ประชาชนชาวจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันออกหลายพันคนเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า ด้วยกับการกล่าวขอบคุณอย่าง
สุดซึ้งต่อการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของประชาชาติอิหร่านในการเดินขบวนเมื่อวันที่ 22 บะห์มัน ของปีนี้ และถือว่า สาธารณรัฐอิสลามนั้นอยู่ในสถานภาพที่ดีที่สุด ขณะที่ฝ่ายชาติมหาอำนาจโดยการนำของสหรัฐอเมริกานั้นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอที่สุด และท่านผู้นำกล่าวว่า “ประชาชนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเยาวชน และบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็เช่นกัน จะต้องรู้จักตรงต่อเวลา และมีการปฏิบัติการที่ทันต่อเวลา อีกทั้งยังจะต้องใช้ประโยชน์จากศักยภาพที่มากมายในการแก้ไขปัญหาของประเทศ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในช่วงแรกของการกล่าวคำปราศรัย ท่านได้ชี้ถึงการเดินขบวนอันยิ่งใหญ่ในวันที่ 22 บะห์มัน ของปีนี้ โดยกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวขอบคุณต่อประชาชนชาวอิหร่านในคำแถลงเมื่อหลายวันที่ผ่านมา แต่ด้วยการขอบคุณดังกล่าวนี้ถือว่าน้อยมากที่เป็นสิทธิของประชาชาติอิหร่าน เพราะว่า ประชาชนทั้งหลายในการเดินขบวนเมื่อวันที่ 22 บะห์มัน ของปีนี้นั้นได้สร้างการงานที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการเข้าร่วมอย่างมากมายของประชาชนในการเดินขบวนวันที่ 22 บะห์มัน โดยเน้นว่า “จากการรายงานต่างๆและการประเมินผลได้แสดงให้เห็นว่า ในหลายเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนได้เข้าร่วมกันอย่างมากมายกว่า เมื่อเทียบกับในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งข้าพเจ้าจะขอกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อทั้งหมดทุกคนด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แม้ว่า ศัตรูได้ซ่อนเร้นจากการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา หรือพยายามจะทำให้เป็นเรื่องเล็กก็ตาม แต่พวกเขาก็ได้เห็นถึงความจริงแล้วและประจักษ์ในความหมายของคำว่า การเข้าร่วมอันยิ่งใหญ่ของประชาชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงการเข้าร่วมของประชาชนในภาคสนามของประเทศใดก็ตาม แน่นอนว่าพวกเขานั้นจะถูกคุ้มครองจากกลอุบายและผลกระทบของศัตรู โดยกล่าวว่า “การเข้าร่วมกันอย่างกว้างขวางของประชาชนในการเดินขบวนเมื่อวันที่ 22 บะห์มัน ของปีนี้ ในความเป็นจริง ก็คือ การขับเคลื่อนทางการเมือง ความมั่นคง การเป็นนักปฏิวัติ และการมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกับความหมาย และประชาชนยังได้กล่าวสโลแกนหลัก นั่นก็คือ “อเมริกา จงพินาศ” ซึ่งหมายถึง ความหายนะจงประสบแด่ผู้ปกครองที่ครอบงำ ผู้ที่สมรู้ร่วมคิด ผู้ที่ฉ้อฉล และริดรอนสิทธิของประชาชาติทั้งหลาย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “จะต้องขอขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่า หัวใจทั้งหลายของประชาชนนั้นอยู่ในพลังอำนาจของพระองค์ ในขณะเดียวกันก็เพราะว่าพระองค์นั้นเป็นที่แรงจูงใจให้ประชาชนได้ออกมาตามท้องถนน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงบางคนที่อ่อนแอและอ่อนไหวที่กล่าวอ้างว่าความอ่อนแอเหล่านั้นมาจากประชาชน และยังได้อ้างถึงความอ่อนแอของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำตั้งข้อสังเกตว่า “ พวกท่านมิได้เห็นดอกหรือว่า ก็ประชาชนเหล่านี้นั้นแหละที่ได้ออกมาตามท้องถนนเมื่อวันที่ 22 บะห์มัน และพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดปรานในการคุ้มครองประชาชาตินี้ด้วยกับการมีบะศีเราะฮ์(การรู้แจ้งเห็นจริง) ในอัตลักษณ์และประเทศ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการเป็นชะฮีด(การพลีชีพ)ของทหารรักษาความปลอดภัยและเขตพรมแดนกลุ่มหนึ่งโดยเน้นว่า “การเป็นชะฮีดของพวกเขาเหล่านั้น จะต้องทำให้มีความฉลาดหลักแหลมและการมีความเข้าใจว่า ความปลอดภัยของประเทศนั้นได้รับมาจากคุณค่าของเลือดของเยาวชนที่ดีสุดของประเทศและทุกคนก็จะต้องสำนึกในการเสียสละเหล่านี้ของพวกเขาทั้งหลายด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความปลอดภัยของประเทศและความปลอดภัยในพิธีการต่างๆ ดั่งเช่นในการเดินขบวนอันยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 22 บะห์มัน แสดงให้เห็นถึงเกียรติยศของชาตินั้นเป็นหนี้ของการเสียสละของบรรดาผู้พิทักษ์รักษาความปลอดภัยทั้งในกองกำลังซิพอฮ์ กองทัพและตำรวจ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเทอดเกียรติของประชาชนชาวเมืองอิสฟาฮานที่ได้เข้าร่วมในการตัชยิอ์(พิธีการแห่ศพ)ของบรรดาชะฮีดผู้พิทักษ์รักษาความปลอดภัย โดยเน้นว่า “ประชาชนชาวอิสฟาฮาน คือ ผู้ที่รุดหน้าในขบวนการและการปฏิวัติอิสลามมาก่อนผู้อื่นอย่างเสมอ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อในคำปราศรัยของท่าน โดยถือว่า วันที่ 29 บะห์มัน ปีที่ 1356 (ปฏิทินอิหร่าน) วันแห่งการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองตับรีซ คือ วันแห่งพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงการรุดหน้า การมีบะซีเราะฮ์ และการปฏิบัติการณ์ในการปฏิวัติของชาวเมืองตับรีซและอาเซอร์ไบจานในสถานการณ์ที่สำคัญของการปฏิวัติ โดยกล่าวว่า “การลุกขึ้นเช่นนี้ของประชาชน จะมีอยู่ลักษณะที่พิเศษ คือ
1.การรู้จักเวลา 2. การปฏิบัติการที่ตรงต่อเวลา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า ประชาชนชาวอาเซอร์ไบจานจะต้องรุดหน้าและผู้บุกเบิกใน “ก้าวที่สองของการปฏิวัติ” เหมือนดั่งเช่นในหลายช่วงที่ผ่านมา โดยกล่าวเสริมว่า “สาธารณรัฐอิสลามในวันนี้ถือว่ามีโอกาส จุดยืนและเวลาในการปฏิบัติการณ์ อีกทั้งในการขับเคลื่อนที่ดีอย่างมากที่สุด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “วันนี้คือวันแห่งการทำงานและการขับเคลื่อนของรัฐบาล เจ้าหน้าที่ทั้งหลายและประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเยาวชนทั้งหลาย ที่จะต้องนำศักยภาพต่างๆมากมายอย่างกว้างขวางของประเทศมาใช้ประโยชน์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การใช้ประโยชน์จากศักยภาพต่างๆของประเทศ คือ ความต้องการในการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วนของเยาวชนทั้งหลาย โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ กลุ่มต่างๆของเยาวชนที่มีศรัทธาและนักการปฏิวัติ จะต้องปฏิบัติการทุกการงานที่เป็นไปได้ที่อยู่ภายใต้กรอบของกฏหมายและผลประโยชน์ของประเทศ และอย่าได้ปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงสถานภาพที่อ่อนแอของศัตรู นั่นหมายถึง ฝ่ายชาติมหาอำนาจ จากการเป็นแกนนำของระบอบสหรัฐที่ละเมิด โดยเน้นว่า “เราไม่ต้องการที่จะยอมรับอย่างงมงายและเพิกเฉยต่อศัตรู ในขณะที่ความจริงนั้นแสดงให้เห็นว่า ศัตรูนั้นประสบกับปัญหาภายในประเทศและต่างประเทศ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ปัญหาต่างๆของสังคม ความซึมเศร้าและความหงุดหงิดของเยาวชนทั้งหลาย การเพิ่มขึ้นของสถิติในการฆาตกรรมและอาชญากรรม การแพร่ระบาดของยาเสพติดและผู้เสพยาเสพติด การปะทะกันระหว่างแกนนำทั้งหลายของสหรัฐ และการติดหนี้สินอันน่าฉงนสนเท่ห์ นั้นคือ ส่วนหนึ่งของปัญหาของสหรัฐ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ทั้งหมดนี้นั้น มาจากหลักฐานยืนยันจากสถิติและการรายงานอย่างเป็นทางการและภายในของสหรัฐเอง เนื่องจากการประสบปัญหาเหล่านี้จึงทำให้พวกเขาต้องรู้สึกอ่อนแอ ทั้งในสถานการณ์ปัจจุบัน ในซีเรีย อิรัก และอัฟกานิสถาน อีกทั้งพวกเขายังรู้สึกโกรธอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการจัดประชุมที่ไม่ประสบความสำเร็จในวอร์ซอ โดยกล่าวว่า “เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่มีสติปัญญาที่อ่อนแอของสหรัฐได้เชิญชวนบางรัฐบาลที่ร่วมมือกับพวกเขาและบางประเทศที่อ่อนแอให้เข้าร่วมในการประชุมกรุงวอร์ซอเพื่อต่อต้านสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน แต่ทว่าในการประชุมดังกล่าวนี้ไม่ได้มีผลลัพท์อะไรซึ่งทั้งหมดนี้แสดงถึงความอ่อนแอ ขณะที่ศัตรูก็กำลังตกอยู่ในสภาพอ่อนแอและรู้สึกโกรธโดยเริ่มที่จะสร้างสถานการณ์และมีการด่าทอว่าร้ายอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกว่า “การสร้างสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาจากความอ่อนแอ โดยจะต้องไม่ทำให้หัวใจของเจ้าหน้าที่ต้องว่างเปล่าหรือเยาวชนคนหนึ่งต้องพบกับความผิดพลาดได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังตั้งข้อสังเกตว่า “ในวันที่การปฏิวัติอิสลามนี้เป็นเพียงต้นกล้าที่อ่อนแอ เหล่าศัตรูทั้งหมดได้รวมตัวกันแต่ก็ไม่สามารถที่จะกระทำอะไรได้ ฉะนั้นในวันนี้ ต้นกล้าต้นนั้นได้กลายเป็นต้นไม้ที่สูงสง่างาม และพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะผิดพลาดอะไรอีกได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังย้ำเตือนถึงคำพูดของท่านหญิงซัยนับที่กล่าวในวังของยะซีด โดยกล่าวว่า “วันนี้ เราจะบอกกับศัตรูเช่นกันว่า หากจะทำผิดพลาดอะไรก็แล้วแต่ก็จงกระทำมัน แต่จงรู้ไว้เถิดว่า พวกท่านนั้นไม่สามารถจะกระทำผิดพลาดอะไรได้เลย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การประชุมที่ล้มเหลวของวอร์ซอและการเข้าร่วมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศที่เปลือกนอกเป็นอิสลามกับระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์และยังได้ร่วมมือกับสหรัฐนั้น เป็นสาเหตุทำให้พวกเขาต้องไร้เกียรติและศักดิ์ศรี โดยท่านยังเน้นว่า “พวกเหล่านี้ก็ไม่ได้มีเกียรติและศักดิ์ศรีในหมู่ประชาชาติของพวกเขา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการผลิบานในสี่สิบปีของการปฏิวัติอิสลาม การเตรียมพร้อมและการมีอำนาจในการขับเคลื่อนเพื่อไปสู่ความก้าวหน้า โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ปัญหาทั้งหมดของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแพง การลดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน และปัญหาการผลิตในประเทศนั้นสามารถที่จะแก้ไขได้ แต่ก็จะต้องมีความอดทน การบริหารจัดการอย่างถูกวิธี ความเป็นเอกภาพและความจริงจังของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในการขับเคลื่อน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกครั้งถึงศักยภาพที่มากมายของประเทศและความอ่อนแอของศัตรู รวมถึงการใช้ประโยชน์จากโอกาสต่างๆ โดยกล่าวถึงเยาวชนทั้งหลายว่า “พวกท่านคือ เยาวชนที่มีเกียรติยศเป็นกลไกของกระบวนการในการขับเคลื่อนของประเทศและพวกท่านจะต้องเตรียมความพร้อมทางด้านจิตวิญญาณ จริยธรรม ความเป็นกันเอง ความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการ และเป็นผู้ที่บริหารประเทศด้วยตัวเอง แต่ทว่าพวกท่านจะต้องใช้ประสบการณ์ของผู้สูงอายุที่มากประสบการณ์ด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อนาคตนั้นเป็นของบรรดาเยาวชนและท่านยังเน้นว่า “เยาวชนทั้งหลาย สามารถที่จะทำให้ประเทศนำไปสู่จุดสูงสุดให้ได้และจะต้องมีการเตรียมความพร้อมทางการปฏิบัติและจะต้องยืนหยัดมั่นคงอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเตือนถึงบรรดาเจ้าหน้าที่โดยกล่าวว่า “ พวกท่านจะต้องรู้จักศัตรูอย่างถูกต้องและจงระวังต่อกลอุบาย อย่าได้ถูกพวกเขาหลอกลวงเป็นอันขาด ไม่ว่าจะในเวลาที่พวกเขาแสดงกำปั้นหรือฟันออกมาหรือในเวลาที่พวกเขายิ้มให้พวกท่านก็ตาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “พวกท่านจงรู้เถิดว่า หัวใจทั้งหลายของศัตรูนั้นมีมากกว่าคำพูดที่มาจากลิ้นของพวกเขา ที่เต็มไปด้วยกับความโกรธและความอิจฉาต่ออิสลามและชาวมุสลิม รวมถึงสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ฉะนั้น จะต้องไม่ยอมรับในกลอุบายของศัตรูเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พฤติกรรม และการกระทำของพวกตะวันตก คือ ความหมายที่แท้จริงของคำว่า กลอุบาย โดยกล่าวว่า “หน้าที่ของพวกอเมริกานั้นชัดเจนแล้วเพราะว่าพวกเขาได้จับดาบเพื่อที่จะต่อสู้ แต่ก็จะต้องระวังพวกยุโรปเพราะว่าพวกเขายังจะใช้กลอุบายอยู่อีก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่และรัฐบาลว่าจะต้องกระทำการอะไรบ้าง แต่พวกเขาก็จะต้องนั่งคิด และดำเนินการอะไรก็ตามที่จะไม่ทำให้พวกเขาต้องถูกหลอกลวงได้อีก และหวังว่าในขณะนี้ที่เราได้กระทำการงานใดก็ตามก็จะไม่ทำให้ตัวของพวกท่านและประชาชาติต้องพบกับปัญหาเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงบรรดาเจ้าหน้าที่โดยกล่าวว่า “พวกท่านอย่าได้หวาดกลัวศัตรูและจงรู้ไว้ว่าอำนาจของพระเจ้านั้นอยู่เหนืออำนาจทั้งหลาย และพระองค์คือผู้ที่คุ้มครองประชาชาติ อีกทั้งให้การช่วยเหลือต่อศาสนาของพระองค์”
ในช่วงท้ายของคำปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเทอดเกียรติต่อบรรดาชะฮีดและครอบครัวของพวกเขานั้นเป็นการกระทำที่หลักที่ดีอย่างมาก
โดยท่านเน้นว่า “จะต้องมีการเพิ่มนาม ความน่าเชื่อถือ สถานภาพของบรรดาชะฮีดและครอบครัวของพวกเขาในแต่ละวัน เพราะว่าบรรดาชะฮีดเหล่านั้นคือ ดัชนีของเส้นทางในการขับเคลื่อนของการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ด้วยกับการเทอดเกียรติรำลึกถึงท่านอิมามและบรรดาชะฮีด โดยกล่าวว่า “ด้วยกับความเมตตาของพระเจ้า เยาวชนที่มีเกียรติทั้งหลายจะได้เห็นในวันที่สิ่งทีพวกเขาแสวงหาได้บังเกิดขึ้น”
ก่อนการกล่าวคำปราศรัยของท่านผู้สูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านฮุจญตุลอิสลาม วัลมุสลิมีน อาลิฮาชิม ผู้แทนวะลีฟะกีฮ์ประจำจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันออกและผู้นำนมาซวันศุกร์เมืองตับรีซ ถือว่า 3 บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในการลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนชาวเมืองตับรีซเมื่อวันที่ 29 บะห์มัน ปีที่ 1356 คือ การปฏิบัติตรงต่อเวลา ความไม่หวาดกลัวต่อระบอบเผด็จการทรราช และความเป็นเอกภาพของนักการปฏิวัติ
ผู้แทนวะลีฟะกีฮ์ ประจำจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันออกอ ถือว่า เยาวชนทั้งหลายที่มีความกระตือรือร้นและมีความมุ่งมั่นในหน้าที่คือ ข้อได้เปรียบที่สำคัญในความก้าวหน้า โดยกล่าวว่า “ประชาชนผู้มีเกียรติทั้งหลายของจังหวัดอาเซอร์ไบจานตะวันออก จะเป็นผู้ที่บุกเบิกในการบรรลุของคำแถลงยุทธศาสตร์แห่งชาติ ก้าวที่สองของการปฏิวัติอิสลาม”