ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวในช่วงแรกของบทเรียนนิติศาสตร์อิสลามชั้นสูง โดยท่านผู้นำได้ชี้ถึง ความฉลาดหลักแหลมอย่างลึกซึ้งและน่าชื่นชมของประชาชนในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายของเหล่าศัตรูในช่วง 4 ทศวรรษ ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ ก็คือ การพึ่งพาประชาชน บรรดาเยาวชนและการใช้ประโยชน์จากศักยภาพภายในประเทศอย่างจริงจัง และท่านผู้นำยังได้ชี้อีกถึงข้อเสนอในประเด็นการเจรจาจากฝ่ายสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดข้อเรียกร้องของพวกเขาและการพิสูจน์นโยบายความกดดันสูงสุดต่ออิหร่าน โดยท่านเน้นว่า “นโยบายความกดดันสูงสุดในการเผชิญหน้ากับประชาชาติอิหร่านนั้นไร้ค่ายิ่งนัก และเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐอิสลามทุกคนต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกัน อีกทั้งยังเชื่อว่า จะไม่มีการเจรจาใดๆกับสหรัฐในทุกระดับ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในช่วงแรกของบทเรียนนิติศาสตร์ชั้นสูงของการเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ของสถาบันการศึกษาศาสนา ถือว่า พิธีการจัดงานไว้อาลัยให้กับท่านอะบาอับดิลลาฮ์ ท่านอิมามฮุเซน (อ) ในเดือนมุฮัรรอมของปีนี้นั้นมีเกียรติยิ่งมากกว่าในหลายปีที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความจริงที่เต็มไปด้วยความหมายนี้ แสดงให้เห็นว่า ความผูกพันธ์ของประชาชนกับบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ (อ) นั้นเป็นความผูกพันธ์ที่มั่นคงยิ่ง ถึงแม้จะมีการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่าศัตรูต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และแม้แต่จะมีความบันเทิงต่างๆมากมายและสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดอีกมากมายให้กับบรรดาเยาวชน แต่เมื่อเดือนมุฮัรรอมได้เข้ามาถึง คลื่นอันยิ่งใหญ่ของประชาชนที่ส่วนมากนั้นเป็นเยาวชนได้เดินทางมายังกระโจมของฮุเซน บิน อะลี (อ) และประชาชาติของเราก็จะดำเนินรอยตามกระโจมของท่านอะบาอับดิลลาฮ์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้อีกถึงบางประเด็นที่สำคัญที่สุดของวันนี้ โดยกล่าวว่า “ประชาชาติอิหร่านกำลังตัดสินใจในการเผชิญหน้ากับการโฆษณาชวนเชื่อที่กว้างขวางและใหญ่หลวงของศัตรูที่มีต่อประเทศและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่า ในการเผชิญกับคลื่นที่ซ่อนเร้นเหล่านี้และในบางครั้งก็ยังเป็นคลื่นใต้ดินที่แสดงให้เห็นถึงมุมหนึ่งของประเทศ แต่หน่วยงานต่างๆนั้นมีความเฉลียวฉลาด และสิ่งที่สำคัญก็คือ บทบาทของประชาชนนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า เวลาในการปรับปรุงกิจการของประเทศนั้นอยู่ในมือของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาเยาวชนทั้งหลาย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การมีเจตนามุ่งมั่น การตัดสินใจ การมีบะศีรัต (การประจักษ์แจ้ง) และความศรัทธาของประชาชน ก็สามารถที่จะนำพาประเทศไปสู่จุดที่พึงปรารถนาและบนพื้นฐานนี้ เราได้เน้นย้ำหลายครั้งแล้วถึงขีดความสามารถภายในของทุกภาคส่วน ทั้งทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความก้าวหน้าของประเทศทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงข่าวดีจากภาคส่วนในการผลิต โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในภาคส่วนของการผลิตนั้น มีข้อบกพร่องบางอย่างในภาคของการผลิต แต่ก็มีการขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีต่อเป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งประชาชนก็จะได้เห็นผลของมัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นว่าการเยียวยาปัญหาต่าง ๆ นั้นอยู่ในมือของประชาชน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จะต้องไม่มองพวกต่างชาติ โดยอย่าได้คาดหวังกับรัฐบาลนั้นและรัฐบาลนี้ และก็จะไม่ต้องพึ่งพายังการนั่งประชุมและการลุกขึ้นยืนของผู้อื่นอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าคำพูดนี้ไม่ได้หมายความถึงการปิดประตูในการมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลต่างๆของโลก เราเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดี นักเจรจา ทั้งในการประชุมและการลุกขึ้นต่อต้าน แต่อย่าทำให้การงานของประเทศนั้นต้องขึ้นอยู่กับการจัดประชุมและการต่อต้านของผู้อื่นเลย แม้ว่าพวกท่านนั้นมีความสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกของโลกได้ก็ตาม แต่ในการเยียวยาในประเทศและแก้ไขปัญหาต่างๆนั้นอยู่ในมือของประชาชน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดและวิธีการใหม่ที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านได้ยึดถือในโลกที่ก้าวหน้าจากการยอมรับพวกต่างชาติและตัวแทนของระบบทุนนิยมที่เน่าเฟะของตะวันตก ในแนวทางที่มีความภาคภูมิใจนี้ ถือว่าเป็นไปไม่ได้ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็จะกระทำทุกอย่างที่เป็นปฏิปักษ์ แต่ด้วยอานุภาพและพลานุภาพของพระเจ้า การกระทำเหล่านี้ จะไปไม่ถึงไหน และจะไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่ประชาชาติจะได้รับชัยชนะเหนือเหล่าศัตรูทั้งหลาย โดยเฉพาะสหรัฐฯ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงเป้าหมายของพวกสหรัฐในการเสนอการเจรจากับอิหร่านอีกครั้ง โดยกล่าวว่า “ทุกๆคนจะต้องรู้และมีความสนใจว่า นี่คือหนึ่งในกลอุบายของพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงจุดยืนที่แตกต่างกันของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในกรณีการเจรจา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “บางครั้งพวกเขาบอกว่า จะมีการเจรจาโดยที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น แต่บางครั้งพวกเขากลับพูดว่า จะมีการเจรจาโดยต้องมีข้อแม้ทั้ง 12 ประการ คำพูดดังกล่าวนี้ อาจเกิดขึ้นจากมาจากนโยบายปั่นป่วนหรือจะเป็นกลอุบายหนึ่งที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามนั้นเกิดความสับสน แน่นอนว่า สาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่มีความสับสน เพราะแนวทางของเรานั้นชัดเจนและเราทราบดีว่าเรากำลังจะทำอะไรอยู่
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของพวกสหรัฐในการเจรจาไม่ใช่เป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาอย่างยุติธรรม แต่เป็นการกำหนดข้อเรียกร้องที่หยาบคายของพวกเขา โดยท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยบอกแล้วว่าเป้าหมายของอเมริกาคือการกำหนดให้มีการเจรจาต่อรอง แต่พวกเขานั้นกลายเป็นคนที่หยาบคาย ที่ในวันนี้ ความจริงนั้นได้ออกมาจากปากของพวกเขาเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดล่าสุดของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯที่กล่าวว่าเราจะต้องนั่งโต๊ะเจรจากับอิหร่าน และเราจะพูดอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วอิหร่านก็จะต้องเห็นด้วยกับพวกเรา โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในการเจรจาเช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะต้องเข้าหาบุคคลที่อยู่ในฐานะเป็นวัวนม ขณะที่สาธารณรัฐอิสลามนั้น เป็นสาธารณรัฐของบรรดาผู้ศรัทธา เป็นสาธารณรัฐของชาวมุสลิมเพื่อภักดีต่อพระเจ้า และเป็นสาธารณรัฐแห่งเกียรติยศอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายต่อถึงเป้าหมายของสหรัฐฯในประเด็นนโยบาความกดดันสูงสุด ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะดึงอิหร่านให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ คือ การสร้างความกดดันสูงสุดต่ออิหร่านในรูปแบบของการคว่ำบาตร การข่มขู่ และการพูดจาเยาะเย้ยถากถาง เพราะว่ารัฐบาลปัจจุบันของสหรัฐฯนั้นเชื่อว่าการลุกขึ้นยืนให้เกียรติและเชื้อเชิญสาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่สามารถทำให้พวกเขาต้องคุกเข่ายอมรับและนอบน้อมได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ระบอบสหรัฐพยายามที่จะกำหนดให้นโยบายนี้ เป็นนโยบายที่ชัดเจนสำหรับคู่แข่งในประเทศและพวกยุโรป ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะรับมือกับอิหร่านได้ ก็คือ การสร้างความกดดันสูงสุด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้อีกว่า พวกสหรัฐและเหล่าพันธมิตรของพวกเขาต่างยอมรับถึงความล้มเหลวในนโยบายความกดดันสูงสุดที่จะทำให้อิหร่านต้องยอมคุกเข่า โดยกล่าวว่า “เป้าหมายในการเจรจาของพวกเขา ก็คือ เพื่อต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าความกดดันสูงสุดนั้นเป็นคำตอบ และเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐอิสลามจะต้องถูกบังคับให้มีการเจรจาต่อรอง ในขณะที่พวกเขานั้นไม่ต้องการเจรจาก็จะเข้ามาร่วมโต๊ะเจรจา ดังนั้น ความกดดันสูงสุด คือ วิธีการเดียวที่จะจัดการกับอิหร่านได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า หากศัตรูสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าความกดดันสูงสุด คือ การจัดการกับอิหร่าน ซึ่งมีผลกับอิหร่าน ฉะนั้นประชาชาติผู้ทรงเกียรติของเราก็จะไม่เห็นความสะดวกสบายในอิหร่านอีกเลย เพราะว่า เบื้องหลังในทุกๆนโยบายของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ก็คือ นโยบายเหล่านี้ และนับต่อจากนี้เป็นต้นไป หากว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาอาจหาญเรียกร้องให้สาธารณรัฐอิสลามต้องกระทำ หากว่า เราตอบตกลงก็จะจบทันที แต่ถ้าเราตอบว่าไม่ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นความกดดันสูงสุดก็จะเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลในการคะยั้นคะยอของพวกสหรัฐฯและความเป็นกลางของพวกยุโรปบางคนในการเจรจา คือ จะต้องอยู่ภายใต้กรอบเหล่านี้ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า ข้าพเจ้าจะพูดคุยถึงประเด็นพวกยุโรปในโอกาสหน้า แต่เหตุผลในการคะยั้นคะยอของพวกเขาที่ว่า หากว่าพวกท่านนั่งโต๊ะเจรจาสักครั้งหนึ่งกับสหรัฐ ปัญหาทั้งหมดของพวกท่านก็จะได้รับการแก้ไข แสดงให้เห็นว่า ความกดดันสูงสุดต่ออิหร่านของพวกเขานั้นเป็นนโยบายที่ประสบความสำเร็จและพวกเขาจะเอานโยบายนี้ไปใช้ด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกว่า “เราจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่านโยบายของความกดดันสูงสุดต่อประชาชาติอิหร่านนั้นไม่มีค่าใดๆทั้งสิ้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวสรุปคำพูดของท่านเกี่ยวกับในประเด็นการเจรจากับสหรัฐได้ สองประเด็น ด้วยกัน ก็คือ 1.การเจรจากับสหรัฐ หมายถึง การกำหนดข้อเรียกร้องของพวกเขาให้กับสาธารณรัฐอิสลาม
2. การเจรจา หมายถึง การแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของนโยบายความกดดันสูงสุดของสหรัฐฯ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า นี่คือเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ของรัฐฯท่านประธานาธิบดี รัฐมนตรีต่างประเทศและรวมทั้งบุคคลอื่นๆ ได้ประกาศอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า เราจะไม่เจรจากับสหรัฐทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นว่า “เช่นนั้น สหรัฐจะต้องถอนคำพูด กลับใจและกลับเข้าสู่สนธิสัญญานิวเคลียร์ที่ตนเองละเมิด ในเวลานั้นก็จะสามารถเข้าร่วมในกลุ่มประเทศที่เป็นสมาชิกของสนธิสัญญาและพูดคุยกับอิหร่านได้ แต่สหรัฐก็สามารถที่จะเข้าร่วมได้เช่นกัน หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีการเจรจาใดๆในทุกระดับ ระหว่างเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐอิสลามกับพวกสหรัฐ ไม่ว่าในนิวยอร์ก หรือในสถานที่ใดก็ตาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายว่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา สาธารณรัฐอิสลามได้สัมผัสในกลอุบายต่างๆนานาของเหล่าศัตรูที่พวกเขาไม่สามารถพิชิตเหนืออิหร่านอันมีเกียรตินี้ได้ โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “นโยบายต่างๆของพวกเขา อันแล้ว อันเล่า ได้ล้มเหลวต่อสาธารณรัฐอิสลาม และหลังจากนี้ ด้วยกับอานุภาพและพลานุภาพของพระเจ้า จะทำให้สาธารณรัฐอิสลามได้รับชัยชนะเหนือพวกเขา และได้รับความภาคภูมิใจขณะที่ต้องออกจากภาคสนามอีกด้วย”