ในช่วงวันแห่งการประสูติของท่านศาสดาแห่งความเมตตาและการชี้นำ ท่านศาสดาผู้ทรงเกียรติแห่งอิสลาม(ศ็อลฯ) และท่านอิมามศอดิก (อ) บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯและแขกผู้ที่เข้าร่วมในการสัมมนาสัปดาห์เอกภาพอิสลาม ครั้งที่ 32 ทุตานุทูตของประเทศอิสลามและประชาชนในทุกภาคส่วน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี
โดยท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า วิธีการเดียวในความผาสุกและการประสบความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ คือ การปฏิบัติตามศาสนาอิสลาม และรัศมีแห่งอัลกุรอาน และท่านยังได้ชี้ถึงการขยายวงกว้างในแต่ละวันของการตื่นตัวของโลกอิสลามและการมีจิตวิญญาณในการยืนหยัดและต้านทานระหว่างประชาชาติอิสลามและการทำให้สหรัฐและเหล่าพันธมิตรต้องเกิดความสับสนและวุ่นวายจากการปรากฏการณ์นี้ โดยกล่าวว่า “การปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป็นแบบฉบับหนึ่งด้วยกับการยืนหยัดในตลอดช่วงสี่สิบปีของประชาชาติอิหร่าน บัดนี้ ได้กลายเป็นต้นไม้ที่สวยงามและสูงสง่างาม ขณะที่การข่มขู่และการเคลื่อนไหวอันชั่วร้ายของสหรัฐและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ก็จะไม่มีผลเหมือนดั่งในอดีตที่ผ่านมา และแน่นอนก็จะพบกับความล้มเหลวอีกด้วย”
ในช่วงแรกของการเข้าพบปะ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวโรกาสวันประสูติของท่านศาสนทูตแห่งความเมตตา ท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ็อลฯ) และท่านอิมามศอดิก(อ) โดยท่านถือว่า ท่านศาสดาแห่งอิสลามนั้นเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่จรัสแสงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติในยุคสมัยแห่งญาฮิลียะฮ์(ยุคไร้ซึ่งอารยธรรม) และท่านศาสดาได้ทำให้อิสลาม ศาสนาแห่งฟากฟ้า และอัลกุรอาน พระมหาคัมภีร์แห่งรัศมี เป็นแนวทางในความผาสุกและการประสบความสำเร็จของมวลมนุษยชาติ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความต้องการอย่างต่อเนื่องของมนุษยชาติในความเมตตา การชี้นำ และรัศมีของท่านศาสดาแห่งอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “มนุษย์ทั้งหลายในวันนี้ ก็เช่นกัน ด้วยกับการเข้ามาของชาติมหาอำนาจและความฉ้อฉลที่เกิดขึ้นจากอาชญากรรมของพวกเขา ความอวิชชา ความหลอกลวง การไร้ซึ่งความยุติธรรม ปัญหาต่างๆที่ต้องประสบ ขณะที่วิธีการเดียวที่จะแก้ไขความทุกข์ทรมานเหล่านี้ ก็คือ การตอบรับคำเชิญชวนของท่านศาสดาผู้ทรงเกียรติและการขับเคลื่อนในวิถีแห่งการชี้นำของอิสลามและอัลกุรอาน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การขยายกว้างของขบวนการยืนหยัดต้านทานและการมีจิตวิญญาณในการตื่นตัวอิสลามในภูมิภาค คือ ตัวอย่างหนึ่งที่เกิดจากผลของการขับเคลื่อนตามวิถีการชี้นำของอิสลามและอัลกุรอาน และกล่าวอีกว่า “เหตุผลที่ทำให้ชาติมหาอำนาจ ผู้สวาปามโลกโดยมีแกนนำ คือ สหรัฐ อาชญากรและซาตานตัวใหญ่เกิดความไม่พอใจต่อภูมิภาคเอเชียตะวันตก ก็เพราะว่าการมีจิตวิญญาณในการตอบรับอิสลามและการตื่นตัวของโลกอิสลามระหว่างประชาชาติในภูมิภาคนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความหวาดกลัวของมหาอำนาจในการตื่นตัวของประชาชาติอิสลามทั้งหลาย โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ในสถานที่ใดก็ตามที่อิสลามได้ปกคลุมเหนือหัวใจและจิตวิญญาณ ในสถานที่แห่งนั้น เหล่ามหาอำนาจก็จะถูกตบหน้าและเรายังเชื่อมั่นว่า เหล่าชาติมหาอำนาจจะถูกตบหน้าอีกครั้งในภูมิภาคนี้จากการตื่นตัวของโลกอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงบรรดานักคิดสมัยใหม่และบรรดานักการศาสนาว่า “พวกท่านจะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้นกับการขับเคลื่อนในการตื่นตัวของโลกอิสลามและการยืนหยัดต้านทานตามความสามารถของพวกท่าน เพราะว่า วิถีเดียวที่จะเป็นหนทางแห่งความรอดพ้นของภูมิภาคก็คือ การมีแนวคิดและจิตวิญญาณเช่นนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงเหล่าผู้ปกครองบางประเทศโลกอิสลาม โดยกล่าวว่า “คำตักเตือนของเราที่มียังพวกท่านก็คือ จงกลับมายังการปกครองของอิสลาม ภายใต้การปกครองของพระผู้เป็นเจ้า เอกองค์อัลลอฮ์ ตะอาลา เพราะว่า การปกครองของสหรัฐฯและเหล่าผู้ชั่วร้ายนั้น มันไม่มีประโยชน์ใดๆให้กับพวกท่านเลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงบางประเทศในภูมิภาคแทนที่จะปฏิบัติตามอิสลามและอัลกุรอาน กลับไปปฏิบัติตามสหรัฐ โดยท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยกับธรรมชาติของมหาอำนาจของสหรัฐ พวกเขาเหล่านั้นต้องการให้ประเทศเหล่านั้นต้องพบความต่ำต้อย ดั่งเช่นที่พวกเขาได้เห็นมาแล้วที่ประธานาธิบดีที่ปากร้ายได้เปรียบเปรยผู้ปกครองของซาอุดิอาระเบียว่าเป็นดั่งวัวนม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการดูถูกต่อประชาชนชาวซาอุดิอาระเบียและประชาชาติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “ผู้ปกครองบางประเทศของอิสลามได้ร่วมมือกับสหรัฐในการก่ออาชญากรรมในปาเลสไตน์และเยเมน แต่แน่นอนว่า ชัยชนะนั้นจะประสบแด่ประชาชนชาวปาเลสไตน์และชาวเยเมน ขณะที่สหรัฐและเหล่าผู้ที่ติดตามของพวกเขา ก็จะพบกับความล้มเหลวในประเด็นต่างๆเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีอำนาจของสหรัฐและระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในภูมิภาคนี้นั้นอ่อนแอกว่าเดิม โดยกล่าวเสริมว่า “รัฐเถื่อนไซออนิสต์ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา หลังจากสงคราม 33 วัน ในการเผชิญหน้ากับฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนได้พบกับความล้มเหลว สองปีหลังจากนั้นในการเผชิญหน้ากับปาเลสไตน์ก็ไม่อาจที่ทดทานถึง 22 วันในสงครามกาซา จนต้องลดเหลือเพียง 8 วัน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการเผชิญหน้ากับขบวนการยืนหยัดของปาเลสไตน์ หลังจากผ่านไป 2 วัน ก็พบกับความล้มเหลว ทั้งหมดเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในแต่ละวัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการไม่เปลี่ยนแปลงของวิถีแห่งพระเจ้าในการช่วยเหลือประชาชาติที่ยืนหยัดต่ออำนาจต่างๆในการพึ่งพายังพระองค์ โดยกล่าวเสริมว่า “ในเยเมน ด้วยกับความยากลำบากและอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับประชาชนของประเทศนี้จากฝ่ายราชวงศ์อาลิซาอูดและเหล่าพันธมิตร รัฐบาลที่ให้การสนับสนุนพวกเขา หมายถึง สหรัฐ แต่ชัยชนะอย่างแน่นอนนั้นเป็นของประชาชาติเยเมนและกลุ่มอันซอรุลลอฮ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ชัยชนะของประชาชาติปาเลสไตน์นั้นเป็นวิถีอันแน่วแน่ของพระเจ้า โดยกล่าวเสริมว่า “สาเหตุหลักในการทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายของสหรัฐและเหล่าพันธมิตร และเหล่าพวกปากร้ายและการปฏิบัติที่ฉ้อฉลและการก่ออาชญากรรม ก็คือ การยืนหยัดและต้านทานของประชาชาติทั้งหลายของอิสลามในภูมิภาค ซึ่งจะเกิดผลในการยืนหยัดเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการยืนหยัดใน 40 ปีของประชาชาติอิหร่านด้วยกับความยากลำบากและการบีบคั้น โดยท่านเน้นว่า “สหรัฐและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ จะทำผิดพลาด หากมาข่มขู่กับประชาชาติอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้อีกถึงความล้มเหลวของนโยบายในการข่มขู่และการคว่ำบาตรของสหรัฐที่มีต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยกล่าวว่า “ประชาชาติอิหร่านด้วยกับบะรอกัต(เกียรติ)ของการยืนหยัดและการดำรงอยู่ในความศรัทธาต่อพระเจ้าและการเชื่อมั่นในพันธสัญญาของพระองค์ ได้ยืนหยัดต่อแผนการร้ายทั้งหมดดุจดั่งภูผา และในวันนี้ รัฐอิสลาม และประชาชาติอิหร่าน เป็นดั่งต้นไม้ที่สวยงามที่มีความก้าวหน้าในแต่ละวันและมีศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้น และนี่คือ หนึ่งในตัวอย่างของความก้าวหน้าในโลกอิสลาม”
ในช่วงท้ายของการกล่าวสุนทรพจน์ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เอกภาพ ความเป็นใจหนึ่งเดียวกันและการมีภาษาอันเดียวกัน คือ หนทางเดียวที่โลกอิสลามจะประสบชัยชนะเหนือแผนการร้ายต่างๆได้
ก่อนในการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม พณฯท่าน โรฮานี ประธานาธิบดีแห่งอิหร่าน ได้กล่าวถึงความนุ่มนวลของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ในการพบปะกับมนุษย์ทั้งหลาย โดยกล่าวเสริมว่า “ท่านศาสดานั้นมีสิทธิอันยิ่งใหญ่เหนือทุกคน โดยเฉพาะในสังคมของสตรี เพราะว่าสตรีนั้นมีสิทธิในการใช้สิทธิ์และใช้เสียง ในขณะที่สิทธินี้ แม้แต่ในยุโรป จนกระทั่งถึงศตวรรษก่อน ก็ไม่เป็นที่รู้จัก”
โรฮานี ถือว่า มะดีนะตุลนะบี(เมืองแห่งศาสดา) คือ แบบฉบับของสังคมอิสลาม และกล่าวว่า แม้ว่าเหล่าพวกผู้ปฏิเสธจะไม่ยอมรับท่านศาสดา(ศ็อล)และทำการคว่ำบาตรและปิดล้อมทางเศรษฐกิจกับท่านและบรรดามิตรสหายของท่าน แต่ท่านก็ได้อดทนอดกลั้นต่อความยากลำบากเหล่านั้นและไม่ยอมก้มหน้าให้กับผู้ใดเป็นอันขาด”
ท่านประธานาธิบดีอิหร่าน ยังกล่าวเสริมว่า ในวันนี้ บางคนได้ใช้สโลแกนในการตักฟีร (การปฏิเสธ)โดยทำให้สังคมและภูมิภาคต้องเกิดความไม่มั่นคงในนามของอิสลามและอัลกุรอาน อีกทั้งยังได้ทำลายชีวิต ความมั่นคง และร่องรอยทางอารยธรรมอีกด้วย”
โรฮานี ถือว่า ความพยายามต่างๆของมหาอำนาจในการก่อความไม่สงบในภูมิภาคโดยเหล่าสมุนผู้รับใช้ตักฟีรีย์ และเช่นเดียวกัน การบีบคั้นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่แห่งอิหร่านจากการคว่ำบาตรนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ และกล่าวอีกว่า “พวกเหยียดสีผิวที่หลอกลวงในภูมิภาคได้สังหารหมู่ประชาชนชาวปาเลสไตน์ในทุกๆวันและยังได้ทิ้งระเบิดโจมตีต่อชาวเยเมน”
ท่านประธานาธิบดีแห่งอิหร่าน ยังได้ชี้ถึงการร่วมมือของชาวคริสต์สุดโต่ง ชาวยิวสุดโต่งและมุสลิมสุดโต่งบางกลุ่ม โดยเปรียบเปรยว่า “เป็นไปได้อย่างไรว่า คาวบอยและคนเลี้ยงอูฐนั้นจะมาร่วมมือ และในวันนี้ ก็ได้ทำให้เกิดความฉ้อฉลต่างๆกับประชาชน”
พณฯท่านโรฮานี ถือว่า ปัญหาของเหล่าศัตรูที่มีสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ไม่ใช่ประเด็นนิวเคลียร์และข้อตกลงทางนิวเคลียร์แต่อย่างใด โดยกล่าวเสริมว่า “คำพูดของพวกเขา ก็คือ ในทุกๆการกระทำที่เราได้กระทำในภูมิภาค พวกท่านทั้งหลายจะต้องปิดหูปิดตา พวกเขากล่าวว่า หากว่าเราได้ทำการฉ้อฉลต่อประชาชนชาวอิรัก เราจะปกครองต่อไปในอัฟกานิสถาน เราจะเข่นฆ่าประชาชนชาวซีเรียและทำให้พวกเขาไร้ที่พักอาศัย เราจะทำให้เกิดความไม่สงบในแอฟริกาเหนือ และเราจะให้พวกตักฟีรีย์เข้ามามีอำนาจในภูมิภาค พวกท่านก็จะไม่พูดสิ่งใดและต้องนิ่งเฉย”
ท่านประธานาธิบดีแห่งอิหร่าน กล่าวเสริมว่า “พวกเขาต้องการปฏิบัติกับอิหร่านเหมือนดังปีต่างๆก่อนการปฏิวัติอิสลาม และไม่มีการปกป้องบรรดาผู้ถูกกดขี่ในภูมิภาค แต่สาธารณรัฐอิสลามด้วยกับการปฏิบัติตามท่านศาสดาแห่งอิสลาม จะไม่มีความหวาดกลัวต่อการตักฟีรีย์และการคว่ำบาตรของมหาอำนาจ”
พณฯท่านโรฮานี กล่าวว่า “เราถือว่า เพื่อนบ้านทั้งหลายของเรานั้นเป็นพี่น้องและความมั่นคงในภูมิภาค คือ ความมั่นคงของเรา เราจะร่วมจับมือกันกับพี่น้องและมิตรทั้งหลายของเราไปยังบรรดามุสลิมทุกๆคน”
ในช่วงท้ายของการเข้าพบ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้สนทนาอย่างใกล้ชิดกับแขกผู้เข้าร่วมในการสัมมนาสัปดาห์เอกภาพอิสลามจำนวนหนึ่ง