ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เข้าร่วมในการรวมตัวครั้งใหญ่ของบรรดาบะซีจญ์ (อาสาสมัครประชาชน)ทั่วประเทศ ณ สนามกีฬาที่จุผู้คนได้ถึงหนึ่งแสนคนของออซอดีโดยท่านผู้นำได้เน้นว่า เยาวชน คือ หนึ่งในวิธีการของการแก้ไขปัญหาของประเทศ และท่านยังได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่สำคัญในปัจจุบัน โดยกล่าวเสริมว่า “พวกสหรัฐด้วยกับการข่มขู่ได้พูดจาที่หยาบกระด้างและการแสดงถึงภาพลักษณ์อันน่าหวาดกลัวที่ขัดแย้งกับการมีอำนาจของพวกเขาและสถานการณ์ในอิหร่าน แต่เหล่ามวลชนที่ยิ่งใหญ่ของบรรดาเยาวชนแห่งชาติและประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ของอิหร่านต่างก็รู้ดีว่าจะต้องทำให้สงครามครั้งล่าสุดที่ยังคงเหลืออยู่ นั่นหมายถึง การคว่ำบาตรนั้น จะต้องพบกับความล้มเหลวด้วยการตบหน้าสหรัฐอีกครั้ง หากพระเจ้าทรงประสงค์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการสร้างวีรกรรมอันมีนูร (รัศมี)เจิดจรัสของท่านหญิงซัยนับ อัลกุบรอ และท่านอิมามซัจญาด (อ) ในความเป็นอมตะนิจนิรันดร์ของเหตุการณ์อาชูรอ และท่านยังได้ชี้ถึงสัปดาห์ของวันอัรบะอีนก็กำลังใกล้จะเข้ามาถึง โดยกล่าวเสริมว่า “การเกิดขึ้นอีกครั้งของการสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของวันอัรบะอีน ด้วยกับการเข้าร่วมของประชาชาติอิหร่าน ประชาชาติอิรัก บรรดามุสลิมจากประเทศต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นการปรากฏการณ์อันพิเศษยิ่งด้วยกับความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้า อีกทั้งในเวลาที่โลกอิสลามนั้นต่างมีความต้องการ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การข่มขู่ของเหล่าผู้นำที่หิวกระหายเลือด มหาอำนาจจอมอหังการอย่างสหรัฐ ในขณะที่บรรดาเยาวชนผู้ศรัทธาได้แสดงให้เห็นถึงการมีอำนาจของพวกเขาและการได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องในภาคสนามต่างๆ และยังรู้สึกถึงการเกิดขึ้นของปัญหาต่างๆทางเศรษฐกิจและความยากลำบากในการดำรงชีพของประชาชนส่วนใหญ่และเหล่าผู้ชำนาญการต่างก็ต้องพยายามค้นหาวิธีการในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ นั่นคือ การกำหนดทิศทางต่างๆของสถานการณ์ที่สำคัญของประเทศ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความยิ่งใหญ่ของอิหร่าน การมีอำนาจของสาธารณรัฐอิสลาม และการไม่ยอมพ่ายแพ้ของประชาชาติอิหร่าน คือ ทั้ง 3 ความจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ โดยกล่าวเสริมว่า “นี่ไม่ใช่การพูดจาโม้หรือโอ้อวด แต่เป็นความจริงที่เหล่าศัตรูนั้นหวังที่จะไม่ให้ประชาชาติอิหร่านต้องรับรู้หรือทำการเพิกเฉยไปเสีย เพื่อที่จะให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศและขีดความสามารถ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ทำการอธิบายเพิ่มเติมถึงความเป็นจริงทั้งสามเหล่านี้ โดยถือว่าความยิ่งใหญ่ของอิหร่านนั้นเป็นประเด็นทางประวัติศาสตร์ และท่านยังกล่าวเสริมว่า “นอกจากในช่วง 200 ปีก่อนที่จะนำไปสู่ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม (นับตั้งแต่ยุคกลางของราชวงศ์กอญารถึงจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ปาห์เลวี) อิหร่านที่มีเกียรติของเรานั้นถือว่ามีความเป็นเลิศในด้านต่างๆของประชาชาติมุสลิมและในช่วงเวลาหนึ่ง แม้กระทั่งความเป็นเลิศให้กับประชาชาติทั้งหลายอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรอดพ้นของอิหร่านจากการปกครองที่ฉ้อฉลของอังกฤษและอเมริกา นั้นเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างพอเพียงในการมีอำนาจของสาธารณรัฐอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “การรอดพ้นของประเทศนี้จากความชั่วร้ายของการปกครองในรูปแบบของเผด็จการและระบอบกษัตริย์ การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายใน 40 ปี ครั้งล่าสุด และการเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมีเกียรติของอิหร่านในภูมิภาคและโลก นั่นคือ อีกตัวอย่างหนึ่งของการมีอำนาจของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวว่า ระบอบรัฐอิสลามที่ได้รับชัยชนะในช่วงสงครามแปดปีในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูที่มีความกว้างขวาง และด้วยกับการรักษาผืนแผ่นดินทั้งหมดของประเทศ และยังเป็นครั้งแรกในหลายศตวรรษที่ผ่านมา ที่จะไม่อนุญาตให้เหล่าผู้รุกรานได้ทำการแบ่งแยกส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศที่มีเกียรติของเราได้ หรือการทำให้ประชาชาติจะต้องพบกับความอัปยศอดสูด้วยกับการเข้าร่วมทางทหารในอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การไม่ยอมพ่ายแพ้ของประชาชาติอิหร่าน เกิดขึ้นจากบะรอกัต (ความเป็นสิริมงคล)ของอิสลามอันทรงเกียรติยิ่งนี้ โดยกล่าวเสริมว่า “การไม่พ่ายแพ้เหล่านี้ สามารถที่จะมองเห็นได้ถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาชาตินี้ในการปฏิวัติอิสลามและการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และเช่นกัน การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายทั้งหมดในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมาล่าสุด เพราะว่า ประชาชาตินี้ไม่มีความรู้สึกอ่อนแอและเหนื่อยล้าต่อการเผชิญหน้ากับแผนการสมรู้ร่วมคิดเหล่านี้และการดำเนินการต่างๆของศัตรู อีกทั้งจะไม่มีทางที่จะถอยหลังเป็นอันขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เปรียบเวทีแห่งการต่อสู้ทางการเมืองและเศรษฐกิจกับสงครามทางทหาร โดยถือว่าความภูมิใจ คือ ปัจจัยในการมีชัยชนะของทุกๆเวที และท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การยอมรับความพ่ายแพ้นั้น จะทำให้กิจการงานของพวกเราต้องไร้ประสิทธิภาพ และไร้ซึ่งนวัตกรรมใหม่ๆโดยที่ไม่มีแบบแผนในการดำเนินการ อีกทั้งยังเป็นเหตุให้ศัตรูได้รับชัยชนะด้วย”
ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ในขณะนี้เรายังอยู่ในช่วงแรกของการเดินทางที่จะต้องมีความเพียรพยายามเพื่อแสวงหาแนวทาง ความกล้าหาญ การบริหารจัดการ และการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องจากเครื่องอำนวยความสะดวกในการเดินทางด้วยความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะนำไปถึงยังจุดสูงสุดของประเด็นต่างๆที่ประชาชาตินักการปฏิวัติมีความต้องการ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงส่วนสำคัญของการปราศรัยของท่านในการอธิบายถึงบทบาทของบรรดาเยาวชนในการเปลี่ยนแปลงในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า “บรรดาเยาวชน ผู้มีเกียรติทั้งหลายนั้น พวกท่านพึงรู้ไว้เถิดว่า พวกท่านนั้นคือ ส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนแห่งชาติ ซึ่งพวกท่านก็จะต้องเป็นผู้เปิดทาง หากว่า ผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ทั้งหลายนั้นยังไม่รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่มีเรี่ยวแรงในการทำงาน ก็สามารถที่จะเป็นที่ปรึกษาให้กับพวกท่านได้ แต่ผู้ที่ขับเคลื่อนของขบวนรถไฟนี้ก็คือ พวกท่านเยาวชนทั้งหลายนั่นเอง"
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงบทบาทของการเป็นผู้นำและตัวชี้ขาดของเยาวชนในการต่อสู้กับจอมเผด็จการช่วงก่อนในชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม ช่วงเวลาของชัยชนะ การต่อสู้กับการแบ่งแยกดินแดนในช่วงแรกๆของการปฏิวัติอิสลาม การให้บริการอย่างมากมายให้กับประชาชาติในการทำกิจการในการกุศล การต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายที่หลอกลวงและทรยศต่อชาติในช่วงทศวรรษที่ 60 สงครามศักดิ์สิทธิ์แปดปี ความพยายามในการบ่อนทำลาย หลังจากการสิ้นสุดของสงคราม การต่อสู้ทางวัฒนธรรมกับการรุกรานทางวัฒนธรรมของศัตรูในช่วงทศวรรษที่ 70 และการต่อสู้ทางวิชาการและการกำหนดทิศทางในช่วงแรกของทศวรรษที่ 80 โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยาวชนทั้งหลายนั้นเป็นผู้นำในการต่อสู้กับการก่อการร้ายตักฟีรีย์ และในวันนี้ ก็ด้วยกับแรงจูงใจและการรู้จักหน้าที่ในการต่อสู้ทางความคิดและทางการปฏิบัติและด้วยเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ทั้งยังมีข้อเสนอที่เหมาะสมอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า กลุ่มบะซีจญ์ (อาสาสมัครประชาชน) หลายพันคนของบรรดาเยาวชนทั่วประเทศและการให้บริการที่ไม่สิ้นสุดของพวกเขา โดยเฉพาะกับกลุ่มชนที่ด้อยโอกาสนั้นคือ ทุนอันยิ่งใหญ่ของชาติที่จะมีอนาคตที่ดีกว่าอย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เยาวชนทั้งหลายนั้นคือ เจ้าของประเทศ และท่านยังได้ชี้ถึงจุดนี้โดยกล่าวเสริมว่า “บางคนคิดว่าข้าพเจ้านั้นไม่ได้ตระหนักถึงความหันเหและความเบี่ยงเบนของเหล่าเยาวชนบางส่วน แต่เยาวชนหนุ่มสาวเหล่านี้ พวกเขานั้นตกอยู่ในภาวะตกต่ำที่จะต้องเอาชนะมาให้ได้ ในขณะที่การยกย่องและความปลาบปลึ้มของข้าพเจ้าที่มีต่อพวกเขาทั้งหลายนั้นด้วยกับข้อมูลที่พอเพียงเกี่ยวกับประเด็นต่างๆเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงเหล่าผู้ที่ไม่ได้สนใจต่อบทบาทในการเป็นผู้ชี้ขาดของเยาวชนทั้งหลายในปัจจุบันและอนาคตของประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า “ผู้คนเหล่านี้ต้องการที่จะบอกว่า เยาวชนทั้งหลายคือ ตัวปัญหาหรือเป็นผู้ที่สร้างปัญหา แต่ข้าพเจ้านั้นเชื่อมั่นว่า เยาวชนเหล่านี้ คือ ทางออกในการแก้ปัญหาของประเทศ มิใช่ตัวปัญหาแต่อย่างใด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงเส้นทางของการก้าวหน้าของประเทศได้ถูกเปิดออกแล้ว แต่เส้นทางนี้ก็จะต้องก้าวข้ามอุปสรรคขวากหนามที่ขวางกั้นไว้ โดยกล่าวว่า “การจะไปสู่ยังเส้นทางของความก้าวหน้าและการขจัดอุปสรรคของเส้นทางนี้นั้นมีหลายเงื่อนไขด้วยกัน ซึ่งก้าวแรก นั้นก็คือ ความเข้าใจและความรู้สึกถึงการปรากฏตัวของศัตรู เพราะว่าตราบใดที่มนุษย์เรายังไม่รู้สึกถึงการปรากฏตัวของศัตรูก็จะไม่แสวงหาวิธีการและการจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ในการป้องกันตัวหรอก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “โดยแท้จริง นักคิดสมัยใหม่ที่แสวงหาแต่ความสุขสบาย ผู้กลับกลอก ผู้โอ้อวดที่ปฏิเสธถึงความเป็นปฏิปักษ์กับอเมริกาและยังวาดภาพให้รัฐบาลและประชาชาติอิหร่านต้องยอมจำนนต่อการเผชิญหน้ากับอเมริกาอีกด้วย หากว่าไม่มีพวกอเมริกา ความก้าวหน้าของประเทศก็จะไม่เกิดขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เงื่อนไขที่สองก็คือ ความเชื่อมั่นในตัวเองและการมุ่งมั่นในการยืนหยัด โดยท่านได้ชี้ว่า “มนุษย์ที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ การหมดหวัง การขี้เกียจ ความฉวยโอกาส และการมีความเชื่อมั่นในตนเองน้อยมากในสนามเหล่านี้ ถ้าหากตนเองนั้นไม่เป็นอุปสรรคให้กับผู้อื่นก็ไม่สามารถที่จะสร้างวีรกรรมอะไรให้กับตัวของเขาเองได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “แน่นอนว่าบรรดาเยาวชนของประเทศ ทั้งในช่วงของการจัดตั้งขบวนการอิสลามและในระดับขั้นต่างๆในตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมาซึ่งก็ไม่ได้พบกับการทดสอบเช่นนี้ และพวกเขานั้นก็มีความเชื่อมั่นในตนเองโดยปราศจากซึ่งความหมดหวัง ความหวาดกลัว และความขี้ขลาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เงื่อนไขที่สามในการขับเคลื่อนนำไปสู่ความก้าวหน้าและการเอาชนะเหนืออุปสรรคต่างๆ คือ การทำความเข้าใจต่อภัยคุกคามของศัตรูและการรู้จักถึงเวทีในการต่อสู้อย่างถูกต้อง โดยเน้นว่า สมรภูมิอันแรกของการต่อสู้ ก็คือ อิสลามและการมีความศรัทธาของอิสลาม เพราะว่าสหรัฐได้ถูกตบหน้าจากอิสลามและการปฏิวัติอิสลามมาแล้ว และการปฏิวัติอิสลามนีก็จะทำการตัดมือของพวกเขาอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “บางคนกลับพูดจาเหน็บแนมว่า อย่าได้พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับอเมริกาเป็นอันขาด เพื่อที่จะให้พวกเขาจะได้ไม่เป็นศัตรูกับอิหร่าน แต่ความเกลียดชังของพวกเขาไม่ใช่เฉพาะกับสโลแกนที่กล่าวว่า ความพินาศจงมีแด่อเมริกาของประชาชาติอิหร่านหรอก แต่พวกเขานั้นได้ต่อต้านต่อหลักการของอิสลามและการปฏิวัติอิสลาม เพราะว่า พวกเขาต่างก็หวาดกลัวต่อความภาคภูมิใจในการมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของอิสลามและการปฏิวัติอิสลามในภูมิภาค ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงพยายามที่จะทำลายองค์ประกอบของการมีอำนาจของประเทศ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นว่า เป้าหมายของมหาอำนาจ จอมอหังการ ก็คือ การบ่อนทำลายองค์ประกอบทั้งหลายของความเป็นอิสลามของอิหร่าน โดยกล่าวว่า “การยืนหยัดอย่างมั่นคงทางสังคม ความปลอดภัย ความสามัคคีของชาติ การยืนหยัดต่อหลักการและพื้นฐานของการปฏิวัติอิสลามในการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในความก้าวหน้าทางวิชาการ การขยายวงกว้างและความลึกล้ำทางวัฒนธรรมในการปฏิวัติอิสลาม ความก้าวหน้าในการป้องกันประเทศและขีปนาวุธ รวมทั้งการปรากฏตัวในภูมิภาค ทั้งหมดนั้นคือ องค์ประกอบของการมีอำนาจของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ขณะที่เหล่าศัตรูต่างพยายามที่จะสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับองค์ประกอบต่างๆเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อความเป็นจริงของอิหร่านและโลกและการไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบิดเบือนในการสร้างภาพลักษณ์ที่ผิดพลาด ก็คือ อีกหนึ่งในเงื่อนไขของการเอาชนะเหนืออุปสรรคที่มีต่อความก้าวหน้าของประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า “เหล่าผู้ที่มุ่งร้ายและคิดไม่ดีต่อประชาชาติอิหร่านต่างพยายามด้วยกับการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการสื่อสาร โดยเฉพาะจากสื่อสมัยใหม่ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ผิดพลาดให้เกิดขึ้นกับอิหร่าน ภูมิภาค และและเช่นกัน กับตัวของพวกเขาเอง ซึ่งพวกเขานั้นต้องการให้วิสัยทัศน์ของสาธารณชนของอิหร่านนั้นหันเหออกจากความเป็นจริง”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในภาพลักษณ์ที่ผิดพลาดเหล่านี้ คือ การที่ต้องยอมรับถึงจุดยืนในการมีอำนาจของสหรัฐ โดยกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าพวกเขาจะมีอำนาจในการใช้เครื่องมือ แต่ความจริงแล้วนั้นพวกเขากลับไม่ได้มีอำนาจใดๆเลย เพราะว่าปัจจัยหลักที่เป็นตัวกำหนดและตัวบ่งชี้ก็คือ การมีอำนาจในคำสั่งปฏิบัติการณ์ ซึ่งหมายถึง การมีตรรกะ การให้เหตุผล และการใช้คำพูดใหม่ๆที่สหรัฐนั้นอ่อนหัดในกรณีเหล่านี้อย่างรุนแรง และด้วยกับเหตุผลในการขาดตรรกะ การให้เหตุผลเหล่านี้ ทำให้พวกเขาต้องใช้พื้นฐานในการข่มขู่และคุกคามเป็นหลักนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงประเด็นของความอื้อฉาวในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมของสหรัฐและความแพร่หลายของการวิพากษ์วิจารณ์ในโลก โดยกล่าวเสริมว่า “ด้วยเหตุผลนี้ ในขณะที่สหรัฐนั้นมีอำนาจทางนิวเคลียร์ เทคโนโลยีขั้นสูงและความสามารถทางการเงินที่มากมายกลับต้องพบกับความล้มเหลวในหลายพื้นที่ด้วยกัน อาทิเช่น ในอิรัก ซีเรีย เลบานอน ปากีสถานและอัฟกานิสถาน อีกทั้งความล้มเหลวอื่นๆ ก็กำลังจะรอคอยสหรัฐอยู่อีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมและการไม่ตรงกับความจริงของเหล่าศัตรูที่มีต่ออิหร่าน และกล่าวว่า “พวกเขากำลังพยายามที่จะเสนอภาพลักษณ์ที่ผิดพลาดของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านเ พื่อแสดงให้สาธารณชนของโลกนั้นมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อประชาชาติอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า พวกสหรัฐ ด้วยกับการพึ่งพายังปัญหาต่างๆได้ปลูกฝังแนวคิดจินตนาการในสมองอันเล็กๆของพวกเขาโดยปราศจากการเป็นนักบริหารจัดการที่แท้จริง ซึ่งล่าสุด ประธานาธิบดีของสหรัฐได้บอกกับผู้นำบางคนของยุโรปว่า หากว่าพวกท่านรออีกสองหรือสามเดือน การงานของสาธารณรัฐอิสลามก็จะจบสิ้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “แนวคิดจินตนาการเช่นนี้ทำให้นึกถึงคำพูดแบบลมๆแล้งๆของพวกสหรัฐเมื่อช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา โดยบอกว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า เราสามารถที่จะทำลายสาธารณรัฐอิสลามได้ แต่ในขณะนี้ เวลาได้ผ่านมาแล้วถึงสี่สิบปี สาธารณรัฐอิสลามก็ยังคงอยู่”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความไม่พอใจของประธานาธิบดีที่น่าสงสารของสหรัฐนั้นเป็นผลมาจากการไม่รู้จักการปฏิวัติอิสลามและประชาชาติอิหร่าน รวมทั้งจิตวิญญาณแห่งศรัทธาและการเป็นนักการปฏิวัติของประชาชาตินี้ โดยท่านได้เน้นว่า “การวิเคราะห์ที่ผิดพลาดเหล่านี้ เป็นสาเหตุให้พวกสหรัฐต้องหันเหในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งก็จะต้องขอขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าที่เหล่าศัตรูของประชาชาติอิหร่านนั้นเป็นพวกที่โง่เขลาเบาปัญญาสิ้นดี”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า แน่นอนว่าเราก็ยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจและข้อบกพร่องอยู่ เช่น เศรษฐกิจทางน้ำมัน ความอ่อนแอทางวัฒนธรรมของการประหยัดและการฟุ่มเฟือยในสังคม แต่นี่ก็ไม่ใช่ข้อบกพร่องที่แท้จริง แต่ข้อบกพร่องที่แท้จริงก็คือ ทางตัน ซึ่งแน่นอนว่า ในประเทศนี้นั้นไม่มีทางตันอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า บางคนพยายามที่โน้มน้าวความคิดเช่นนี้ให้กับบรรดาเยาวชนว่าไม่มีทางออกอื่นใด นอกจากการพึ่งพายังศัตรู โดยกล่าวเสริมว่า “ศัตรูนั้นต้องการให้ประชาชาติพบว่าประเทศกำลังเจอกับทางตัน ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการยอมจำนนให้กับสหรัฐ”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าจะขอประกาศอย่างชัดเจนว่า บรรดาผู้ที่ส่งเสริมแนวคิดของศัตรู พวกเขานั้นกำลังจะทำการทรยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อสิทธิของประเทศและประชาชาติอยู่”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นอีกว่า “แน่นอนว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะยังไม่เกิดขึ้นและด้วยกับอำนาจและพลานุภาพของพระเจ้า และการเข้าร่วมของประชาชนและบรรดาเยาวชน ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตและกำลังความสามารถอยู่ ก็จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงความจำเป็นในการรู้จักและการนำเสนอภาพลักษณ์และสถานะที่แท้จริงของประเทศและประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวว่า “บรรดานักการเมืองที่ยิ่งใหญ่และมันสมองทางการเมืองที่เป็นศูนย์กลางของโลกที่ได้ในการยืนหยัดในช่วงเวลาสี่สิบปีที่ผ่านมา ในการเผชิญหน้ากับความกดดันต่างๆ ในขณะที่มีความก้าวหน้า และได้กลายเป็นพลังอำนาจหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อภูมิภาค”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในความจริงของอิหร่าน ก็คือ การมีศักยภาพที่มากมายทางภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ กำลังพล และแหล่งทรัพยากรทั้งใต้ดินและบนดินในประเทศที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยกล่าวเสริมว่า “เรานั้นยังไม่ได้ใช้ขีดความสามารถเหล่านี้อย่างถูกต้องและคำชี้แนะของข้าพเจ้าที่มีต่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ก็คือ จะต้องรู้จักศักยภาพต่างๆและการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บรรดาเยาวชนผู้ศรัทธา คือ ขีดความสามารถที่แท้จริงในปัจจุบันของประเทศ และกล่าวว่า “ภาพลักษณ์ที่แท้จริงของประเทศ คือ เยาวชนผู้ศรัทธาเหล่านี้ ซึ่งได้แสดงถึงความสามารถในการป้องกันประเทศ ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ ทางวัฒนธรรมและสังคมในบทบาทต่างๆ
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ชี้ถึงประเด็นของการคว่ำบาตรของสหรัฐ โดยกล่าวเสริมว่า สถานการณ์ของการคว่ำบาตรของศัตรู ไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะเผชิญหน้ากับระบอบรัฐอิสลาม นอกจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเหล่านี้ก็ยังคงมีความอ่อนแอกว่าเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นว่า เศรษฐกิจของประเทศสามารถที่จะทำให้มาตรการคว่ำบาตรนั้นต้องพบกับความล้มเหลว ด้วยกับอานุภาพและพลานุภาพของพระเจ้า เราก็จะทำให้มาตรการคว่ำบาตรต้องพบกับความล้มเหลว และความล้มเหลวของการคว่ำบาตรก็ คือ ความล้มเหลวของสหรัฐ และสหรัฐก็จะต้องถูกประชาชาติอิหร่านนี้ตบหน้าอีกครั้ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การรวมตัวครั้งใหญ่ของมวลชนบะซีจญ์ (อาสาสมัคร)ทั่วประเทศนั้นได้กลายเป็นแบบอย่างให้กับประชาชาติทั้งหลาย นั้นคือ หนึ่งในความจริงของอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “กลุ่มอาสาสมัครประชาชน คือ หนึ่งในภาพลักษณ์ที่สูงส่งของประเทศในการเผชิญหน้ากับการคุกคามของศัตรู ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะถอยหลังออกไป แต่ยังเป็นการเพิ่มพูนความศรัทธาให้กับพวกเขา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ศัตรูและพลพรรคของพวกมันต้องคัดค้านอย่างมากมายกับการปรากฏตัวของบะซีจญ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า จุดต่างๆที่โดดเด่น เช่น กลุ่มต่างๆในการญิฮาด การทำกิจกรรมในการกุศล การจัดค่ายรอเฮยอนนูร การเดินขบวน การจัดพิธีอิอ์ติกาฟ และการจัดงานรำลึกไว้อาลัยต่อโศกนาฏกรรมของอิมามฮุเซน คือ อีกหนึ่งในความจริง ของอิหร่าน โดยท่านเน้นว่า “ในการรู้จักอย่างถูกต้องต่อประชาชาติก็จะต้องให้ความสนใจในประเด็นเหล่านี้”
ในส่วนนี้ของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม โดยถือว่า หน่วยงานภาครัฐฯจะต้องให้ความช่วยเหลือและการร่วมมือกับการทำกิจกรรมของกลุ่มบะซีจญ์ในการจัดตั้งค่ายญิฮาดี และกองคาราวานรอเฮยอนนูร
ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีในการรวมตัวครั้งใหญ่ของบรรดาบะซีจญ์ในสนามกีฬาที่จุผู้คนถึงหนึ่งแสนคน ได้กล่าวถึงหลายประเด็นอันจำเพาะ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความพยายามของศัตรูในการทำให้เกิดวิสัยทัศน์ของสาธารณชนด้วยกับการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการสื่อสาร โดยกล่าวว่า "เครื่องมือทางสื่อนั้นมีความสำคัญ และถ้าหากได้ตกไปอยู่กับศัตรูก็จะกลายเป็นเครื่องมือที่อันตรายอย่างยิ่งโดยสามารถที่จะเหมือนกับเป็นดั่งอาวุธเคมีในการทำสงครามทางทหารได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตุถึงการที่ศัตรูใช้ประโยชน์จากวิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต เครือข่ายทางสังคมออนไลน์และโลกไซเบอร์ในการต่อต้านวิสัยทัศน์ของสาธารณชนของประชาชาติและกล่าวถึงผู้ที่ต้องรับผิดชอบในด้านการติดต่อสื่อสาร โดยกล่าวว่า “ดังเช่นที่ได้กล่าวเตือนในที่ประชุมส่วนตัวที่จะต้องมีความสนใจในประเด็นเหล่านี้อย่างถูกต้องและด้วยกับการรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างจริงจัง จะต้องไม่ปล่อยให้เครื่องมือเหล่านี้ได้กลายเป็นอาวุธเคมีที่ศัตรูนั้นจะใช้ในการต่อต้านกับประชาชนเป็นอันขาด”
ความจำเป็นในเอกภาพ ความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งและความรู้สึกในการมีอำนาจ คือ ประเด็นที่สองในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้เน้นว่า “ด้วยกับการปรากฏตัวอย่างมีอำนาจของประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเยาวชนผู้ศรัทธาทั้งหลายในช่วงกลางของสนามที่มีทิศทางเดียวกัน และมีคำพูดเหมือนกับเจ้าหน้าที่ต่างๆ และมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ถือว่าเป็นการส่งสารถึงศัตรูในการมีอำนาจ เพราะว่าถ้าหากศัตรูไม่ได้เห็นคำพูด พฤติกรรมและการกระทำในการดำเนินชีวิตที่มีอำนาจของประชาชนแล้วละก็จะไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวเป็นอันขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นอย่างแน่วแน่ว่า ความจริงของประเทศแสดงให้เห็นถึงประชาชาติและเยาวชนรุ่นใหม่ได้ตัดสินใจที่จะไม่ถูกดูถูกดูแคลนอีกต่อไปและก็จะไม่ติดตามอำนาจของต่างประเทศและศัตรู อีกทั้งยังจะทำให้อิหร่านที่มีเกียรตินำไปสู่เกียรติยศอันสูงส่งและความภาคภูมิใจด้วยกับความโปรดปรานของพระเจ้า ที่จะให้มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการดำเนินการในการงานนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรวมตัวของบรรดาบะซีจญ์ (อาสาสมัคร)ในสนามกีฬา หนึ่งแสนคน ทำให้ต้องรำลึกถึงความทรงจำในช่วงกลางของทศวรรษที่ 60 โดยกล่าวเสริมว่า “การวมตัวครั้งนั้น กลายเป็นการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศ และอินชาอัลลอฮ์ (หากพระเจ้าทรงประสงค์) พวกท่านเยาวชนทั้งหลายที่มีเกียรติยิ่ง ก็จะประสบความสำเร็จทั้งในภาคสนามต่างๆทางวิชาการ การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ความพยายามปัจเจกบุคคล และทางสังคม ตลอดจนเครื่อข่ายสื่อสังคมออนไลน์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่จะต้องเตรียมความพร้อมในการขับเคลื่อนอีกด้วย”