บรรดานักเรียน และนักศึกษาหลายพันคน ได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในวโรกาสวัน 13 เดือนอาบาน (ปฏิทินอิหร่าน) ซึ่งตรงกับวันแห่งการต่อสู้ของชาติกับมหาอำนาจของโลก โดยท่านผู้นำถือว่า การเข้าร่วมกันของประชาชนอย่างยิ่งใหญ่ที่มีเต็มไปด้วยนัยยะในการเดินขบวนที่ไม่เหมือนใคร อันไร้ซึ่งการพรรณา และความมหัศจรรย์ของวันอัรบะอีน และอีก 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 อาบาน ปี 1343,1357และ1358 (ปฏิทินอิหร่าน) นั้นเป็นสัญลักษณ์ต่างๆที่บ่งบอกถึงความท้าทายกันระหว่างประชาชาติอิหร่านและสหรัฐอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง โดยท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงความพ่ายแพ้ของซาตานตัวใหญ่ในการไม่บรรลุยังเป้าหมายหลักของแผนการร้ายในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา นั่นกล่าวคือ การย้อนกลับสู่ยุคเผด็จการสมัยแห่งการปกครองในระบอบชาฮ์ปาเลห์วีในอิหร่าน โดยท่านเน้นว่า “การล่มสลายของสหรัฐ ได้กลายเป็นความจริงที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในโลกต่างมีมติเป็นเอกฉันท์ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของความท้าทายนี้ ประชาชาติอิหร่านจะได้พบกับอนาคตที่สดใสและดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยกับการมีแรงจูงใจ การมีจิตวิญญาณในการทำงานและความเพียรพยายามของเหล่าเยาวชนผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย”
ในช่วงต้นของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีกับทุกๆคนที่ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนในวันอัรบะอีน โดยกล่าวว่า "พวกตะวันตกนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจและวิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์อันพิเศษนี้ได้ เมื่อหลายปีก่อน พวกเขาได้ใช้แผนการสมคบคิดเงียบ ในการเผชิญหน้ากับการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ของวันอัรบะอีน แต่ในปีนี้พวกเขาก็ใช้เพียงบางส่วน อีกทั้งยังมีการวิเคราะห์อย่างเป็นปฏิปักษ์ ที่ผิดพลาด และไร้คุณประโยชน์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงตาน้ำอันพวยพุ่งของการเดินขบวนวันอัรบะอีนนั้นได้ทำให้พวกตะวันตกและสื่อต่างๆของพวกเขาต้องพบกับความฉงนสนเทห์ โดยกล่าวว่า “สื่อต่างๆของตะวันตก เช่น วิทยุภาษาอังกฤษ ได้อ้างว่า มีระบอบการปกครองในพิธีการอันยิ่งใหญ่อันนี้ แต่รัฐบาลใดหรือที่จะมีความสามารถในการขับเคลื่อนประชาชนจำนวน 10 ล้าน จนถึง 15 คน ให้ออกมาเดินเท้าเปล่าด้วยกับระยะทางที่อย่างน้อยที่สุด 80 กิโลเมตรได้?”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “ถ้า เราสมมุติในความเป็นไม่ได้ว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและรัฐบาลอิรักนั้นคือ ปัจจัยในการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็ถือว่านี่เป็นเรื่องอันน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง และหากว่า พวกตะวันตกก็สามารถจะกระทำการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า “การขับเคลื่อนที่ไม่เหมือนใครของวันอัรบะอีน จะเกิดขึ้นไม่ได้ เว้นแต่ด้วยกับความรักและความศรัทธาและการเผาผลาญของเลือดของบรรดาชะฮีดที่มีฐานันดรอันสูงส่ง และก็ไม่มีปัจจัยอื่นใดที่จะสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ดังกล่าวนี้ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงการขับเคลื่อนของวันอัรบะอีน จะยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆในแต่ละปี และท่านผู้นำยังได้กล่าวขอบคุณต่อการต้อนรับด้วยความรักและความห่วงใยของรัฐบาลและประชาชาติอิรัก ตลอดจนบรรดาผู้เชี่ยวชาญและนักการเมืองของประเทศนี้ด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัย ท่านได้ชี้ถึง 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 เดือนอาบาน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐ โดยกล่าวว่า “เหตุการณ์แรกนั้นเกิดขึ้นในปี 1343 เกี่ยวกับการลี้ภัยของท่านอิมามโคมัยนี ที่มาจากการคัดค้านมติการยอมจำนน (capitulations)หรือ มติการคุ้มครองพลเรือนสหรัฐในอิหร่าน ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 คือ การสังหารหมู่นักเรียน ยุวชนโดยระบอบสหรัฐของชาฮ์ปาเลห์วี ในปี 1357 และเหตุการณ์ที่ 3 เกิดขึ้นในปี 1358 เป็นปีที่มีการยึดคืนรังแห่งการสอดแนมของสหรัฐโดยบรรดานักศึกษา ซึ่งในความเป็นจริงนั้นก็คือ การตบหน้าสหรัฐในการตอบโต้ของประชาชาติอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การถูกตบหน้าและความอัปยศอดสูของสหรัฐนั้นเป็นผลมาจากการมีอำนาจของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อประชาชน โดยกล่าวว่า “เหตุการณ์ทั้งสามนั้นแสดงถึงความท้าทายระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งความท้าทายนี้ยังคงมีอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดในสี่สิบปีที่ผ่านมาและพวกอเมริกาได้ใช้วิธีการในการเคลื่อนไหวและความเป็นปฏิปักษ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การโจมตียังทาบาซ การเรียกร้องให้ซัดดามทำสงครามกับอิหร่าน การโจมตีด้วยขีปนาวุธยังเครื่องบินโดยสาร และการโจมตียังแหล่งน้ำมันของอิหร่าน ทั้งหมดนี้ คือ ตัวอย่างของ "สงครามทางทหาร" ของอเมริกาในความท้าทายในช่วงสี่สิบปีนี้ โดยท่านผู้นำยังตั้งข้อสังเกตุว่า “หนึ่งในการเคลื่อนไหวของพวกอเมริกาใน 40 ปีนี้ คือการใช้ "สงครามทางเศรษฐกิจ" และขณะนี้ พวกเขากล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตร คือ การปฏิบัติการณ์ใหม่ที่มีต่ออิหร่าน ในขณะที่ความจริงนั้นก็คือ การหลอกลวงตัวเองและประชาชาติสหรัฐ เพราะว่าประเด็นของการคว่ำบาตรได้เริ่มต้นมาตั้งแต่การประสบชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามมาแล้ว”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อีกหนึ่งในเครื่องมือของสหรัฐฯในความท้าทายตลอดช่วง 40 ปีกับอิหร่าน คือการใช้สงครามทางสื่อ และท่านกล่าวว่า “สงครามทางสื่อของอเมริกา หมายถึง วิธีการในการแพร่กระจายด้วยการโกหก การสร้างวิกฤติฟิตนะฮ์(ความวุ่นวาย) การสร้างความชั่วร้าย และการกระตุ้นให้ผู้คนโดยเริ่มต้นในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม และในวันนี้ด้วยกับการใช้วิธีการทางไซเบอร์สเปซ จึงทำให้มีวิธีการต่างๆที่ใหม่กว่าเดิม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้สรุปในส่วนนี้ของการปราศรัยของท่าน โดยกล่าวว่า “ในตลอด 40 ปีของความท้าทายระหว่างสหรัฐกับอิหร่านได้มีความจริงอันหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งบางครั้งมันได้ถูกปกปิดจากสายตาทั้งหลาย นั่นก็คือ ฝ่ายที่กุมชัยชนะในความท้าทายนี้ คือ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายผู้แพ้ ก็คือ สหรัฐนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายถึงประเด็นนี้ โดยกล่าวเสริมว่า “เป้าหมายหลักของอเมริกาในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา คือ การปกครองต่ออิหร่านอีกครั้ง แต่ด้วยกับความพยายามทั้งหมดและแผนการร้ายต่างๆ จึงทำให้พวกเขานั้นไม่สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นว่า “ในวันนี้ ประเทศเดียวที่สหรัฐมีบทบาทน้อยที่สุดในการตัดสินใจ คือ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน นั่นหมายถึง ความพ่ายแพ้ของสหรัฐนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายหลักของอเมริกาในการเรียกร้องให้ซัดดามต้องทำสงคราม 8 ปี กับอิหร่าน คือ ความพ่ายแพ้และการทำลายเกียรติของรัฐอิสลามที่มีต่อโลก โดยเน้นว่า “อิหร่านนั้นเคยได้รับความพ่ายแพ้มาแล้วในสงครามเมื่อ 200 ปีที่แล้ว แต่ทว่าในสงครามแปดปี อิหร่านได้ทำให้เห็นแล้วว่า มีความสามารถพิชิตเหนือศัตรู และแผ่นดินของประเทศสักคืบหนึ่งก็ไม่อาจที่จะอยู่ในการครอบครองของต่างชาติได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของสหรัฐจากการทำสงครามและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา คือการทำให้เกิดความเป็นอัมพาตและการสั่งการให้ประเทศต้องถอยหลัง โดยกล่าวเสริมว่า “ในสงครามเศรษฐกิจ สิ่งที่ได้เกิดขึ้นก็ตรงกันข้ามกับความต้องการของอเมริกา เพราะว่า การขับเคลื่อนยังการพอเพียงและการผลิตภายในนั้นมีความรวดเร็วเกิดขึ้น และในวันนี้ มีกลุ่มต่างๆหลายร้อยกลุ่มที่มาจากเหล่าเยาวชนที่มีแนวคิดที่ดีของมหาวิทยาลัยกำลังเข้าร่วมในการดำเนินการและการกระทำการงานที่สำคัญของประเทศ”
หลังจากนั้น ท่านผู้นำสูงสุดก็ได้ชี้ถึงเงื่อนไขของสหรัฐที่มีต่อโลก โดยกล่าวเสริมว่า "ในวิสัยทัศน์ที่กว้างกว่าต่างมองว่า อำนาจและการมีอำนาจของอเมริกาต่อโลกกำลังลดน้อยลงและจะล่มสลาย ในขณะที่อเมริกาในวันนี้นั้นมีความอ่อนแอกว่าอเมริกาเมื่อสี่สิบปีที่ผ่านมาเสียอีก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการยอมรับของนักการเมืองส่วนใหญ่และนักสังคมวิทยาชั้นนำของโลกบนพื้นฐานของการกัดเซาะและการล้มสลายของอำนาจอ่อนของสหรัฐ โดยกล่าวว่า “อำนาจอ่อนของอเมริกา หมายถึง การทำให้ผู้อื่นต้องยอมรับในทัศนะของตนที่มีต่อประเทศอื่น ๆ ซึ่งขณะนี้ได้อยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนแอที่สุดในความเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นับตั้งแต่การเข้ามาของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะกับประชาชาติทั้งหลาย แต่รวมทั้งรัฐบาลต่างๆของยุโรป จีน รัสเซีย อินเดีย แอฟริกา และละตินอเมริกา ก็เช่นเดียวกันที่มีความขัดแย้งกับการตัดสินใจของสหรัฐ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า “ขณะนี้ ไม่เพียงแต่การมีอำนาจทางจิตวิญญาณและอำนาจอ่อนของอเมริกาจะพบกับความล่มสลาย แต่การปฏิบัติการณ์อันแปลกประหลาดของประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบันนี้ ก็ได้ทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยม ซึ่งเป็นรากฐานของอารยธรรมตะวันตกต้องพบกับความไร้เกียรติเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อำนาจแข็งของสหรัฐทางทหารและเศรษฐกิจก็กำลังจะลดลง โดยกล่าวเสริมว่า “พวกเขานั้นมีกองกำลังทหาร แต่เนื่องจากเกิดความสับสน ความลังเลและข้อสงสัยของเหล่าทหารของพวกเขา จนต้องใช้องค์กรก่ออาชญากรรม เช่น แบล็กวอเตอร์ เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายของพวกเขาในประเทศต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การตกอยู่ในภาวะหนี้ที่เป็นตำนานของสหรัฐฯและการขาดดุลงบประมาณ 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในประเทศในปีนี้ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการล้มสลายทางเศรษฐกิจ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตุอีกว่า “พวกเขาได้ปกปิดข้อเท็จจริงนี้ด้วยการสร้างภาพแบบผิวเผิน แต่ภายใต้สิ่งเย้ายวนนั้นแสดงถึงการล่มสลายทางเศรษฐกิจ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ให้ความสำคัญกับประเทศต่างๆในภูมิภาคกับความเป็นจริงของการล่มสลายของอเมริกา โดยกล่าวเสริมว่า “บรรดาผู้ที่ให้การสนับสนุนต่อสหรัฐอเมริกาและได้ลืมในปะเด็นปาเลสไตน์ พึงตระหนักว่า อเมริกากำลังจะล่มสลาย แม้แต่ในภูมิภาคของตน แต่ประชาชาติทั้งหลายในภูมิภาคนี้ยังคงมีชีวิตมั่นคงต่อไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า ความต่อเนื่องทางจิตวิญญาณของการเรียกร้องสู่อิสรภาพในหมู่เยาวชนอิหร่านด้วยกับทุกแนวความคิดและพฤติกรรม เป็นอีกหนึ่งในสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกเขาได้เพียรพยายามในการครอบครองสื่อข่าวต่างๆและการสื่อสารทั้งหมด แต่ก็ไม่มีความสามารถที่จะทำให้ความรู้สึกเกลียดชังและการมีจิตวิญญาณของการเรียกร้องสู่อิสรภาพและการยืนหยัดต้านทานของบรรดาเยาวชนในแผ่นดินนี้ต้องหมดสิ้นไปในการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยที่ว่า เยาวชนรุ่นใหม่ในยุคนี้นั้นมีแรงจูงใจในการยืนหยัดและการต้านทานที่ไม่น้อยไปกว่าเยาวชนในยุคแรกของการปฏิวัติอิสลามเลยก็ตาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการซึมซับทางจิตวิญญาณของการเรียกร้องสู่อิสรภาพในหมู่เยาวชนอิหร่านในประเทศต่างๆ โดยกล่าวเสริมว่า “ประชาชนและเหล่าเยาวชนชาวอิรัก ซีเรีย เลบานอน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และประเทศอื่นๆที่เกลียดชังต่อการครอบงำและการดูถูกของสหรัฐฯ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงสาเหตุของความเกลียดชังนี้ ซึ่งพวกเขาเห็นได้ด้วยจากสายตาของพวกเรา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมในประเด็นนี้อีกว่า “พวกอเมริกาได้ข่มขู่เรา และส่งสารให้โดยบอกว่าถ้าเยาวชนของประเทศใดก็ตามที่โจมตียังกองกำลังของเราหรือผู้ที่สนับสนุนต่อเรา เราจะถือว่า อิหร่าน คือ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ พวกท่านนั้นกำลังทำผิดพลาดที่มากล่าวหาอิหร่าน แต่พวกท่านจะต้องมองดูถึงการกระทำที่น่ารังเกียจของพวกท่านในประเทศต่างๆ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงการล่มสลายของสหรัฐกับผู้ที่มีแนวโน้มในการประนีประนอมกับสหรัฐ โดยกล่าวเสริมว่า “ ไม่มีประโยชน์ในแผนการที่ไม่มีมูลฐานและข้อเท็จจริง ขณะที่การล่มสลายของสหรัฐนั้นคือ ความเป็นจริงหนึ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัจจัยในการล้มสลายของซาตานตัวใหญ่ในระยะยาว ก็คือ เกิดจากการกระทำในการครอบงำของมันในช่วงประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ โดยท่านเน้นว่า "ด้วยวิถีแห่งพระเจ้า สหรัฐจะถูกตัดสินโดยจะถูกทำให้หายไปจากมหาอำนาจของโลก"
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตุถึงสถานการณ์ของสหรัฐในกรณีที่หนึ่งในสองฝ่ายของความท้าทายอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่องระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน โดยกล่าวว่า "ในอีกด้านหนึ่งของความท้าทายที่ไม่เกินเลยความจริง ก็คือ เราได้เห็นถึงความก้าวหน้าที่เพิ่มมากขึ้นในตลอดช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา"
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมของเยาวชนหลายร้อยกลุ่ม ที่มีแนวคิดที่ดี มีศักยภาพ ทั้งมีนวัตกรรมใหม่ๆและความเพียรพยายามในแวดวงต่างๆทางความคิด ทางการปฏิบัติและเทคโนโลยี คือ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงการขับเคลื่อนอย่างจริงจังของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ในความเป็นอิสรภาพทางด้านอุตสาหกรรมและทางการเมือง และท่านยังกล่าวเสริมว่า "เยาวชนเหล่านี้ไม่เคยคิดที่จะเข้ามาเป็นประธานาธิบดี รัฐมนตรี และนักกฎหมาย อีกทั้งปรากฏการณ์อันมีเกียรติครั้งนี้ก็ยังคงดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการปราศรัยในหมู่นักเรียนและนักศึกษาโดยกล่าวถึงข้อตักเตือนในหลายประเด็นด้วยกัน ซึ่งประเด็นแรก ก็คือ อย่าลืมในความเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐเป็นอันขาด และท่านยังถือว่า การระมัดระวังในเล่ห์เหลี่ยมอันหลอกลวงของศัตรู คือ สิ่งที่มีความจำเป็นและท่านยังกล่าวว่า "บางครั้ง พวกสหรัฐกล่าวว่า เราไม่มีปัญหาใดๆกับประชาชาติอิหร่าน และการคว่ำบาตรก็ไม่ข้องเกี่ยวกับประชาชน แต่มันเกี่ยวข้องกับรัฐบาลอิหร่านต่างหากที่มีความท้าทายระหว่างกัน แต่ นี่คือการโกหกอย่างเปิดเผย เพราะรัฐบาลอิหร่านจะปราศจากประชาชาติโดยไม่ได้ ขณะที่พวกเหล่านั้นกลับมีความเป็นศัตรูกับการปรากฏตัวและความประสงค์ของประชาชาติ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตอบในคำถามที่ว่า การยืนหยัดและความปฏิปักษ์ของประชาชาติอิหร่านกับสหรัฐฯ จะมีถึงเมื่อใด? โดยท่านกล่าวเสริมว่า "เวลาที่สหรัฐฯได้ถอยห่างจากการครอบงำ ซึ่งเราก็สามารถจะปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่เรื่องนี้ยังถือว่าอีกไกล เพราะว่าอัตลักษณ์ของพวกเขา นั้นคือ การครอบงำและการยึดครอง"
ข้อตักเตือนที่สองของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ที่มีต่อเยาวชน คือ "การส่งเสริมและอธิบายทฤษฎีการยืนหยัดต้านทาน"
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ทฤษฎีการยืนหยัดต้านทานในการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ จะต้องมีทฤษฎีที่แข็งแกร่งและถูกต้องทางการปฏิบัติด้วยเช่นกัน และท่านกล่าวเสริมว่า “บรรดาเยาวชนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมต่างๆได้ตกเป็นเป้าหมายหลักของมหาอำนาจ หมายถึง จะต้องมีการอธิบายถึงการครอบงำ เพื่อที่จะเข้าใจได้ในความจำเป็นและความถูกต้องของทฤษฎีการยืนหยัดต้านทานอย่างดีที่สุด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ในแง่ทางการปฏิบัติ เราถือว่า สิทธิของเยาวชน ชาวอิรัก ซีเรีย เลบานอน ประเทศต่างๆแถบแอฟริกาเหนือ และแถบเอเชียใต้ รวมทั้งภูมิภาคอื่นๆ และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกระแสความเคลื่อนไหวต่างๆ ก็คือ การทำให้ทฤษฎีการยืนหยัดต้านทานนั้นแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน”
ข้อตักเตือนสุดท้ายของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ที่มีต่อเยาวชนที่มีเกียรติยิ่งชาวอิหร่าน คือ "การมีความรู้สึกรับผิดชอบในประเด็นความก้าวหน้าของประเทศ"
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า รูปแบบแผนอิสลามแห่งอิหร่านที่ก้าวหน้า ในอีกห้าสิบปีข้างหน้า เป็นแบบแผนที่จะมีความสมบูรณ์และมีการปฏิบัติได้นั้นอยู่ในความรับผิดชอบของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เหล่าเยาวชนทั้งหลายจะต้องถือว่า พวกเขานั้นมีบทบาทในแบบแผนอันขยายกว้างใน 50 ปีนี้ และจะต้องมีการเตรียมการต่อความต้องการในเวลา ทางด้านวิชาการ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การหยุดในการพึ่งพาเศรษฐกิจของประเทศที่เกี่ยวกับรายได้จากน้ำมัน นั้นเป็นความกังวลตลอดกาลของท่านและบรรดานักเศรษฐศาสตร์ โดยท่านยังได้เชิญชวนให้เหล่าเยาวชนคนหนุ่มสาวที่มีศรัทธา นักคิดและนักปฏิบัตินำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงรูปแบบของความก้าวหน้าของอิหร่านนั้นไม่ได้มาจากรูปแบบของการพัฒนาการของชาติตะวันตก โดยกล่าวเสริมว่า เราได้ใช้ศาสตร์ความรู้และเทคโนโลยีอย่างมากที่สุดในแต่ละวัน แต่เราก็ทราบว่า รูปแบบของตะวันตกนั้นมีความแตกต่างจากสิ่งที่เย้ายวนใจอย่างผิวเผินและภายใน และจะทำให้ประเทศต่างๆต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากและความโชคร้าย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความต้องการหลักของประเทศ คือ ความพยายามอย่างอุตสาหะของเหล่าเยาวชนในการแก้ไขปัญหาของประเทศ และท่านยังเน้นว่า “บรรดาเยาวชนจะต้องไม่มีความหวาดกลัวและความเกียจคร้าน จึงสามารถที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ และจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยความขยันหมั่นเพียรเพื่อความก้าวหน้าและความผาสุก อีกทั้งความภาคภูมิใจของประชาชาติและความมั่นคงของประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ต้องมีความจริงจังในการใช้ประโยชน์จากเยาวชนทั้งหลายที่เต็มไปด้วยกับแรงจูงใจและการยอมรับต่อพวกเขาอย่างแท้จริง และกล่าวว่า “บางครั้งเห็นได้ว่า บางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีการช่วยเหลือต่อเยาวชนในการทำงานที่ดีและยกระดับของพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวสรุปในการปราศรัยของท่าน โดยเน้นว่า “ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า อนาคตอันสดใสของประเทศ ซึ่งจะดียิ่งขึ้นกว่าในวันนี้ และหากว่าประชาชาติยังคงดำเนินการต่อไปด้วยกับการมีจิตวิญญาณและแรงจูงใจอันสูงส่ง อิหร่านที่มีเกียรติยิ่งในอนาคตที่ไม่ไกลนักจะเข้าถึงความสูงส่งในการมีปฏิสัมพันธ์กับโลก และเยาวชนก็จะได้รับประสบการณ์จากความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่นี้ที่เกิดขึ้นด้วยเกียรติของอิสลามและการปฏิวัติอิสลาม”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นายมูฮัมมัด ศอบิร บัฆคานี และนายมุรตะฎอ อะซีซี ในฐานะตัวแทนของนักเรียนและนักศึกษาได้กล่าวแสดงความคิดเห็นและทัศนะคติของตนเกี่ยวกับความจำเป็นในการยืนหยัดต้านทานในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายของชาติมหาอำนาจด้วยกับการมีแรงจูงใจในการปฏิวัติอิสลามและการพึ่งพายังศักยภาพของบรรดาเยาวชนทั้งหลายในประเทศ