บรรดาผู้บัญชาการ เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งของกองทัพอากาศและหน่วยการป้องกันภัยทางอากาศยานเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า การให้สัตยาบันกับท่านอิมามโคมัยนี เมื่อวันที่ 19 เดือนบะห์มัน ปีที่ 1357 นั้น แสดงถึงความกล้าหาญ การมีความหวังในพระเจ้า และความไม่หวาดกลัวต่อศัตรู ทั้งในการปฏิบัติตามหน้าที่ และท่านผู้นำยังเน้นว่า “ในวันที่ 22 บะห์มันในปีนี้ ด้วยกับการช่วยเหลือของพระผู้อภิบาล ซึ่งจากองค์ประกอบในการสร้างประวัติศาสตร์จะทำให้ความหมายของคำว่า “ศัตรูต้องพบกับความปราชัย” ได้บังเกิดอย่างแน่นอน และด้วยกับความฉลาดหลักแหลมของประชาชาติและการเข้าร่วมของทุกๆคนที่จะมีความยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นมากกว่าในหลายปีที่แล้ว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเดินขบวนในวันที่ 22 บะห์มัน คือ หนึ่งในประเด็นที่สร้างความฉงนสนเทห์อย่างแท้จริง โดยกล่าวเสริมว่า การเฉลิมฉลองประจำปีในการปฏิวัติของประเทศต่างๆที่มีการปฏิวัติ จะมีเพียงการสวนสนามของทหารในกองทัพเท่านั้น แต่ทว่าในอิหร่าน ความภาคภูมิใจแห่ง 40 ปีนั้น จะทำให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศต้องออกมาเดินขบวนตามท้องถนน และท่านผู้นำยังเน้นย้ำถึงการดำเนินอย่างต่อเนื่องในวิถีแห่งการปฏิวัติและถือว่า ประเด็นนี้คือหนึ่งในปาฏิหาริย์อันน่าฉงนสนเทห์ของการปฏิวัติอิสลาม และจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างมีอำนาจที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมอย่างล้นหลามของประชาชาติในการเดินขบวนวันที่ 22 บะห์มัน คือ การทำให้ศัตรูจะต้องพบกับความปราชัยและความหวาดกลัว การแสดงออกถึงการเข้าร่วมของสาธารณชนทั่วไปในสถานการณ์ที่จำเป็น และยังเป็ยการบ่งบอกถึงการมีเจตนาอันมุ่งมั่นและเอกภาพของประชาชาติ โดยท่านผู้นำยังตั้งข้อสังเกตว่า “ในสังคมนั้นต่างมีรสนิยมที่มีความแตกต่างกัน แต่เมื่อพูดถึงในการปฏิวัติ รัฐ และ 22 บะห์มัน ความขัดแย้งทั้งหลายก็จะถูกขจัดออกไปและทั้งหมดนั้นจะออกมายืนอยู่เคียงข้างกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ระบอบสหรัฐ เป็นระบอบที่ชั่วร้าย สร้างความรุนแรง การสร้างวิกฤติและก่อสงคราม โดยกล่าวเสริมว่า “เหล่าเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯด้วยกับการดูถูกเหยียดหยามต่อประชาชาติอิหร่านได้บอกว่า ทำไมพวกท่านจึงต้องกล่าวว่า “อเมริกาจงพินาศ” เพื่อความกระจ่างชัดกับแง่ความคิดของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายชาวสหรัฐ เราจะขอเน้นย้ำว่า เรานั้นไม่มีอะไรกับประชาชนชาวสหรัฐ แต่คำว่า “อเมริกาจงพินาศ” หมายถึง ความพินาศจงประสบกับเหล่าผู้ปกครองของสหรัฐ ซึ่งในยุคสมัยนี้ ก็คือ ทรัมป์ โบลตัน และปอมเปโอ จงพินาศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ตราบใดที่ระบอบสหรัฐฯยังเคลื่อนไหวอยู่บนพื้นฐานของความชั่วร้าย การแทรกแซง ความสกปรก และการดูถูกเหยียดหยาม สโลแกนที่ว่า อเมริกาจงพินาศนั้นจะยังไม่หายไปจากลิ้นของประชาชาติอันทรงพลังของอิหร่านได้หรอก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวในส่วนหนึ่งของการปราศรัยของท่านเกี่ยวกับข้อเสนอของพวกยุโรป โดยกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวเตือนบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายแล้วว่า อย่าได้ไว้ใจต่อพวกเหล่านี้ แต่เรานั้นไม่ได้บอกว่า เราจะไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเขา แต่เราก็ต้องมองพวกยุโรปด้วยสายตาที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวมาหลายครั้งแล้วเกี่ยวกับสหรัฐ เมื่อหลายปีก่อน การเจรจานิวเคลียร์ การประชุมแบบส่วนตัว และการประชุมโดยทั่วไปต่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้านั้นไม่เคยไว้ใจต่อพวกสหรัฐฯ และพวกท่านทั้งหลายก็จะต้องไม่ไว้ใจต่อคำพูด การกระทำ รอยยิ้มและการลงนามของพวกเขาเป็นอันขาด แต่ในปัจจุบัน ผลที่ได้รับจากการเจรจาของเจ้าหน้าที่ในวันนั้น ที่พวกเขาบอกเองว่าสหรัฐนั้นไม่น่าไว้ใจ ฉะนั้น ในอันดับแรก พวกเขาก็จะต้องแยกแยะสิ่งนี้และมีการขับเคลื่อนไปบนพื้นฐานนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “พวกยุโรปเหล่านี้ ได้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนกับอิหร่านอย่างที่ไม่มียางอาย ในขณะที่กรุงปารีส กองกำลังของเจ้าหน้าที่ได้ทำการปราบปรามประชาชนและทำให้ประชาชนของตนต้องตาบอด แต่ทว่ากลับมาเรียกร้องอิหร่านอย่างโอหัง ในขณะเดียวกัน เราก็จะต้องถามพวกเขาว่า พวกท่านนั้นรู้จักคำว่า สิทธิมนุษยชนกระนั้นหรือ?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า “ด้วยกับสถานภาพของประเทศหนึ่งที่มีอำนาจและความสามารถ เรานั้นมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ ยกเว้นกับบางประเทศ แต่เราก็จะต้องรู้ว่า เรากำลังจะสนทนากับผู้ใด และเราจะไม่วันลืมในการกระทำของพวกฝรั่งเศส อังกฤษและประเทศอื่นๆในหลายส่วนต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงอีกส่วนหนึ่งในการปราศรัยของท่านเกี่ยวกับการยืนเคียงข้างของกองทัพกับประชาชนในปรากฏการณ์แห่งการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งถือว่าเป็นความโปรดปรานหนึ่งอันยิ่งใหญ่ อีกทั้งการมีบทบาทของกองทัพอากาศในประเด็นนี้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยกล่าวว่า “กองทัพอากาศนั้นมีบทบาทอย่างมากมายในการได้รับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามและหลังจากการปฏิวัติอิสลาม ในระดับขั้นต่างๆ ซึ่งเมื่อวันที่ 19 บะห์มัน ปี 1357 จากการให้สัตยาบันของกองทัพอากาศกับท่านอิมามโคมัยนีนั้นถือว่าเป็นบทบาทอันแรกที่สำคัญอย่างยิ่ง และก็เหมือนกับในการปฏิวัติที่สร้างความฉงนสนเทห์ ทั้งยังเป็นปัจจัยยังชีพที่ไม่อาจจะคำนวณได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “เมื่อวันที่ 19 บะห์มัน ปี 1357 คือ สัญญาณหนึ่งที่แสดงถึงการพิชิตเหนือจิตวิญญาณ ความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่และการมีอำนาจ เพระว่าเหตุการณ์ในวันนั้น บรรดาเยาวชนทั้งหลายต่างไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆต่อระบอบทรราช และด้วยกับการมีชัยเหนือความหวาดกลัวและการมีความหวังในพระผู้เป็นเจ้า ด้วยกับความกล้าหาญพวกเขาจึงเข้าพบท่านอิมาม ซึ่งในวันนี้ เรานั้นก็ต้องการลักษณะอันพิเศษนี้ด้วยเช่นกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “บทบาทของกองทัพอากาศในเหตุการณ์ของคืนที่ 21 บะห์มัน ปี1357 การเปิดเผยการทำรัฐประหารในฐานทัพชะฮีด โนเจฮ์ เมืองฮะเมดาน โดยเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งของกองทัพอากาศ การก่อตั้งหน่วยงานในการต่อสู้แบบพอเพียงโดยกองทัพอากาศ หนึ่งในปฏิกิริยาในโต้ตอบของกองทัพอากาศในช่วงแรกของสงครามศักดิ์สิทธิ์ในการป้องกันประเทศ ด้วยเครื่องบินรบของกองทัพอากาศ การทิ้งระเบิดใส่ฐานทัพของอิรักและการมีบทบาทในช่วงยุคสมัยการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ การเริ่มผลิตเครื่องบินรบ และการให้การสนับสนุนบรรดานักต่อสู้เพื่อปกป้องฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดนี้ นั้นคือการปฏิบัติการณ์อันโดดเด่นของกองทัพอากาศและถือว่าเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของกองกำลังนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นถึงความจำเป็นในการรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอัตลักษณ์นี้ และการสร้างมนุษย์ ทั้งในการอบรมสั่งสอนเยาวชนทั้งหลาย เฉกเช่น ชะฮีดบาบาอี ชะฮีดซัตตารีและบรรดาชะฮีดอื่นๆ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “กองทัพอากาศ คือ กองกำลังเดียวที่มีความสามารถในการอบรมสั่งสอนบุคคลเฉกเช่นนี้ได้และยังทำให้ขีดความสามารถภายในได้มีการปฏิบัติการ และการปฏิวัติอิสลามถือว่าเป็นการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการยึดมั่นของประชาชาติต่ออิสรภาพ ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจที่ได้รับมาจากการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้านั้นตระหนักดีถึงปัญหาความยากลำบาก สินค้าแพงและปัญหาอื่นๆ แต่ข้าพเจ้าก็มองประเทศในแง่ดี เพราะว่าข้าพเจ้ามองว่า ประชาชาตินี้ เป็นประชาชาติ ผู้พิชิตและมีความสามารถยืนหยัดต้านทานในการเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูได้อย่างเข้มแข็ง อีกทั้งยังทราบดีว่า ประชาชาติจะดำเนินไปตามวิถีและเป้าหมายอันใด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นว่า “ขณะที่ประชาชนก็มีการฟ้องร้อง รู้สึกไม่สบายใจและมีความหวัง แต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆที่จะเป็นเหตุไม่ให้ประชาชาติไม่ให้การสนับสนุนต่ออุดมการณ์และเป้าหมายของท่านอิมามในการปฏิวัติอิสลามและรัฐอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เปรียบเทียบประชาชาติอิหร่านเหมือนกับนักปีนเขา ซึ่งในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ได้ก้าวผ่านหนทางที่คดเคี้ยวและขรุขระ แต่ในการจะไปถึงยังเป้าหมายและทำให้การข่มขู่คุกคามและแผนการร้ายนั้นไม่มีผล ก็จะต้องเดินตามตามเส้นทางที่เหลืออยู่ต่อไปเพื่อให้บรรลุยังจุดสูงสุดให้ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เชิญชวนให้เจ้าหน้าที่ทั้งหลายและทุกคนนั้นจะต้องมีความเพียรพยายามในการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน โดยกล่าวเสริมว่า “บุคคลใดก็ตาม ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตามก็จะต้องมีการปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อที่จะทำให้บ้านในทุกหลังนั้นเต็มไปด้วยกับตารางงานของประชาชาติและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ทั้งยังจะทำให้มีการรีบเร่งในการขับเคลื่อนของอิหร่านที่ทรงเกียรตินี้ไปยังทิศทางแห่งเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การทำให้เกิดความหวาดกลัวและการหมดหวัง คือ งานหลักของศัตรูและเหล่าองค์ประกอบที่แทรกซึม โดยท่านผู้นำยังกล่าวอ้างหลักฐานจากโองการอัลกุรอานและเหตุการณ์ในช่วงแรกของอิสลาม และกล่าวเสริมว่า “ตรรกะของอิสลาม ก็คือ อย่าได้หวาดกลัวศัตรู แต่จงอย่าหวาดกลัวต่อการหันแหออกจากแนวทางที่เที่ยงตรง หากว่าพวกเขาได้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง แน่นอนที่สุด ด้วยกับการช่วยเหลือของพระผู้อภิบาลก็จะทำให้พวกท่านนั้นได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเบี่ยงเบนออกจากแนวทางของพระเจ้าและการยอมจำนนต่อการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู เป็นเหตุให้มีการดูถูกเหยียดหยามและการไร้ที่พึ่งของประชาชาติ โดยท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในสภาพเช่นนั้น ชะตากรรมของอิหร่านก็จะเป็นดั่งยุคสมัยของระบอบชาห์ปาห์เลวี หรือประเทศต่างๆ เช่น ซาอุดิอาระเบียที่สหรัฐอเมริกานั้นเป็นตัวกำหนดชะตากรรมและมีการครอบครองผลประโยชน์ของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงการเดินขบวนวันที่ 22 บะห์มัน โดยกล่าวเสริมว่า “เป็นไปได้ว่าบางคนจะด้วยเหตุผล ตรรกะหรือพื้นฐานใดก็ตาม จะไม่ชอบในการกระทำของเจ้าหน้าที่คนใดคนหนึ่ง แต่ก็จะอย่าได้กล่าวสโลแกนในการต่อต้านเขา และจะต้องไม่ทำให้การเดินขบวนนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งและมีการปะทะกัน เพราะว่าการขับเคลื่อนอันทรงพลังนี้ของประชาชาติด้วยความยิ่งใหญ่และเอกภาพจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วันพรุงนี้ของประเทศ เยาวชนทั้งหลาย และประชาชาติ จะต้องดีว่าในวันนี้ถึงหลายเท่า และท่านผู้นำยังเน้นว่า “ด้วยกับการตะวักกุล (การมอบหมายกิจการต่อพระเจ้า) การรู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่ การกระทำของประชาชนและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต่อหน้าที่ พรระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดทางให้กับประชาชาติอิหร่านด้วยความโปรดปรานของพระองค์”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดทหารทุกเหล่าทัพ นายพล นาศีร ซาเดห์ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศได้กล่าวรายงานถึงความสำเร็จและขีดความสามารถของกองกำลังนี้ในด้านต่างๆ โดยกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศและหน่วยป้องกันภัยทางอากาศได้ยึดมั่นด้วยกับวิถีของบรรดาชะฮีดและผู้ปกป้องฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ และมีความเพียบพร้อมในการปกป้องศักดิ์ศรีและเขตพรมแดนของอิหร่านได้อย่างสมบูรณ์ทีเดียว”