บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯ ทุตานุทูตประเทศอิสลามและประชาชนทุกภาคส่วน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า “สาส์นของอีดฟิฏร์ คือ เอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวของประเทศอิสลามและการกลับคืนของความหมายของคำว่า ประชาชาติอิสลาม” โดยท่านกล่าวว่า “วิธีการแก้ไขปัญหาของวันนี้ในโลกอิสลาม คือ การย้อนกลับสู่การเรียกร้องของอัลกุรอานบนพื้นฐานของการมีความหนักหน่วงต่อเหล่าผู้ปฏิเสธและความนุ่มนวลในระหว่างบรรดาผู้ศรัทธาร่วมกัน ขณะที่บรรดานักคิดสมัยใหม่และนักปราชญ์อิสลามนั้นก็มีหน้าที่ๆเพิ่มมากขึ้นในการบรรลุถึงยังความต้องการนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีในวันอีดฟิฏร์ โดยชี้ถึงแผนการร้ายของเหล่าศัตรูในการจัดแถว สงครามและการปะทะกันในระหว่างมุสลิมด้วยกัน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประเทศอิสลามแทนที่จะมีการเผชิญหน้าระหว่างกันเอง ต้องมีการจัดตั้งแถวในการเกิดขึ้นของการก่ออาชญากรรมของศัตรู ผู้ละเมิดในแผ่นดินปาเลสไตน์”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึงบางประเทศอิสลามที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์และการสร้างความแตกแยก อีกทั้งในการย้อนกลับจากไม่ถูกวิธี โดยเน้นว่า “ด้วยสาเหตุใดหรือที่ประเทศอิสลาม ดั่งเช่น ประเทศลิเบียที่จะต้องมีการปะทะกันเองในระหว่างสองกลุ่มและมีการหลั่งเลือดกันเองอีกด้วย และด้วยเหตุอันใดหรือที่บางประเทศที่แอบอ้างว่าเป็นอิสลามต้องทิ้งระเบิดเข้าใส่ประชาชนชาวเยเมนและโครงสร้างต่างๆของประเทศนี้ ตามความต้องการและความคิดเห็นของเหล่าศัตรูด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเด็นปาเลสไตน์ คือ ปัญหาอันดับแรกของโลกอิสลาม โดยท่านผู้นำกล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อความพยายามของบางประเทศอิสลามในการกำหนดทิศทางของเป้าหมายต่างๆให้กับสหรัฐและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยกล่าวเสริมว่า “สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิสลามได้เน้นย้ำในการปกป้องประชาชาติปาเลสไตน์นับตั้งแต่ช่วงแรกแล้วและยังได้ยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับชาติมหาอำนาจของโลก ทั้งยังคงยืนหยัดเช่นนี้อีกต่อไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงชัยชนะนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของประชาชาติปาเลสไตน์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ตามทัศนะของสาธารณรัฐอิสาม ซึ่งมันขัดแย้งกับบางผู้นำที่เก่าแก่ของพวกอาหรับที่เชื่อว่า พวกยิวนั้นจะต้องถูกโยนลงทะเล แต่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่ทว่าเราเชื่อว่าจะต้องมีการต่อสู้ในทุกๆด้าน ไม่ว่าในทางด้านทหาร การเมืองและวัฒนธรรม ตราบจนกว่าเหล่าผู้ละเมิดจะยอมศิโรราบนั่นเอง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวถึงข้อเสนอของสาธารณรัฐอิสลามในกรณีแสดงความคิดเห็นของบรรดาผู้อาศัยชาวมุสลิม คริสต์และชาวยิวในปาเลสไตน์และเช่นเดียวกัน จากบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่เร่ร่อนในการกำหนดกรอบของระบอบการปกครองประเทศนี้ โดยท่านได้เน้นว่า “การต่อสู้ของประชาชาติปาเลสไตน์ก็จะต้องมีการดำเนินต่อไปอย่างเนื่องและด้วยกับความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าในการต่อสู้กันอย่างสันติและมีมนุษยธรรมนี้ ทั้งยังเป็นที่ยอมรับของบรรดานักปราชญ์ทั้งหมด และในที่สุดชัยชนะก็จะประสบกับประชาชาติปาเลสไตน์ และบรรดาเยาวชนก็จะได้เห็นวันที่ปาเลสไตน์กลับสู่อ้อมแขนของชาวปาเลสไตน์”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม พณฯท่าน รูฮานี ประธานาธิบดีอิหร่านถือว่า เดือนรอมฎอน เป็นเดือนแห่งความอดทน การสร้างตัวเอง และความรุ่งโรจน์ของการยืนหยัดทางการเมืองและระหว่างประเทศในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู และเขายังเน้นถึงความอดทน คือ ยุทธศาสตร์ของรัฐและประชาชาติ หลังจากการถอนตัวของสหรัฐจากข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นเหตุให้การคิดคำนวณของพวกเขานั้นมีความผิดพลาด โดยท่านประธานาธิบดีกล่าวเสริมว่า “ขณะนี้ หลังจาก 1 ปีแห่งความอดทนทางยุทธศาสตร์ได้ผ่านพ้นไป หากว่าเราจะค่อยๆลดน้อยจากข้อตกลงออกทีละก้าว ก็ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะกล่าวหาพวกเราได้และเราก็จะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกของนิวเคลียร์ในการเผชิญหน้ากับฝ่ายต่อต้านด้วย”
พณฯท่านรูฮานี ถือว่า วิธีการหลักในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู คือ วิธีการที่ได้รับการอธิบายจากท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ในงานอสัญกรรมของท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง โดยกล่าวเสริมว่า “วิถีและแนวทางของเรา จะเป็นแนวทางแห่งความกล้าหาญ การมีความหวัง มีสติปัญญาและการมีนวัตกรรมใหม่ ทั้งเรายังสามารถจะไปถึงยังเป้าหมายที่ยาวไกล เช่น เป้าหมายทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ด้วยกับการชี้นำในแนวทางนี้ในปีแห่งการส่งเสริมการผลิตอีกด้วย