับการคะยั้นคะยอในการเจรจากับเจ้าหน้าที่ของอิหร่านในหลายปีที่ผ่านมา แต่สาธารณรัฐอิสลามได้ปฏิเสธ ซึ่งการยอมรับถึงประเด็นนี้ของเหล่าศัตรูของประชาชาตินั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เพราะว่าประชาคมโลกได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ในโลกนี้นั้นมีระบอบการปกครองที่ไม่ยอมรับการมีอำนาจของเผด็จการที่ละเมิดสิทธิระหว่างประเทศของสหรัฐและจะไม่ยอมรับคำพูดที่ฉ้อฉลเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเจรจากับสหรัฐนั้นไม่มีผลลัพท์อย่างแท้จริง โดยท่านได้เน้นว่า “บางคนคิดว่า การเจรจากับสหรัฐนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งถือว่า การกระทำเช่นนี้นั้นมีความผิดพลาดแบบร้อยเปอร์เซ็นเต็ม และจะไม่มีผลใดๆทั้งสิ้นจากการเข้าร่วมเจรจากับพวกสหรัฐเลย เพราะแน่นอนว่า พวกเขาจะไม่ได้ให้ความเป็นพิเศษใดๆกับพวกเราเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ของฝ่ายตรงข้าม โดยถือว่า การเข้าร่วมของเจ้าหน้าที่ชาวอิหร่านบนโต๊ะเจรจา หมายถึง การยอมคุกเข่าของสาธารณรัฐอิสลาม และการบีบคั้นในการเจรจา โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะบอกกับประชาคมโลกว่า ความกดดันสูงสุดและการคว่ำบาตรนั้นบรรลุผลและพวกอิหร่านต่างๆก็ยอมคุกเข่าและยอมรับในมัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “หากว่าเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐอิสลามนั้นมีความใจง่ายและได้เข้าร่วมในการเจรจา ก็ไม่ได้ทำให้ความกดดันและการคว่ำบาตรต่างๆนั้นลดน้อยลง แต่ทว่ายังเป็นการเปิดช่องทางให้กับพวกสหรัฐมีการคาดหวังและการบีบบังคับครั้งใหม่ต่ออิหร่านอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความพยายามต่างๆที่ไม่มีผลใดๆของสหรัฐในการกำจัดและการกำหนดขอบเขตทางอำนาจในการป้องกันขีปนาวุธของอิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในวันนี้ ด้วยกับความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า และความอุตสาหะพยายามของบรรดาเยาวชนของชาติทำให้เรานั้นมีขีปนาวุธที่ใรความแม่นยำในพิกัดระยะ 2,000 กิโลเมตร สามารถเผชิญกับทุกเป้าหมายได้ ขณะที่มีความผิดพลาดเพียง 1 เมตรเท่านั้นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “หากว่าเราเข้าสู่การเจรจา พวกสหรัฐก็จะคาดหวังในประเด็นขีปนาวุธของเราอีกด้วย เช่น พวกเขาจะบอกว่า ขีปนาวุธต่างๆของอิหร่านนั้นจะต้องมีพิกัดอย่างมากสุดเพียง 150 กิโลเมตรเท่านั้น ถ้าหากเจ้าหน้าที่ของเรายอมรับก็จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศของเรา และหากว่าไม่ยอมรับก็จะทำการจุดเพลิงให้ลุกเป็นไฟ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ประสบการณ์ต่างๆ เช่น การเจรจาที่ไม่มีผลของคิวบาและเกาหลีเหนือกับสหรัฐ นั้นเป็นบทเรียนที่สำคัญ โดยท่านกล่าวว่า “เหล่าเจ้าหน้าที่ของสหรัฐและเกาหลีเหนือต่างเป็นเหยื่อของกันและกัน แต่ในท้ายที่สุด พวกสหรัฐก็ไม่ได้ลดน้อยลงในการคว่ำบาตรจากกระบวนในการเจรจาและไม่มีความเป็นพิเศษใดๆเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการยืนหยัดของรัฐบาลฝรั่งเศสในการเป็นสื่อตัวกลาง โดยท่านกล่าวว่า “ประธานาธิบดีฝรั่งเศส บอกว่า การเข้าพบกับทรัมป์สักครั้งหนึ่ง จะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาทั้งหมดของอิหร่าน แต่เราอยากจะกล่าวกับเขาว่า บุคคลนี้ เป็นคนที่มีความง่ายเกินไป หรือไม่ก็เขานั้นได้ร่วมมือกับพวกสหรัฐ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ล่าสุด ด้วยกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับทราบแต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้น แต่ในการทดสอบและการทำให้ประเด็นนี้เป็นกระจ่างชัดกับทุกคน ข้าพเจ้าจะขอกล่าวว่า พวกสหรัฐได้กระทำผิดพลาดในการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ หากว่าพวกเขายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด ก็สามารถที่จะกลับเข้าสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ได้ แม้ว่า ข้าพเจ้านั้นรู้ดีว่า พวกเขานั้นจะไม่ยอมรับก็ตาม และก็ได้เป็นดั่งเช่นนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งคำถามที่ว่า ขอบเขตในการยุติความต้องการและการคาดหวังของสหรัฐที่มีต่ออิหร่านนั้นอยู่ที่ใด โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขาก็จะบอกว่า พวกท่านอย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในภูมิภาค อย่าได้ช่วยเหลือกลุ่มมุกอวิมัต (การยืนหยัดต้านทาน) อย่าได้เข้าร่วมในบางประเทศ และจงยุติในการผลิตขีปนาวุธและความสามารถในการป้องกันของตน และหลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องการที่จะบอกว่า พวกท่านจงออกห่างจากกฏหมายและหลักการของศาสนาและพวกท่านต้องไม่ให้ความสำคัญในประเด็นฮิญาบของอิสลาม ดังนั้น ความต้องการของพวกสหรัฐก็จะไม่มีวันหมดสิ้นเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าเคยกล่าวผ่านมาแล้ว เมื่อหลายปีที่แล้วในการพบปะกับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในฮุซัยนียะฮ์แห่งนี้ว่า และจะมีสถานที่ใดหรือที่พวกสหรัฐจะยุติความต้องการและไม่มีการคาดหวังใดๆทั้งสิ้น ในขณะที่การคาดหวังของพวกสหรัฐนั้นไม่มีที่ยุติหรอก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้อีกว่าพวกสหรัฐต้องการที่จะทำให้อิหร่านนั้นกลับเข้าสู่สถานการณ์ในช่วงก่อนการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้เน้นว่า “การปฏิวัติอิสลามนั้นมีความมั่นคงกว่าคำพูดเหล่านี้ และสาธารณรัฐอิสลามนั้น มีเจตนามุ่งมั่นอันเข้มแข็งดุจดั่งเหล็กกล้าและจะไม่อนุญาติให้พวกสหรัฐใช้กลยุทธ์ต่างๆเพื่อที่จะเข้ากลับมายังอิหร่านอีกครั้งได้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อถึงประเด็นในประเทศและปัญหาการส่งเสริมการผลิตโดยท่านได้ชี้และกล่าวว่า “แปดเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่คำขวัญประจำปีได้ประกาศออกไป แน่นอนว่าได้มีการดำเนินการบางอย่างที่ดีในแปดเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีบางส่วนที่จะต้องมีการดำเนินการและความพยายามที่มากกว่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นว่ากุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศนั้นขึ้นอยู่กับการส่งเสริมการผลิต โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้านั้นไม่ได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ก็ได้เน้นย้ำและแสดงวิสัยทัศน์โดยรวมในคำขวัญประจำปี เพราะว่า การสร้างงาน ความมั่งคงแห่งชาติ สวัสดิการของประชาชน แม้แต่ ความก้าวหน้าทางวิชาการก็จะเกิดขึ้นจากการส่งเสริมการผลิตทั้งสิ้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นว่า “การลดความกดดันของประชาชนและการแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น สินค้าราคาแพง อัตราเงินเฟ้อ การลดค่าสกุลเงินแห่งชาติ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการให้ความสำคัญในกรณีการส่งเสริมการผลิต”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมที่กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่หน่วยงานอุตสาหกรรมได้ปิดตัวลง เราก็จะให้การช่วยเหลือ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “คำพูดเหล่านี้นั้นดีอย่างมากและเป็นที่น่าปลื้มปิติอย่างยิ่ง และพวกเขาจะต้องยืนหยัดในคำพูดเหล่านี้ และบรรดาเจ้าหน้าที่อื่นๆก็จะต้องปฏิบัติเช่นนี้ด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อวิสัยทัศน์ในการรอคอยพวกต่างชาติ โดยกล่าวว่า “ในช่วงเวลาหนึ่ง เราได้เสียเวลาอย่างมากจากการรอคอยข้อตกลงนิวเคลียร์ และในช่วงเวลาหนึ่ง เราก็เสียเวลาเปล่ากับคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐในการขยายเวลาเป็นสามเดือน ในข้อตกลงนิวเคลียร์ อีกทั้งในช่วงเวลาหนึ่ง เราก็เสียเวลากับประธานาธิบดีฝรั่งเศสและแบบแผนของพวกฝรั่งเศส ในขณะที่รอคอย การลงทุนและนักเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจนั้นได้ประสบปัญหาโดยปราศจากการปฏิบัติหน้าที่ และยังทำให้ประเทศต้องพบกับการตกต่ำและความล้าหลังอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า พวกท่านทั้งหลายจงละทิ้งการรอคอยเหล่านี้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่าพวกท่านจงตัดขาดความสัมพันธ์ต่างๆ แต่ข้าพเจ้ากล่าวว่า อย่าได้คาดหวังกับพวกต่างชาติ จะต้องคาดหวังในประเทศเท่านั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงคำพูดของผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งเกี่ยวกับการลงนามในสัญญามูลค่า 9 หมื่นล้านล้านโตมาน ในจังหวัดหนึ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นี่แสดงให้เห็นถึงการมีศักยภาพของภาคส่วนที่เล็กน้อยที่ไม่อาจจะคำนวณได้ของจังหวัดทั้งหลาย ซึ่งจะต้องตระหนักในศักยภาพเหล่านี้ มีการดำเนินการและการติดตามผลอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในวิธีการส่งเสริมการผลิต คือ การป้องกันการนำเข้าของสินค้าที่มีสามารถผลิตในประเทศได้ โดยท่านกล่าวว่า “กลุ่มชนหนึ่งได้มีชีวิตและความมั่งคั่งด้วยกับการนำเข้าสินค้า แต่การนำเข้าที่ไม่ถูกวิธีและมากจนเกินไป เป็นเหตุให้เกิดการล้มละลายในการผลิตในประเทศและการว่างงานของบรรดาเยาวชนทั้งหลาย ดังนั้น วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆก็คือ รัฐบาลและรัฐสภาจะต้องมีการวางแบบแผนในการกำหนดนโยบายที่ถูกต้องในการปฏิบัติการ”
ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวยกย่องต่อเยาวชนทั้งหลายที่มีแรงบันดาลใจและพละกำลังและความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ โดยท่านกล่าวว่า “ประเทศนั้นต้องการเยาวชนรุ่นนี้อย่างแท้จริง เพราะว่าเยาวชนเหล่านี้คือ ผู้ที่เคร่งครัดต่อศาสนาและมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ อีกทั้งยังสามารถที่จะสร้างอิหร่านให้อยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงและมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นเรื่องการกำหนดขอบเขตของเยาวชน โดยท่านกล่าวเสริมว่า ผลกระทบของการดำเนินการเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งหลังจากผ่านไปสองทศวรรษก็จะปรากฏให้เห็นว่าอิหร่านนั้นจะมีรุ่นเยาวชนที่ไม่มีจำนวนมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่และการต่อสู้กับการกำหนดขอบเขตของเยาวชน โดยท่านได้เน้นว่า “ในประเด็นนี้จะต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่องและอย่างจริงจัง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวในช่วงท้ายในการปราศรัยของท่าน โดยกล่าวว่า “ศักยภาพต่างๆของประเทศนั้นมีอยู่มากมายและสาธารณรัฐอิสลาม ด้วยกับพลานุภาพและอำนาจแห่งพระเจ้า และด้วยกับสายตาอันมืดบอดของเหล่าศัตรูที่พวกเขาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่า ปัญหาต่างๆทั้งหมดนั้นก็จะได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน”