สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ผู้เข้าร่วมการแข่งขันการทดสอบอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานานาชาติครั้งที่36

แข่งขันการทดสอบอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานานาชาติครั้งที่36

ในพิธีการปิดแข่งขันทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานนานาชาติ ครั้งที่ 36 ด้วยกับการเข้าร่วมของบรรดาคณาจารย์ ผู้สูงส่งและผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันการทดสอบการอัญเชิญอัลกุรอานนานาชาติ รวมทั้งบรรดานักค้นคว้าอัลกุรอานและบรรดาแขกทั้งหลายที่เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้ ได้เข้าพบ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี 

โดยท่านผู้นำ ถือว่า ความเข้าใจอัลกุรอานและการปฏิบัติตามอัลกุรอานนั้น เป็นปัจจัยที่สำคัญของการมีความผาสุกทั้งในโลกนี้และปรโลก และท่านผู้นำยังได้เน้นว่า ส่วนมากของปัญหาต่างๆและอุปสรรคทั้งหลายของประชาชาติอิสลามและมนุษยชาติ ล้วนเกิดมาจากการที่ไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอานทั้งสิ้น โดยท่านผู้นำกล่าวว่า

“ในวันนี้ ด้วยกับความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทำให้สาธารณรัฐอิสลามต้อนรับประชาชนทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนต่อวิทยาการแห่งอัลกุรอาน และการยึดมั่นต่อวิทยาการเหล่านี้ก็มีการขยายวงกว้างที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน ด้วยเหตุนี้เอง การยึดมั่นต่ออัลกุรอานนั้นจึงเป็นบ่อเกิดแห่งความผาสุก ความเข้มแข็ง และการมีเกียรติของรัฐอิสลามทั้งสิ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวขอบคุณต่อบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการในการแข่งขันอัลกุรอานนานาชาติในครั้งนี้ และท่านผู้นำ ถือว่า การอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน และการสร้างความรักต่ออัลกุรอานนั้นเป็นบทนำของความเข้าใจและการมีมะอ์รีฟัตต่ออัลกุรอาน  อีกทั้งจะต้องมีความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณในหัวใจและสติปัญญาของมนุษย์อีกด้วย และท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ส่วนมากของการหันเห ความเข้าใจผิด การไม่มีความหวัง การทรยศ ความเป็นปฏิปักษ์ และการยอมรับต่อทรราชทั้งหลาย ล้วนก็มาจากเหตุผลของการออกห่างจากอัลกุรอาน อีกทั้งการมีจิตวิญญาณและมะอ์รีฟัตก็เกิดมาจากปัจจัยนี้เช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นว่า การปฏิบัติตามอัลกุรอาน คือ การเป็นบทนำของความมีเกียรติ ความสะดวกสบาย ความก้าวหน้า การมีอำนาจ ความเสมอภาค การมีวิถีชีวิตที่หอมหวานทั้งโลกนี้ และความผาสุกของโลกหน้า โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ช่างน่าเสียใจยิ่งนักที่บางประเทศในอิสลามไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอัลกุรอาน โดยพวกเขาแทนที่ของคำว่า “ความแข็งกร้าวต่อผู้ปฏิเสธทั้งหลาย” กลับยอมเป็นสมุนทาสรับใช้และเป็นผู้ปฏิบัติตามสหรัฐฯและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และยังแทนที่ของคำว่า “ความอ่อนน้อมระหว่างพวกเขา ด้วยการทำให้เป็นแหล่งกำเนิดของความขัดแย้งและการเกิดสงครามต่างๆ เช่น สงครามในซีเรีย เยเมน และการสังหารหมู่ชาวมุสลิมทั้งหลาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความจำเป็นในการปฏิบัติตามอัลกุรอาน ก็คือ การรำลึกถึงพระเจ้าและการมีความยำเกรงต่อพระองค์ และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงบรรดาชะฮีดซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีฐานันดรอันสูงสุดของการมีความยำเกรง โดยกล่าวว่า “บรรดาชะฮีดของพวกเราได้ให้บทเรียนต่างๆมากมายกับประชาชาติอิหร่าน ซึ่งตัวอย่างที่เด่นชัดก็คือ การสร้างปรากฏการณ์อันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการขับเคลื่อนของประชาชนในการช่วยเหลือต่อบรรดาผู้ที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การให้ความช่วยเหลือ การอนุเคราะห์ต่อประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ในจังหวัดโกลิสตาน มาซันดารอน อีลาม โลริสตานและคูซิสตาน เหมือนดั่งเช่นในการขับเคลื่อนของเยาวชนในช่วงยุคสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยกล่าวเสริมว่า “การขับเคลื่อนอันมหัศจรรย์ของประชาชนที่เราได้เห็นในหลายวันก่อน ก็เสมือนกับการมีจิตวิญญาณของการเสียสละ ความปรารถนา การได้ลิ้มรสของเยาวชนทั้งหลายในช่วงทศวรรษที่ 60”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีจิตวิญญาณนี้ คือ ผลลัพท์จากคำสอนและบทเรียนต่างๆของอัลกุรอาน และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของเหล่าศัตรูต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยเน้นว่า “แม้ว่า จำนวนศัตรูและความรุนแรงของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมาก็ตาม แต่การดำเนินการนี้ และแผนการสมคบคิดต่างๆ นั้นคือ ลมหายใจสุดท้ายของความเป็นปฏิปักษ์ของเหล่าศัตรูกับสาธารณรัฐอิสลามทั้งสิ้น”

ในช่วงท้าย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นว่า “ไม่ว่าพวกเขา จะมีการปฏิบัติกับอิหร่านอย่างรุนแรง และไม่ว่าประชาชาติอิหร่านจะยึดมั่นต่อวิทยาการของอัลกุรอานมากเพียงน้อยใด พวกเขาก็รู้สึกโกรธ  แต่ประชาชาตินี้ในทางตรงกันข้ามกับมีความเข้มแข็งและมีอำนาจมากกว่า ทั้งยังมีการยึดมั่นต่ออัลกุรอานที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ฮุจญตุลอิสลาม คอมูชี ผู้แทนวะลียุลฟะกีฮ์และผู้อำนวยการองค์กรกิจการกุศลและศาสนสมบัติได้กล่าวรายงานว่า

“การแข่งขันการทดสอบการอัญเชิญอัลกุรอานนานาชาติ ครั้งที่ 36 ด้วยคำขวัญที่ว่า “หนึ่งคัมภีร์คือ หนึ่งประชาชาติ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบรรดามุสลิมด้วยกัน บนพื้นฐานในการสร้างอัตลักษณ์ของความเป็นหนึ่งของอิสลามภายใต้คำสอนของอัลกุรอานและสร้างความเป็นเอกภาพระหว่างประชาชาติอิสลามในเมืองต่างๆของกรุงเตหะราน และเมืองกุม”

ผู้แทนสำนักผู้นำสูงสุดในกิจการกุศลและศาสนสมบัติ ยังได้ชี้ถึงกิจกรรมต่างๆที่ดำเนินการในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ โดยกล่าวเสริมว่า

 “มหกรรมที่ยิ่งใหญ่ของอัลกุรอานในปีนี้นั้น มีผู้เข้าร่วม 329 คนจาก 68 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งบรรดาผู้เข้าร่วมแข่งขัน คณะกรรมการ  และบรรดาแขกพิเศษ  คณะอาจารย์และนักกิจกรรมด้านอัลกุรอาน

ในช่วงแรกของการเข้าพบปะ บรรดาอาจารย์และผู้ที่ชนะเลิศในการแข่งขันการทดสอบอัลกุรอานครั้งนี้ ได้ทำการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานด้วยการอ่านทำนองเสนาะและการท่องจำ

700 /